เหลียงหงจวงรู้สึกหนาวเล็กน้อย จึงเลิกคิ้วที่วาดไว้อย่างดีขึ้น…
หัวหน้าสำนักฝึกหลวงอายุน้อยที่สุด
ผู้ซึ่งได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีจากนิกายหลวง เด็กรุ่นใหม่ผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของใต้เท้าสังฆราชและมุขนายกเหมยหลี่ซา ที่แท้ก็คือเด็กหนุ่มคนนี้…
เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงคือใคร
มิฉะนั้นคงเดาไม่ถูก เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องบางอย่าง เช่น เฉินฉางเซิงฝึกถึงขั้นทะลวงอเวจีได้ตั้งแต่อายุสิบหก ศิษย์พี่ที่ไม่สนิทท่านนั้นยังรู้สึกผิดคาด ตัวเขาเองก็รู้สึกชื่นชมมาก แต่ยังคงไม่เข้าใจกระบี่นี้ของเฉินฉางเซิง
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ความสามารถของเฉินฉางเซิงมาจากการบำเพ็ญเพียร การเข้าใจคัมภีร์ลัทธิเต๋าอย่างทะลุปรุโปร่งแสดงให้เห็นถึงความวิริยะอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร และฉลาดเฉลียว แต่เขาเป็นคนธรรมดา มิได้มีสายโลหิตพิเศษมาแต่กำเนิด จึงเทียบไม่ได้กับชิวซานจวิน สวีโหย่วหรง องค์หญิงลั่วลั่ว แต่เหตุใดกระบี่นี้จึงสามารถก้าวข้ามความแตกต่างระหว่างขั้นทะลวงอเวจีและขั้นรวบรวมดวงดาว จนทำลายอาณาเขตดวงดาวของเขาไปได้?
หรือก่อนที่เฉินฉางเซิงจะแทงกระบี่ก็มองเห็นจุดอ่อนในชุดระบำของตนแล้ว? เหลียงหงจวงมองดูซูหลี…
อาณาเขตดวงดาวในขั้นรวบรวมดวงดาวที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่จริงๆ แล้วไม่สมบูรณ์แบบ
มีเพียงซูหลีผู้แข็งแกร่งรุ่นใหญ่ระดับนี้เท่านั้นจึงสามารถมองออก แต่ก่อนหน้านี้ซูหลีก็มิได้ส่งเสียงอะไร กระทั่งสายตาก็จ้องมองแต่กระบี่ของเฉินฉางเซิง มิได้จ้องมองตนเอง
“ที่เจ้าใช้คือ…เพลงกระบี่อะไร?”
เหลียงหงจวงมองดูกระบี่สั้นในมือเฉินฉางเซิง แล้วเลิกคิ้วสวยสูงขึ้นไปอีก รัศมีปีศาจจึงยิ่งเปล่งออกจนยากบรรยาย
เฉินฉางเซิงไม่รู้ควรตอบคำถามนี้อย่างไรดี ตอนซูหลีสอนวิชากระบี่ ก็พูดอย่างชัดเจนแล้วว่า เพลงกระบี่ทุกเพลงควรอยู่ในขอบเขตของเพลงกระบี่รอบรู้ แต่เขามักรู้สึกว่าคำพูดนี้มีความแตกต่างบางอย่างแฝงอยู่ ซูหลีในตอนนี้ก็กำลังมองดูเฉินฉางเซิง พลางถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าเดาจริงๆ หรือ?”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา “ก็คือมั่วนั่นแหละ”
ดวงตาซูหลีทอประกาย คล้ายเพิ่งพบเด็กหนุ่มเป็นครั้งแรก พลางถามต่อ “มั่นใจกี่ส่วน?”
เฉินฉางเซิงคำนวณในใจ ค่อยตอบอย่างค่อยไม่มั่นใจนัก “เจ็ด”
ซูหลีพลันร้องเสียงสูง “เจ็ดส่วน?”
แม้ผู้สันทัดและภาคภูมิใจในเพลงกระบี่อย่างเขา ยังรู้สึกว่าคำตอบนี้น่าตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ขนาดตอนเขาเรียนวิชากระบี่ที่เขาหลีซานเมื่อหลายร้อยปีก่อน หรือตอนชิวซานจวินฝึกกระบี่รอบรู้กับเขาในช่วงแรก ก็ล้วนไม่สามารถทำได้ถึงเพียงนี้ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ใช่แล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงพูดเสียงต่ำ “ข้าหมายถึงเจ็ดส่วนร้อย”
ซูหลีคิดในใจ แบบนี้ค่อยยังชั่ว ยกโทษให้ การแสดงออกของเฉินฉางเซิงเหนือความคาดหมายของเขามาก จึงพูดอย่างทอดถอนใจ “เอาเถอะ อย่างน้อยก็หลุดพ้นจากขอบเขตของการมั่ว มาถึงขั้นเดาจนได้”
เฉินฉางเซิงงงเล็กน้อย “มั่วกับเดาไม่เหมือนกันตรงไหน?”
