ตอนที่ 1171 คนที่สามารถเชื่อใจได้
“ไม่เป็นไร” ผ่านไปพักใหญ่ซูหลีถึงได้ดึงสติกลับมา นางเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มให้กับฉินเย่หานครู่หนึ่ง
คิ้วของฉินเย่หานขมวดเล็กน้อย เขามองนางตาไม่กะพริบ
หลังจากเขาเข้ามา ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติในห้องนี้ก็พากันออกไป รวมถึงเย่ว์ลั่วที่อยู่ภายในห้องด้วย บัดนี้มีเพียงแค่เขากับซูหลีสองคนเท่านั้น บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นทันตา
ซูหลีก้มศีรษะลงไปเล็กน้อย และไม่สบตากับฉินเย่หาน
ไม่ใช่นางไม่พูด ทว่าเรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เหนือธรรมชาติเกินไปแล้ว หากนางบอกฉินเย่หานไปว่า ที่จริงแล้วนางไม่ใช่ซูหลี แต่เป็นบุตรีของหลี่รุ่ยอิงที่ถูกสังหารทั้งสกุลอย่างหลี่จื่อจิน
กลับชาติมาเกิดเป็นซูหลี อีกทั้งบัดนี้ยังค้นพบเรื่องราวในอดีตของบิดามารดาของตน
ซึ่งเรื่องนี้ยังสกุลจี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องอีก?
อย่าว่าแต่จะนำเรื่องนี้ออกมาพูดเลย บัดนี้ซูหลีแค่ลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเหลือเกิน ยิ่งมีปมเงื่อนที่ซับซ้อน ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
มิหนำซ้ำหากเปลี่ยนมาครุ่นคิดในมุมมองอื่น หากมีคนพูดคำพูดเช่นนี้กับนาง นางจะต้องรู้สึกว่าคนผู้นี้หากไม่ใช่คนเสียสติ ก็คงเป็นคนเขลา ฟังดูแล้วนี่เป็นคำพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูหลีจึงไม่ปริปากพูด
เพียงแต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูย่ำแย่เป็นอย่างมากของฉินเย่หาน เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางมีเรื่องที่ปิดบังเขา ซูหลีก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“เราทราบแล้ว” หลังจากผ่านไปนานมาก ฉินเย่หานถึงได้เอ่ยคำไม่กี่คำนี้ออกมาอย่างเย็นยะเยียบดุจน้ำแข็ง
ซูหลีชำเลืองเห็นสีหน้าที่ไม่ดีนักของเขา จึงถอนหายใจออกมาอย่าวแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง เรื่องนี้นั้นซับซ้อนมาก ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากที่ใด อีกทั้งเรื่องภูตผีปีศาจเช่นนี้ซูหลีรู้สึกว่าถึงจะพูดออกมา ก็ไม่ใช่ว่าจะมีคนเชื่อ
ภายในห้องมีความกดดัน ซูหลีไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี กลับรู้สึกถึงความอึมครึมตรงหน้า
นางชะงักไปวูบหนึ่ง ทันทีที่เหลือบตาขึ้นก็ถูกคนคว้าเข้าไปในอ้อมอก
“ฝ่าบาท…” มือทั้งสองของซูหลีดันแผงอกของเขาไว้ อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาเบาๆ
“หากมีเรื่องอะไร สามารถพูดกับเราได้ตลอดเวลา” แม้น้ำเสียงของฉินเย่หานจะยังเย็นยะเยียบ ทว่าเมื่อเข้าสู่โสตประสาทของซูหลีแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงยังมีความอบอุ่นอยู่แฝงอยู่ด้วย
นางกัดริมฝีปากของตน หลังจากชะงักไปวูบหนึ่งจึงยกแขนขึ้นโอบกอดเอวของฉินเย่หานไว้
