ไม่มีใครกล้าฆ่าซูหลี นอกจากผู้ที่คิดล้างแค้นและพร้อมที่จะตาย เพราะทุกคนในโลกล้วนรู้ดีว่าสู้เขาไม่ได้ และไม่มีทางฆ่าเขาได้ด้วย การคิดฆ่าเขา นอกจากทำให้ตัวเองอับอายแล้ว ยังทำให้ต้องตายอย่างไม่มีจุดจบเป็นอื่น แต่ตอนนี้สภาพการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ซูหลีถูกพวกมารล้อมฆ่าอยู่หลายวันหลายคืน โชคดีที่หนีรอดได้ แต่ก็บาดเจ็บสาหัส สำหรับกลุ่มคนที่อยากฆ่าเขา ตอนนี้ย่อมเป็นโอกาสดีที่สุดที่ต้องฉกฉวยไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนเซวียเหอเสร็จจากการตรวจตราบริเวณด้านล่างค่ายทหาร ยังไม่ทันถอดชุดเกราะออก ก็ถูกทหารผู้น้อยลากไปดื่มสุราจนหน้าแดงหูแดงไปหมด แต่พอรู้ข่าวซูหลี เขาก็พลิกฝ่ามือดับตะเกียงน้ำมันทันทีโดยไม่ต้องคิด ก่อนราดสุราองุ่นใส่ตัว ฟาดฝ่ามือใส่ทหารที่กำลังจะดื่มจนสลบ แล้วขี่กิเลนไฟมุ่งหน้าไปยังที่ราบหิมะ คิดแต่ว่าต้องรีบหาตัวซูหลีให้พบแล้วฆ่าทิ้งเสีย ไหนเลยจะสนใจเรื่องใดอีก
ชายผู้ปรากฏตัวในภูเขาร้างตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อสี่วันก่อน ขณะที่เขากำลังเล่นงิ้วอยู่ในจวนเมืองสวินหยาง กับคณะงิ้วที่ดีที่สุดของเมืองหลานหลิงที่เชิญมาเป็นพิเศษ โดยมีญาติสนิทมิตรสหาย หรือก็คือบรรดาแขกผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองเป็นผู้ชม ขณะกำลังร้องเพลงงิ้วของคืนฤดูใบไม้ผลิที่โด่งดัง สวมบทบาทเจ้าสาวแสนงอน ในตอนที่กำลังแสดงท่าทางเย้ายวนเล่นหูเล่นตาอยู่นั้น พลันเหลือบไปเห็นใต้เท้ามุขนายกที่นั่งอยู่ด้านล่างเวที ส่งสายตาแปลกๆ มาให้ ตามด้วยเสียงแว่วในหูความว่า ซูหลีบาดเจ็บสาหัส น่าจะอยู่บริเวณตอนเหนือของเมืองเทียนเหลียง!
เขาพลันสูดเอาอากาศเย็นเข้าปอด แล้วหันมองท้องฟ้า รู้สึกเหยียดหยามและเศร้าใจจนพูดไม่ออก เงียบไปครู่ใหญ่ ค่อยได้ยินเสียงพื้นไม้บนเวทีดัง เขากระโดดลงจากเวที เตะรองเท้าหุ้มข้อทรงสูงออก โยนผ้าคลุมศีรษะทิ้ง ขี่ม้าเร็วของเมืองสวินหยาง ห้อตะบึงผ่านเมืองโจวไปทางตอนเหนือ!