ซูหลีว่า “เดาต้องอาศัยข้อมูลบางอย่าง แต่มั่วคือสะเปะสะปะจิ้มไป ไม่เหมือนกันแน่นอน”
เฉินฉางเซิงจึงนึกถึงความรู้สึกขณะกำลังจะแทงกระบี่ออก แต่ก็พลันสับสน ไม่รู้ว่าตนเดาหรือมั่ว
กระบี่นี้โดยรวมแล้วมิได้อาศัยการคิดคำนวณ แต่เป็นความรู้สึก
ความรู้สึก หลายครั้งมีส่วนคล้ายสัญชาตญาณตอบโต้ที่เกิดจากการฝึกฝนและผ่านการคิดคำนวณมาหลายครั้งหลายหน เขาคลับคล้ายรู้สึกว่ากระบี่นั้นของตน แทงเข้าที่ช่องโหว่ในชุดระบำของเหลียงหงจวง ซึ่งแตกต่างจากกระบี่รอบรู้ที่ซูหลีสอนเขานิดหน่อย แต่ไม่รู้ว่าความแตกต่างนี้คืออะไร
เหลียงหงจวงที่ยืนอยู่ห่างออกไปราวสิบจั้ง มองดูการพูดคุยของคนทั้งสอง แล้วพลันหัวเราะออกมา ใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างสวยงามเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน “กำลังคุยกันอยู่หรือนี่?”
ซูหลีมองเขาพลางว่า “เจ้าอยากคุยด้วยไหมล่ะ ได้นะ”
เหลียงหงจวงยืนอึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเข้าร่วมวงสนทนาจริงๆ เนื่องจากเขาอยากพูดอะไรบางอย่างกับเฉินฉางเซิง ส่วนกับซูหลี เขาไม่มีอะไรจะพูดด้วย
เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางว่า “เหตุใดเจ้าถึงปรากฏตัวอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเทียนเหลียง? เหตุใดถึงร่วมทางกับจอมมารตนนี้? เหตุใดถึงต้องช่วยเขาด้วย?”
ความทรงจำเกี่ยวกับซูหลีและเรื่องที่เฉินฉางเซิงได้ยินในจิงตู ส่วนใหญ่เป็นภาพลักษณ์ของอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานผู้สูงส่งที่ชอบท่องโลกกว้าง แต่จากการร่วมทางกันครั้งนี้ ทำให้เขาค้นพบว่าภาพลักษณ์ชนิดนี้ไม่ถูกต้องนัก หรือไม่เพียงพอที่จะอธิบายตัวตนของซูหลีก็ว่าได้ ซึ่งซูหลีเองก็ยอมรับว่าตนฆ่าคนมามาก แต่เมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ว่า…จอมมาร
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาฆ่าคนมามากน้อยแค่ไหน? เขาล้างกระบี่ด้วยโลหิตมาแล้วกี่ครั้ง ถึงได้คมกริบเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่?” เหลียงหงจวงจ้องมองเฉินฉางเซิง ก่อนพูดประชดต่อ “เขาฆ่าคนมากมายเช่นนี้ ย่อมสมควรตายเสียแต่แรก แต่กลับยังไม่ตายสักที ฟ้าดินมีตา ถึงเวลากรรมสนอง ในที่สุดเขาก็กำลังจะตาย แต่เจ้ากลับปกป้องเขา”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร เพราะไม่รู้ควรพูดอะไรดี
เหลียงหงจวงยกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ก่อนเดินเข้าหา แล้วว่า “เขาเป็นคนทางทิศใต้ เจ้าเป็นคนต้าโจว เขาฆ่าคนต้าโจวมากขนาดนี้ เจ้าจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องปกป้องเขาอีก”
นี่ดูไม่เหมือนปัญหา แต่พอคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ ย่อมเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
ตอนอยู่บนที่ราบหิมะ เฉินฉางเซิงแบกซูหลีหนีตาย จะนับว่าเป็นการตอบแทนซูหลีที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็ย่อมได้ และอาจเพราะตอนนั้นมีเพียงซูหลีเท่านั้นที่ช่วยให้เขากลับบ้านได้ แต่หลังจากวิ่งข้ามที่ราบหิมะหมื่นลี้ บุญคุณที่ช่วยชีวิตต่อให้มีมากแค่ไหน เขาก็ได้ตอบแทนไปหมดแล้ว ตอนนี้พอกลับสู่ดินแดนต้าโจว เขาก็สามารถจากไปอย่างปลอดภัยได้ทุกเมื่อ…เขาหลีซานมีชื่อเสียงเพราะซูหลี