“อืม” ฉินเย่หานได้ยินที่กลัดกลุ้มของนางที่ทั้งร่างซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา เอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย สายตาที่มองซูหลีมีความซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก แต่เป็นเพราะซูหลีกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเขาจึงไม่เห็นก็เท่านั้น
“ข้าเป็นบุรุษของเจ้า เป็นคนที่เจ้าเชื่อใจได้รู้หรือไม่”
ขณะที่ซูหลีคิดว่าเขาจะไม่ปริปากพูดอะไรออกมา พลันได้ยินคำพูดประโยคนี้ดังขึ้น
ทั้งร่างของนางแข็งทื่อ
ตั้งแต่เป็นคนสามภพ นี่เป็นบุรุษคนแรกที่พูดคำพูดเช่นนี้กับนาง
เสิ่นฉางชิงในอดีต เพียงนำปัญหาเรื่องบ้านเมืองมอบให้นางจัดการเท่านั้น
คำพูดนับหมื่นนับพันติดอยู่ที่ปาก ทว่ากลับทำให้นางไม่รู้ว่าเอ่ยออกมาอย่างไรดี
ความเป็นมาของนางพิลึกประหลาดเกินไปบ้าง หากนางพูดออกไป ฉินเย่หานจะเชื่อนางหรือ
อย่างไรเขาก็เป็นฮ่องเต้
เมื่อไม่ได้ยินซูหลีพูดตอบ ทว่าคนในอ้อมกอดกลับตัวแข็งทื่ออย่างชัดเจน ฉินเย่หานกลับไม่ฝืนใจให้นางพูดออกมา
เพียงโอบกอดนางไว้ ทั้งสองคนโอบกอดซึ่งกันและกันอยู่นานมาก
ยามบ่ายยังมีเรื่องต้องไปทำ ฉินเย่หานมาที่นี่ก็เพราะกินอาหารอย่างเรียบง่ายกับซูหลีมื้อหนึ่ง จากนั้นจึงออกไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวครู่หนึ่ง นำความคิดที่ยุ่งเหยิงทั้งหมดจัดระเบียบให้สงบลง จากนั้นถึงลุกขึ้นยืนเดินไปที่ห้องออกว่าราชการภายในพระราชวัง
นางไม่ใช่ผินเฟยในวังหลัง อย่างไรก็เป็นขุนนางของราชสำนัก หลายวันมานี้ไม่เข้าร่วมประชุมราชการคงจะไม่ได้!
ตอนที่ 1172 หอเก็บตำราในพระราชวัง
ฉินเย่หานเพื่อตามใจนาง อีกทั้งเดิมมาที่พระราชวังแห่งนี้ก็เพื่อพักผ่อน ดังนั้นเวลาอภิปรายเรื่องแผ่นดินในมือจึงเปลี่ยนเป็นยามบ่าย
สถานที่อภิปรายอยู่ในตำหนักที่สร้างขึ้นอย่างหรูหราที่สุดภายในพระราชวัง บัดนี้เปลี่ยนเป็นห้องออกว่าราชการ
ด้านหลังของห้องออกว่าราชการเป็นหอเก็บตำรา
ซูหลีมาถึงห้องออกว่าราชการตามเวลา ทว่ากลับถูกแจ้งว่าไทเฮาทรงประชวร ไทเฮาทรงถ่ายทอดคำสั่งให้คนเรียกฝ่าบาทไปหา ก่อนหน้านางจะมา ฝ่าบาทก็เสด็จออกไปแล้วจนกระทั่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา
ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่า หากมีใครมาถึงแล้วก็ให้รออยู่ที่นี่ก่อน
หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดนี้
หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดนี้จึงไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ขุนนางจำนวนมากที่ติดตามมาครั้งนี้ล้วนเป็นคนสนิทของฉินเย่หาน จึงไม่มีบรรยากาศที่ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนดังในราชสำนักในยามปกติ
เพียงแต่ซูหลีนั่งอยู่ภายในครู่หนึ่งก็รู้สึกสะลึมสะลืออยากจะนอน นางกลัวว่าตนจะหาวต่อหน้าขุนนางจำนวนมาก จึงเดินออกมาจากห้องออกว่าราชการเพื่อไปเดินเตร็ดเตร่
เมื่อเดินเตร่ไปทั่วก็เดินมาถึงหอเก็บตำราที่อยู่ทางด้านหลัง
ซูหลีหยุดฝีเท้าลง หรี่ตากวาดมองที่หอเก็บตำราขนาดใหญ่แห่งนี้
ที่จริงงานสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ต้าโจวนั้นถือว่ามีฝีมือประณีตถึงที่สุด หอเก็บตำราตรงหน้านี้มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก
หอเก็บตำราแห่งนี้มีถึงห้าชั้นด้วยกัน!