เฉินฉางเซิงบอกว่าพวกเขาไม่เหมือนนักฆ่า ก็เพราะเดิมทีพวกเขาไม่ใช่นักฆ่า แต่เป็นอย่างที่ซูหลีว่า พวกเขามาอย่างเร่งรีบ ด้วยกลัวว่าจะมาไม่ทัน…เรื่องซูหลีบาดเจ็บสาหัส รอกันเป็นชาติกว่าจะมีมาให้เห็นสักครั้ง ไหนเลยจะมัวเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เล่า? ถ้าชุดเกราะของเซวียเหอแวววาว ชุดระบำของชายผู้นี้ก็บางเบา บวกกับสีสันที่แต่งเติมบนใบหน้า เสื้อผ้าธรรมดาที่ใส่กันในยามปกติ ย่อมไม่มีมาดของนักฆ่าให้เห็น
ชุดเกราะแวววาวของเซวียเหอเต็มไปด้วยฝุ่น ชุดระบำของชายผู้นี้ก็เลอะดินโคลนเช่นเดียวกัน เขาดูอ่อนล้าอยู่บ้าง สีสันบนใบหน้าที่แต่งแต้มไว้ยังไม่ถูกลมพัดพาไป จึงให้ความรู้สึกว่ามีเสน่ห์เย้ายวนร้ายกาจแบบแปลกๆ
เขาจ้องมองซูหลีด้วยดวงตาที่กระจ่างขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มยิ่งมาก็ยิ่งลึกซึ้ง เขายกแขนเสื้อขึ้นปิดริมฝีปาก ท่าทางน่าเอ็นดูยิ่ง ดีใจยิ่ง แต่ก็มีความเจ็บปวดที่คล้ายมาจากส่วนลึกของจิตใจ
“ลำบากมากกว่าจะหาเจ้าพบ ไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่อีกไม่นานเจ้าก็ต้องตายด้วยน้ำมือข้าแล้ว จึงคิดว่าต่อให้ลำบากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ห่างไกลสามพันลี้ ยังมาพบกันจนได้ ต้องบอกว่าข้าโชคดีเอามากๆ”
หลังฟังคำพูดนี้ ซูหลีก็รู้สึกเศร้าใจ จึงพูดกับเฉินฉางเซิง “เจ้าช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เจอกับคู่ต่อสู้แบบเดิมอีกคน แม้แข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับแข็งแกร่งกว่ามาก”
จากสายตาของเขา ดูออกอย่างง่ายดายว่า ชายผู้นี้อยู่ในขั้นแรกของระดับรวบรวมดวงดาว
ชายผู้นี้จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดอย่างแปลกใจ “พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร?”
เฉินฉางเซิงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
ชายผู้นี้จึงยกแขนเสื้อขึ้น ก่อนแนะนำตัวเองเสียงเบา “ข้าคือเหลียงหงจวง”
เหลียงหงจวงเป็นคนดังคนหนึ่ง เขาเป็นที่รู้จักในเมืองเทียนเหลียงและต้าลู่ทางตอนเหนือ เพราะเขาเป็นคนในตระกูลดัง เพราะพี่ชายเขาดัง เพราะมีคนมากมายรู้ว่าเขาชอบเล่นงิ้ว ชอบเต้นระบำ และเพราะเขาแข็งแกร่งมาก
เฉินฉางเซิงกับซูหลีหันมามองตากัน ยังคงไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คือใคร เฉินฉางเซิงสามารถท่องคัมภีร์ลัทธิเต๋าจากหลังมาหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เรื่องในแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรเขากลับแทบไม่รู้อะไรเลย ส่วนซูหลี…ผู้คนที่ทำให้เขาจดจำได้ในดินแดนต้าลู่มีอยู่น้อยมาก ซึ่งเหลียงหงจวงยังไปไม่ถึงระดับนั้น
นี่เป็นเรื่องน่าขายหน้ายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เหลียงหงจวงขมวดคิ้ว กลับไม่โกรธ ถอดถอนใจ แล้วว่า “เสียใจนิดหน่อยกับชื่อเสียงตัวเอง แต่ถ้าฆ่าท่านซูได้ คงมีคนรู้จักข้ามากขึ้น”
เฉินฉางเซิงพลันเอ่ย “หรือ…ที่ท่านมาฆ่าคนก็เพราะอยากดัง?”
เหลียงหงจวงไม่ตอบ เพียงหัวเราะ
ซูหลีพลันถาม “เหลียงของเหลียงหวังซุนหรือ?”