คนในนิกายหลวงอาศัยนิกายหลวงสร้างชื่อ ตอนนี้ซูหลีเหมือนราชสีห์บาดเจ็บสาหัส ขอเพียงนิกายหลวงยังไม่ถูกทำลาย อาศัยสถานะของเฉินฉางเซิงในสำนักฝึกหลวง อาศัยข่าวเรื่องความชื่นชมที่ใต้เท้าสังฆราชกับมุขนายกเหมยหลี่ซามีต่อเขา ใครจะกล้าทำอะไรเขาได้? ขอเพียงเขายอมจากไป ไม่ว่าเซวียเหอ เหลียงหงจวง หรือผู้แข็งแกร่งที่จะมีมาอีกเรื่อยๆ ล้วนต้องส่งเขากลับเมืองจิงตูตั้งแต่แรกเจอ ซึ่งไม่ว่ามองมุมไหน ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เขาต้องยืนอยู่ข้างกายซูหลีต่อ
เฉินฉางเซิงเหลือบมองซูหลี
ซูหลีมีท่าทีไม่สนใจ และมิได้พูดอะไร เพราะนี่ก็เป็นปัญหาที่เขาก็อยากรู้เช่นกัน เพียงแต่เขาไม่ถาม เฉินฉางเซิงก็ไม่พูด
ตอนนี้พอเหลียงหงจวงถามออกมา เขาก็อยากฟังเสียหน่อยว่าเฉินฉางเซิงจะตอบอย่างไร
เฉินฉางเซิงเงียบไปสักพัก ค่อยว่า “จู่ๆ ข้าก็ออกจากสวนโจว มาปรากฏตัวอยู่หน้าเมืองเสวียเหล่าโดยไม่รู้ตัว”
เหลียงหงจวงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้
“ตอนอยู่ในสวนโจว ข้าคิดว่าตนเองต้องตายแน่ๆ พอออกมาจากสวนโจว เห็นเมืองเสวียเหล่า ก็คิดอีกว่าตนเองต้องตายแน่ๆ ทว่า…ผู้อาวุโสซูหลีได้ช่วยข้าไว้ อีกอย่างข้าคิดว่าการที่ผู้อาวุโสถูกพวกมารล้อมฆ่า อาจเกี่ยวข้องกับแผนร้ายที่ข้าพบเจอในสวนโจว เอาเถอะ…ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรมาก…เหตุผลง่ายนิดเดียว ผู้อาวุโสช่วยชีวิตข้า ข้าย่อมไม่อาจเห็นเขาตายต่อหน้าต่อตา” เฉินฉางเซิงจ้องมองเหลียงหงจวงพลางอธิบายจริงจัง
ซูหลีจึงว่า “ที่ราบหิมะหมื่นลี้กับดาบของเซวียเหอ เจ้าได้ใช้ชีวิตตอบแทนข้าไปหมดแล้ว”
“ผู้อาวุโส คิดเช่นนี้ไม่ได้ พูดให้ถูกก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตไม่สามารถคิดแบบนักบัญชี” เฉินฉางเซิงชี้แจงความคิดของตน คำพูดเปลี่ยนเป็นไหลลื่นขึ้นมา “สำหรับท่าน อาจเป็นเพียงการช่วยชีวิต แต่สำหรับข้าแล้ว ชีวิตก็คือชีวิตทั้งหมดของข้า”
ซูหลีกับเหลียงหงจวงเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ดี เพียงแต่ในฐานะผู้ซึ่งอยู่ในแวดวงบำเพ็ญเพียรมานานหลายปี จนร่างกายและจิตใจเต็มไปด้วยฝุ่นธุลี จึงยากที่จะยอมรับเหตุผลนี้
ซูหลีส่ายศีรษะแล้วว่า “ข้าคิดว่าเจ้าไม่ติดค้างอะไรข้าแล้ว”
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนี้” เฉินฉางเซิงเถียง
ซูหลีอึ้ง เขาชัดเจนดีว่า ตนมิใช่ผู้ที่เฉินฉางเซิงเคารพยกย่อง และไม่มีอะไรให้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสหายต่างวัย ดังนั้นจึงแปลกใจที่เฉินฉางเซิงไม่คิดจากไปเสียที จนถึงตอนนี้เวลานี้ ถึงได้รู้ว่า ที่แท้ก็เพราะเหตุผลง่ายๆ เพียงเหตุผลเดียว ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ในเหตุผลเช่นนี้ได้นั้น ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ในสายตาคนรอบข้าง ชีวิตหนึ่งชีวิต แท้จริงแล้วก็คือสิ่งที่เจ้ามีอยู่ทั้งหมด…เช่นนั้นเจ้าเตรียมตอบแทนข้าอย่างไร? หรือเจ้าเตรียมที่จะใช้ชีวิตที่เหลือเฝ้าอยู่ข้างกายข้า เป็นโคเป็นกระบือให้ข้าใช้หรือ?”