กำแพงสีแดงประดับด้วยกระเบื้องสีเขียว เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมของที่ดินทรัพย์สินส่วนพระองค์ทางใต้ หอสะสมแห่งนี้สูงใหญ่ มุมหลังคาโค้งงอนสร้างเป็นรูปแบบคล้ายหงส์ที่กำลังโผบิน ดูประณีตงดงามเป็นอย่างมาก
ด้านบนประตูใหญ่มีป้ายสีทองขนาดใหญ่ บนป้ายเขียนคำว่า ‘หอเก็บตำรา’ เอาไว้ ตัวอักษรนั้นเขียนหวัดๆ ทว่ากลับให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก
นี่เป็นฝีพระหัตถ์ของจักรพรรดิเกาจู่ ซูหลีเคยเห็นหลายครั้งแล้ว
ในยามที่จักรพรรดิเกาจู่ยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงสั่งให้คนสร้างพระราชวังน้ำพุร้อนแห่งนี้ขึ้น ดังนั้นหากมีฝีพระหัตถ์ของจักรพรรดิเกาจู่ก็เป็นเรื่องปกติ
ซูหลีที่กำลังว่างอยู่ชำเลืองเห็นหอเก็บตำราอยู่ตรงหน้าตนพอดี จึงย่างกรายเข้าไปทางด้านนั้น
“ใต้เท้าซู!” เมื่อทหารที่เฝ้าหอเก็บตำราเห็นซูหลี จึงรีบโค้งคำนับนางครั้งหนึ่ง
“อืม สามารถเข้าไปได้หรือไม่” ซูหลีเอ่ยถามอย่างไม่คิด นางไม่ได้มีความคิดแน่วแน่อะไร หากไม่ให้เข้าไป นางก็เดินกลับไปที่ห้องออกว่าราชการก็เท่านั้น
“เชิญใต้เท้าซู…” คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ทหารผู้นั้นได้ยินคำพูดของนางแล้ว จะไม่ลังเลใจเลยสักนิด และหลีกทางให้นางในทันที
ซูหลีชะงักเล็กน้อย ชำเลืองดูท่าทางนี้ของพวกเขา กลับรู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย
ทว่านางก็ไม่คิดอะไรมาก เพียงก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในหอเก็บตำรา
ภายในหอเก็บตำราแห่งนี้สะสมตำราแบบม้วนไว้เป็นจำนวนมาก หากเปรียบกับตำหนักแห่งนั้นแล้วก็ใหญ่ไม่น้อย เพราะด้านในยังมีตำราแบบเล่มจำนวนมากที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหากฝ่าบาทไม่เสด็จมาที่นี่ ก็ต้องมีคนคอยดูหอเก็บตำราแห่งนี้
ดังนั้นภายในจึงสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นราเลยสักนิด ภายในสว่างปลอดโปร่ง ดูสบายเป็นอย่างมาก
สายตาของซูหลีมองจากชั้นตำราที่จัดเป็นวงกลมแถวนั้นไล่ลงมา
จนถึงบริเวณตรงกลางมีเอกสารราชการจำนวนมหึมาวางไว้อยู่ บนเอกสารเหล่านั้นยังวางเต็มไปสาส์นกราบทูลจากขุนนาง
ในเวลานี้นางชะงักค้างไปทันที
ก่อนเข้ามานางยังครุ่นคิดอยู่ว่า หนังสือภายในหอเก็บตำราจะต้องล้ำค่าอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วคนเฝ้าประตูจะใช้เพียงเด็กรับใช้ไม่กี่คนหรือขันทีก็พอแล้ว
ทว่าที่นี่กลับใช้ทหารเหล่านั้นที่คนเดียวที่สามารถสู้กับคนเป็นร้อยได้ ช่างแปลกประหลาดอยู่บ้าง
ที่จริงหลังจากที่ฉินเย่หานถึงพระราชวังแห่งนี้ ล้วนทำงานราชการที่นี่
หากพูดเช่นนี้ก็พอจะเป็นไปได้อยู่
ห้องออกว่าราชการนั้นอยู่ใกล้กับที่นี่มาก อีกทั้งตำแหน่งที่หอเก็บตำราตั้งอยู่ยังเงียบสงบเป็นอย่างมาก โดยรอบยังมีสิ่งของจำนวนมากวางไว้ หากเลือกทำงานราชการที่นี่ อย่างไรก็เหมาะสมแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าทหารทั้งสองคนนั้นจะให้นางเข้ามา