เหลียงหงจวงตอบเสียงขรึม “เหลียงของเหลียงหงจวง”
พอซูหลีได้ยินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ที่ดูบ้าๆ บอๆ เช่นนี้จึงสวมชุดแต่งงานสีแดงมาฆ่าตน จึงหันมองเฉินฉางเซิงแล้วว่า “เขามาฆ่าข้าจริงๆ เจ้าจึงต้องฆ่าเขา”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจบทสนทนาสั้นๆ นี้ทั้งหมด แต่ก็พอจะเดาใจความส่วนใหญ่ได้…นักฆ่าที่สวมชุดระบำสีแดงผู้นี้ ต้องเกี่ยวข้องกับเหลียงหวังซุนแน่
เขามองดูเหลียงหงจวงที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มองดูชุดระบำที่ปลิวไสวตามแรงลม สมองก็แล่นอย่างรวดเร็ว สำรวจพลางวิเคราะห์คำนวณไม่หยุด พยายามหาช่องโหว่ในชุดระบำ
คิดมีชัยเหนือคู่ต่อสู้ อันดับแรก ท่านต้องเข้าใจคู่ต่อสู้ก่อน ไม่ว่าท่านจะใช้เพลงกระบี่รอบรู้ หรือต่อสู้แบบปกติ ล้วนต้องผ่านกระบวนการนี้ทั้งสิ้น แม้เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่านักระบำชื่อเหลียงหงจวงคือใคร แต่เขารู้จักเหลียงหวังซุน
เหลียงหวังซุนเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของประกาศเซียวเหยา เป็นผู้มีชื่อเสียงจริงๆ ดูได้จากคนที่แทบไม่รู้อะไรเลยอย่างเฉินฉางเซิงยังเคยได้ยิน ก็แปลว่าคนผู้นี้มีชื่อเสียงจริงๆ
เฉินฉางเซิงมิได้รู้เรื่องอะไรมากมายเกี่ยวกับสำนักและพรรคต่างๆ ในแวดวงบำเพ็ญเพียร แต่กลับรู้เรื่องตระกูลเหลียงเป็นอย่างดี เพราะตระกูลเหลียงคือตระกูลเชื้อพระวงศ์ในรัชสมัยก่อน การบำเพ็ญเพียร การดำเนินชีวิต และการสืบสายโลหิตของพวกเขา ล้วนถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติความเป็นมาของนิกายหลวง
ความมั่งคั่งและฟุ่มเฟือยของเหลียงหวังซุน พลังปราณและรูปแบบของเพลงกระบี่ที่ใช้ ท่าทีที่มีต่อหวังผ้อกับเซียวจาง อายุและภรรยาทั้งสาม…เรื่องราวยิบย่อยอีกนับไม่ถ้วน ปรากฏขึ้นในหัวสมองของเขาในระยะเวลาอันสั้น จากนั้นก็วาบผ่านสายตาเขาไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับดวงดาวหลายหมื่นพันดวงในอาณาเขตดวงดาวผืนนั้น ตกลงจากโค้งฟ้ามาอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเริ่มกะพริบ เขาต้องหาจุดสำคัญสุดของดวงดาวเหล่านี้ให้ได้ ที่ว่างนั่น ช่องโหว่นั่น
“ไหวหรือเปล่า?” ซูหลีถาม
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า เขาในตอนนี้ยังฝึกเพลงกระบี่รอบรู้ได้ไม่แหลมคมพอ ไม่สิ ควรพูดว่ากระทั่งครึ่งเพลงกระบี่ก็ยังไร้วี่แวว จึงไม่เห็นช่องโหว่ในขั้นรวบรวมดวงดาวของชายผู้นี้ ไหนเลยจะสามารถใช้สู้กับคู่ต่อสู้
“ถึงมองไม่ออก เจ้าก็ต้องเดามาสักอย่าง”
“ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านเห็น เหตุใดจึงไม่ชี้แนะข้าเหมือนครั้งก่อน?”
“ก็บอกแล้วอย่างไรว่า ข้าได้ใช้พลังทั้งหมดที่เก็บสะสมไว้ ไปกับการกันดาบของเซวียเหอให้เจ้าจนหมด”
“การมองเห็นช่องโหว่ของอาณาเขตดวงดาว ต้องใช้พลังด้วยหรือ?”
“ไม่อย่างนั้นจะให้ทำอย่างไร?”
“รู้สึกว่าไม่ค่อยมีเหตุผล”
“รอให้เจ้าอ่อนล้าจนลืมตาไม่ขึ้นก่อน ก็จะรู้ในเหตุผลนี้เอง”
“ดีเลย เช่นนั้นควรทำอย่างไรต่อดี”
“ก็บอกแล้วอย่างไรว่าให้เดา”
“เดาหรือ?”
“ก็คือมั่วนั่นแหละ”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน เหลียงหงจวงก็มาถึงตรงหน้า
เฉินฉางเซิงไม่มีเวลาสนใจใดๆ อีก ชักกระบี่สั้นออกจากฝัก ฟันใส่ชุดสีแดงที่ปลิวไสวในสายลม
ทางลาดเอียงบนเขาที่ห่างออกไป กวางพื้นเมืองสองตัวกำลังก้มหน้ากินหญ้า โดยไม่เหลียวมองมาทางนี้แต่อย่างใด