ซูหลีจ้องมองเขาพลางพูดประชดเล็กน้อย แต่ดวงตากลับมีความอบอุ่นให้เห็น
เฉินฉางเซิงพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ก็ไม่ถึงกับขนาดนั้นหรอกขอรับ”
ซูหลีหัวเราะออกมา เหลียงหงจวงก็หัวเราะเช่นกัน คนหนึ่งหัวเราะอบอุ่น ส่วนอีกคนหัวเราะเยาะ ความหมายของการหัวเราะไม่เหมือนกัน
“ต่อให้คิดแบบนักบัญชีจริงๆ ต่างคนต่างช่วยชีวิตซึ่งกันและกันครั้งหนึ่งก็สามารถชดเชยกันได้ ข้าก็ไม่คิดว่านี่เป็นการตอบแทนอยู่ดี”
เฉินฉางเซิงมองเหลียงหงจวงพลางว่า “ข้าต้องการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต ดังนั้นข้าต้องแน่ใจให้ได้ก่อนว่าผู้อาวุโสปลอดภัย ชีวิตไม่ตกอยู่ในอันตราย ถึงสามารถจากไปได้ ก็เหมือนผู้ป่วยที่จมน้ำและเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ท่านช่วยเขาขึ้นจากน้ำมา แต่กลับไม่สนใจว่าเขาป่วยเจียนตาย ก็เดินดุ่มๆ จากไป เช่นนี้จะถือว่าช่วยชีวิตเขาได้อย่างไรเล่า?”
เหลียงหงจวงคิดๆ ดูจึงว่า “มีเหตุผล”
“ขอบคุณ…ที่ท่านเข้าใจ” เฉินฉางเซิงตอบ
ขณะมองดูหน้าตาที่คล้ายหญิงสาวของเหลียงหงจวง ตลอดจนชุดระบำสีแดง เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าอย่างไรดี
เหลียงหงจวงมองเขาแล้วพูดอย่างนิ่งเรียบ “ข้าต้องล้างแค้นแทนบิดา นี่ก็มีเหตุผลมากใช่หรือไม่?”
เฉินฉางเซิงเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยผงกศีรษะ
ล้างแค้นแทนบิดา เป็นเหตุผลที่ใครๆ ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ เป็นเหตุผลสูงส่งสุด
“เมื่อเจ้ายืนยันว่าต้องช่วยเขา เช่นนั้นข้าก็ต้องฆ่าเจ้า”
เหลียงหงจวงพูดต่อ “เรื่องหลังจากนี้ ถ้าใต้เท้าสังฆราชลงโทษข้า ข้าก็แค่ตาย เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าไม่กลัวหรอก”
เฉินฉางเซิงรู้ดีว่า สำหรับผู้ที่เต็มไปด้วยความแค้นเช่นนี้ พอตัดสินใจทำอะไรแล้ว แม้แต่อำนาจของนิกายหลวงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของพวกเขาได้ จึงว่า “เข้าใจ”
กลิ่นอายพลังปราณของเหลียงหงจวงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้ารุ่มร่ามของเขาไม่ปลิวไสวไปกับสายลมอีก อาณาเขตดวงดาวก็แข็งแกร่งและมั่นคงกว่าก่อนหน้านี้มาก
เขามองเฉินฉางเซิงอย่างเย็นชาพลางว่า “สุดท้ายเจ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม?”
เฉินฉางเซิงพูดจากใจจริง “ขอท่านออมมือด้วย”