สำหรับกวางพื้นเมืองแล้ว การต่อสู้กันระหว่างเฉินฉางเซิงกับเหลียงหงจวงไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจไปกว่าหญ้าสีเขียวตรงหน้า ถ้ามีผู้ชมอีก ส่วนใหญ่ก็ต้องคิดไปในทำนองเดียวกัน เพราะทั้งสองมีความแข็งแกร่งที่เหลื่อมล้ำกันมาก
และเพราะซูหลีได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีไปกับการกันดาบของเซวียเหอ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ผู้ชมในสนามเพียงคนเดียวอย่างซูหลีถึงกับถลึงตามองชนิดแทบไม่กะพริบตา
เหลียงหงจวงในชุดระบำสีแดง ผ้าปลิวไสวรอบตัว พร้อมพลังปราณของผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวที่ปลิวไสวตาม และกระจายอยู่โดยรอบ
นี่เป็นอาณาเขตที่สมบูรณ์แบบ กระทั่งสวยงามอาณาเขตหนึ่ง จนดูไม่ออกว่าตรงไหนคือช่องโหว่
เฉินฉางเซิงดูไม่ออก แต่ก็เป็นดังคำสุดท้ายที่ซูหลีพูดกับเขา จำต้องเดา แม้มั่ว ก็ต้องเดา เดิมพันกันดูสักตั้ง
แน่นอน ในเมื่อเดา ในเมื่อมั่ว มองอย่างไรก็ไม่เห็นความหวังที่จะชนะเดิมพัน สิ่งเดียวที่ได้เปรียบก็คือ เขาไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นทะลวงอเวจีทั่วไป เขาไม่เข้าใจขั้นรวบรวมดวงดาวมากนัก
ช่วงแรกของการเรียนในสำนักฝึกหลวง ตอนที่เขาคิดว่าตนไม่ผ่านการชำระไขกระดูกนั้น อันที่จริงเขาได้สำเร็จการชำระไขกระดูกแล้ว ตอนที่คิดว่าตนไม่กล้าถอดจิต อันที่จริงเขากำลังดึงแสงดาวมาใช้ในขั้นทะลวงอเวจี ตอนอยู่หน้าสุสาน มองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์นั้น เขาได้นำเส้นสายในแผ่นป้ายอนุสรณ์แต่ละแผ่นมาเรียงกันเป็นแผนที่ดวงดาว วิธีนี้อันที่จริงก็คือการรวบรวมดวงดาว เขาแตกต่างจากผู้ที่อยู่ในแวดวงบำเพ็ญเพียรทั่วไป โดยมักฝึกวิชาด้วยวิธีการที่เหนือกว่าขั้นที่ดำรงอยู่เสมอ พูดอีกอย่างก็คือ ในเส้นทางสายบำเพ็ญเพียร เขามิได้เดินเร็วกว่าผู้อื่น แต่มองไกลกว่าเท่านั้น… เขารู้ว่าการรวบรวมดวงดาวคืออะไร
ผู้บำเพ็ญเพียรดึงแสงดาวมาใช้ชำระไขกระดูก ถอดจิตเพื่อเปลี่ยนแสงสว่างของดาวให้เป็นพลังปราณ แล้วยืมพลังของแสงดาวมาเปิดประตูดินแดนลี้ลับ จากนั้นค่อยดึงแสงดาวเข้าสู่ร่างกายต่อ ทำการเลือกดวงดาวบนภูเขาแท่นวิญญาณ ให้ตำแหน่งดาวสอดคล้องกับจุดชีพจรต่างๆ ในร่างกาย เพื่อใช้กระตุ้นพลังปราณ จากนั้นก็วาดเป็นแผนที่ดวงดาวของตนออกมา สร้างโลกใบเล็กขึ้นใหม่ในร่างกาย โดยก่อตัวเป็นรูปทรงอยู่ด้านนอก ซึ่งก็คืออาณาเขตดวงดาวนั่นเอง
อาณาเขตดวงดาวคือโลกของผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นรวบรวมดวงดาว คือภาพฉายของดวงดาวบนแผ่นฟ้าที่อยู่ในร่างกายและจิตใจของผู้บำเพ็ญเพียร
ดวงดาวบนแผ่นฟ้าแท้จริงแล้วต้องสงบนิ่ง เคร่งขรึม งามสง่า และนิรันดร์ ในสามัญสำนึกของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป อาณาเขตดวงดาวในขั้นรวบรวมดวงดาวควรสวยงามชนิดไร้ที่ติ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ยิ่งบำเพ็ญเพียรในขั้นสูง ความว่างเปล่าที่เห็นกลับมิใช่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง เนื่องจากโลกของผู้บำเพ็ญเพียรมีขีดจำกัด จึงไม่สามารถควบคุมจิตวิญญาณและพลังปราณของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทว่าเฉินฉางเซิงมิได้คิดเช่นนี้ เขาคิดว่าจริงๆ แล้วไม่มีอาณาเขตดวงดาวที่สมบูรณ์แบบ เพราะว่า…แท้จริงแล้วดวงดาวมิได้สงบนิ่งเคร่งขรึม หรือดำรงอยู่นิรันดร์โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่กลับดำรงอยู่ในลักษณะเคลื่อนที่อย่างสมดุลมาโดยตลอด เมื่อเกิดพลังสมดุลของการเคลื่อนที่ พอมีแรงจากภายนอกเข้าไป พลังสมดุลก็มักถูกทำลายในช่วงเวลาหนึ่ง…ฟังดูนี่ก็คือเหตุผลที่ซูหลีชี้แนะให้เขาตอนทำลายอาณาเขตดาบของเซวียเหอ แต่ความจริงแล้ว ความเข้าใจในจุดนี้ของเขา ไปไกลกว่าแนวคิดเพลงกระบี่รอบรู้ของซูหลีเสียอีก เพียงแต่ตอนนี้ ไม่ว่าซูหลีหรือตัวเขาเองก็ยังไม่ชัดเจนว่าตนเข้าใจอะไรบ้าง ค้นพบอะไรบ้าง ย่อมคิดไม่ถึงว่า ความเข้าใจเช่นนี้จะส่งผลต่อการต่อสู้ การบำเพ็ญเพียร ตลอดจนจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์การบำเพ็ญเพียรในภายภาคหน้าอย่างไร
ขณะมองชุดระบำของเหลียงหงจวงพลิ้วไหวอยู่นั้น ข้อมูลต่างๆ ในสมองของเฉินฉางเซิงก็วาบผ่านอย่างรวดเร็ว เขาคิดคำนวณไม่หยุด พลางรู้สึกว่าบนเนื้อผ้ามีพลังปกคลุมอยู่ รวมทั้งพลังปราณอันแปรปรวนของภูเขาร้างซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษด้วย ราวกับเห็นดวงดาวมากมายปรากฏอยู่ตรงหน้า
ไม่มีใครสามารถเห็นตำแหน่งที่สัมพันธ์กันระหว่างดวงดาวได้อย่างชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไม่มีใครสามารถใช้ดวงดาวที่กำลังกะพริบและตำแหน่งที่สัมพันธ์กัน มาสันนิษฐานรูปแบบการเคลื่อนที่ของอาณาเขตดวงดาวผืนนี้ แล้วหาจุดอ่อนในระยะเวลาอันสั้นได้ด้วย ความสามารถในการคิดคำนวณของมนุษย์มีขีดจำกัด ในเวลานี้จึงต้องมอบหน้าที่ให้กับความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดอย่างความรู้สึก หรือการคาดเดา
ดวงดาวหลายร้อยดวงที่มืดบ้างสว่างบ้าง กำลังเปลี่ยนสีในสมองของเขา ทั้งๆ ที่พวกมันมิได้เคลื่อนที่ แต่เขาคลับคล้ายเห็นว่าพวกมันกำลังเคลื่อนที่
มนุษยสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ มากมาย ชะตาชีวิตคือบทสรุปของแนวทางปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ดวงดาวคือภาพวาดที่ใช้อธิบายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ชีวิตของเหลียงหงจวงแปรเปลี่ยนไม่หยุด เขาเรียนรู้และเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี ใช้สุราร้อนแรงชะลอความแก่ชรา ใช้ความเกลียดชังเจือจางความเจ็บปวด ดังนั้นอาณาเขตดวงดาวของเขาจึงเคลื่อนที่ไม่หยุด
ดวงดาวเคลื่อนที่ ความมืดความสว่างแปรเปลี่ยน ชะตาชีวิตถูกวาดขึ้นใหม่เอง
ในความคลุมเครือ เขาซึ่งยืนอยู่นอกอาณาเขตดวงดาวระยิบระยับ พลันเห็นเงามืดในจุดจุดหนึ่ง ดวงดาวที่อยู่รอบๆ เหมือนจะกลายเป็นทางเดิน แต่สุดทางเดินกลับเป็นเงามืดนี้ จึงไม่รู้ว่าทางเดินนี้สิ้นสุดตรงที่ใด อาจจะเป็นความว่างเปล่า
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นจริงหรือไม่ เพราะในอาณาเขตดวงดาวแห่งนี้ ยังมีอีกหลายจุดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ตอนนี้เวลานี้ เขาได้แต่เชื่อมั่นในตนเอง ต่อให้เดา ก็ต้องเชื่อว่านี่คือความจริง…เขาจึงแทงกระบี่สั้นไปที่ตำแหน่งนั้น!
เสียงฉึกดังเบาๆ อากาศเย็นในภูเขาร้างถูกทะลวง
ผ้ายาวสีแดงปลิวไสวไม่หยุด
เห็นจะจะว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงกำลังจะแทงเข้าไปในเนื้อผ้า แต่กลับหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนปรากฏขึ้นอีกที่หนึ่ง
ซูหลีรู้สึกหนาว จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
กระบี่รวดเร็วมาก สามารถทำลายอาณาเขตดวงดาวของเหลียงหงจวงลงได้
กระบี่รวดเร็วมาก เร็วจนเหลียงหงจวงไม่ทันโต้ตอบใดๆ
เสียงแผดร้องดังก้องกังวาน สะเทือนลั่นไปทั่วทั้งภูเขา เหลียงหงจวงรีบก้าวถอยหลังติดต่อกันไปไกลร่วมสิบกว่าจั้ง ค่อยหยุดฝีเท้าลง
ผ้ายาวสีแดงค่อยๆ ตกลงข้างเท้าของเขา
มุกที่เคยปักอยู่ตรงติ่งหูข้างซ้าย ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว เหลือเพียงหยดโลหิตสดๆ หนึ่งหยด
หนึ่งกระบี่ของเฉินฉางเซิงแทงเข้าที่หูซ้ายของเขา แทงเข้าที่มุกเม็ดนั้น
เหลียงหงจวงยกมือขึ้นลูบหูซ้ายของตน ถูนิ้วที่เปียกแฉะไปมา ขมวดคิ้ว แล้วจ้องมองเฉินฉางเซิงอย่างตะลึงงัน ด้วยไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าอาณาเขตดวงดาวของตนถูกทำลายลงได้อย่างไร? เด็กหนุ่มผู้นี้คือใคร?
การต่อสู้กับผู้ที่มีขั้นบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันมิใช่เรื่องเหนือคาดหมาย แต่ส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นในขั้นเดียวกัน เช่น ผู้ที่อยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นต่ำสามารถท้าประลองกับผู้ที่อยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงได้ แต่การต่อสู้ข้ามขั้น เช่นขั้นถอดจิตท้าประลองกับขั้นทะลวงอเวจี หรือขั้นทะลวงอเวจีท้าประลองกับขั้นรวบรวมดวงดาว เป็นการต่อสู้ที่ไม่ค่อยได้พบเห็น และจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ในรอบหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ก็ไม่ค่อยมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จให้เห็น
แต่แน่นอนว่า ย่อมมีตัวอย่างอยู่ เช่น บรรดาผู้สืบสายโลหิตซึ่งมีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิดทั้งหลาย อย่างชิวซานจวินตอนอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีนั้น ผู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นแรกใครบ้างกล้าพูดว่าเอาชนะเขาได้แน่ หรืออย่างตอนเฉินฉางเซิงออกจากเมืองจิงตู แม้ลั่วลั่วจะยังไม่เข้าขั้นทะลวงอเวจี แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี รวมทั้งตัวเขาด้วย ใครบ้างกล้าพูดว่านางสู้ตนไม่ได้?
แต่ชัดเจนว่าเฉินฉางเซิงไม่มีสายโลหิตพรสวรรค์ใดๆ ติดตัวมาแต่กำเนิด พลังปราณของเขาธรรมดามาก พละกำลังก็ปกติทั่วไป…เหลียงหงจวงพลันนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงถาม “หรือเจ้าคือ…”
เฉินฉางเซิงถือกระบี่ทำความเคารพ พลางว่า “เฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง”