การที่เหลียงหงจวงห้อตะบึงมาพันลี้ ก็เพื่อมาฆ่าซูหลี ล้างแค้นแทนบิดาที่ถูกซูหลีฆ่าตาย จุดนี้เขาได้ชี้แจงให้ทราบอย่างแจ่มชัดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลของการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงมิใช่วัดกันแค่แพ้ชนะ แต่วัดกันที่ความเป็นความตาย
ก่อนเข้าห้ำหั่นชี้วัดความเป็นความตาย การขอให้ฝ่ายตรงข้ามออมมือ มิได้พูดตามพิธี แต่พูดอย่างจริงใจ และขอร้องจากใจจริง คำพูดของเฉินฉางเซิงจึงเป็นคำพูดที่ผู้ฟังไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ทำเอาเหลียงหงจวงตอบไม่ถูก เขาได้แต่ส่ายหน้า ทว่าเรื่องที่เกิดตามมา ไม่มีอะไรผิดคาด ด้วยเรื่องนี้ไม่สามารถออมมือกันได้
ชุดระบำสีแดงพลิ้วขึ้นท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวของภูเขาร้าง ฝุ่นผงดินโคลนที่สะสมมาหลายร้อยลี้กระจายไปทั่ว ร่างของเหลียงหงจวงลอยกลางอากาศ คล้ายเปลวเพลิงกองใหญ่ที่กำลังจะเผาทุกอย่างให้มอดไหม้
โลกนี้ยังมีสิ่งใดลุกลามได้เร็วและแรงกว่าเปลวเพลิงอีก หรือการรุกดุจเปลวเพลิงในครั้งนี้ เด็กหนุ่มยังจะเห็นช่องโหว่ในอาณาเขตเพลิงได้? ขนาดข้ายังเห็นไม่ชัด แล้วเจ้าจะเห็นหรือ?
ว่ากันตามเหตุผล จากขั้นบำเพ็ญเพียรและชื่อเสียงในพื้นที่ภาคเหนือของเหลียงหงจวงแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้สู้กับผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีด้วยซ้ำ แต่เฉินฉางเซิงมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นทะลวงอเวจีทั่วไป และเพราะต้องการฆ่าซูหลีให้ตาย เหลียงหงจวงจึงยอมอับอาย ไม่สนใจใคร ขอรอบคอบไว้ก่อน แม้ไม่ถึงกับต้องรอบคอบขนาดนี้ก็ตาม
เมื่อผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับรอบคอบเช่นนี้ จึงถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่ง ขณะมองดูชุดระบำสีแดงที่คล้ายเปลวเพลิงกำลังเผาไหม้ป่าดงพงไพรสีเขียวของภูเขาร้างนั่น ซูหลีก็เลิกคิ้วขึ้น รู้สึกเย็นลงเล็กน้อย เย็นในที่นี้คือเย็นชาและเฉยชา เย็นชากับชีวิต เฉยชากับความตาย…เขาเห็นบทสรุปของการต่อสู้ในครั้งนี้แล้ว ก่อนหน้านี้หนึ่งกระบี่ของเฉินฉางเซิงทำเหลียงหงจวงบาดเจ็บแค่ติ่งหู สถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่น่ารับมือไหว
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ครั้งสุดท้ายที่ออกจากสวนโจวนั้น เขาอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีระดับสูงสุด ถึงให้เขาในตอนนั้นมาเผชิญหน้ากับเหลียงหงจวงในตอนนี้ นอกจากฆ่าให้ตายกันไปข้าง ก็คิดวิธีรับมือที่ดีไปกว่านี้ไม่ออกอีก แล้วเฉินฉางเซิงจะทำอย่างไรล่ะที่นี้?
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี แม้เขาฉลาดกว่านี้ ขยันบำเพ็ญเพียรกว่านี้ ความแตกต่างของขั้นบำเพ็ญเพียรก็ยังดำรงอยู่ นับประสาอะไรกับเรื่องการต่อสู้ ประสบการณ์ของเหลียงหงจวงย่อมมีมากกว่าเขาอยู่ รวมทั้ง…การรุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ยากที่จะมีสิ่งใดในโลกลุกลามได้เร็วและแรงไปกว่าเปลวเพลิง เขาซึ่งอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีย่อมไม่มีทางไล่ทันความเร็วระดับเหลียงหงจวง ทว่ามีสองสิ่งที่เขาเร็วกว่า…ย่างก้าวหยั่งเทวากับความคิด
เมื่อจิตสัมผัสขยับ ก็สามารถก้าวข้ามหมื่นพันป่าเขาลำเนาไพร
เขาจ้องมองชุดระบำดุจเปลวเพลิงลามไปทั่วทั้งพงไพร พลางใช้ความคิด
ในคัมภีร์ลัทธิเต๋าบันทึกเรื่องราวเก่าแก่ของรัชสมัยก่อน เกี่ยวกับวิชาที่โดดเด่นของเหลียงหวังซุนขณะท่องไปในดินแดนทางตอนเหนือ เมื่อดูจากดวงตาอันเย็นชาของเหลียงหงจวง แขนเสื้อสีแดงอันน่ากลัว พลังที่ระเบิดออก พลังปราณอันแข็งแกร่ง ภาพของต้นหญ้าใบหญ้าสีเขียวงองุ้มเมื่อถูกเหยียบ ข้อมูลมากมายหรือคำบรรยายในบันทึกปรากฏขึ้นในสมองของเขา จากนั้นก็ถูกรวบรวมเป็นกลุ่มและจับคู่กันไม่หยุด กลายเป็นแผนที่ดวงดาวที่ซับซ้อนผืนหนึ่ง
เขายังไม่สำเร็จวิชากระบี่รอบรู้ แม้ให้เวลาอีกสามคืนสามวันก็ไม่มีทางหาจุดอ่อนอาณาเขตดวงดาวของเหลียงหงจวงจากข้อมูลเหล่านี้พบ และไม่มีทางมองความสัมพันธ์ในแผนที่ดวงดาวผืนนี้ออก และจากนั้น ชุดระบำของเหลียงหงจวงก็คงแผดเผาเขาจนกลายเป็นเถ้าธุลี
เขายังคงต้องมั่ว ไม่สิ เดา
ซูหลีเคยพูดว่า การเดากับการมั่วไม่เหมือนกัน มั่วคือจิ้มสะเปะสะปะ แต่ตอนเดาเราต้องลืมตามองโลก มองท้องฟ้า มีข้อมูลพื้นฐาน จากนั้นก็ฟังสัญชาตญาณ หรือความรู้สึกของใจก็ว่าได้
เขาทำการเดาเรียบร้อย แล้วจึงชิงโอกาสขยับก่อน
ในภูเขาร้างมีลม เป็นลมที่เกิดจากชุดระบำของเหลียงหงจวง แต่รอบตัวของเฉินฉางเซิงกลับสงบนิ่ง แปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว ทันใดนั้น เขาก็หายไปจากที่ที่ยืนอยู่ มาปรากฏตัวตรงหน้าเหลียงหงจวง
วิชาที่เขาใช้คือ ย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับย่อ
แสงจ้าจากกระบี่สว่างวาบขึ้นในภูเขาร้าง พร้อมเสียงกู่ร้องก้องต่ำที่ราวกับมาจากแรงกดดันของความกลัวและความเครียด แทงเข้าใส่กลางเปลวเพลิงที่ลุกโชน
เพลงกระบี่ที่เขาใช้คือเพลงกระบี่มังกรครวญยุคใหม่
ซึ่งเมื่อเทียบกับอาณาเขตอันยิ่งใหญ่จากชุดระบำที่ปลิวไสวของเหลียงหงจวงแล้ว เจตจำนงกระบี่ของเขาในครั้งนี้ แม้ไม่ยิ่งใหญ่ แต่น่ากลัวมาก
แสงกระบี่พลันส่องสว่างไปทั่วทั้งภูเขา ราวสายฟ้าฟาดเส้นหนึ่ง
กระบี่สั้นเลือกมุมที่ยากคาดเดา แทงเข้าตรงๆ อย่างฉับพลัน แล้วหมุนรอบเปลวเพลิงที่ลุกโชน ก่อนจ่อมาตรงหน้าเหลียงหงจวง
เสียงแผดร้องที่แฝงความเคียดแค้นและความตื่นตระหนกดังขึ้นกลางภูเขาร้าง
เหลียงหงจวงถอยหลังกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ไหล่ซ้ายของเขาปรากฏรอยฟันของกระบี่อย่างเห็นได้ชัด โลหิตสดๆ ล้นทะลักออกจากรอยฟัน กระบี่ของเฉินฉางเซิงฟันถูกเขาอีกครั้ง!
แต่เปลวเพลิงยังไม่ลดราวาศอก กลับโหมกระพือ เหลียงหงจวงเดือดดาลสุดๆ ปล่อยชุดระบำสีแดงออก เข้าคลุมตัวเฉินฉางเซิง ขณะเดียวกันก็มีแสงกระบี่สว่างจ้าขึ้นอีกสาย
เสียงกระบี่ดังเวิ้งว้างไม่หยุด ทว่าไม่รีบ ทยอยกันมาทีละกระบวนท่า ช้าบ้างเร็วบ้าง อีกทั้งเจตจำนงกระบี่ก็ไม่มีพลังอะไร และแล้วชุดระบำที่คล้ายเปลวเพลิงก็ตกลง ที่สุดแล้วกลับไม่สามารถคลุมตัวเฉินฉางเซิงเอาไว้ได้
……
……
เวลาผันผ่าน ขณะแสงกระบี่ปะทะกับเปลวเพลิง
ไม่รู้นานเท่าใด พลันได้ยินเสียงฉีกขาดอันน่าสยดสยองดังขึ้น
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกลามไปทั่วพงไพรพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมๆ กับแสงกระบี่
ร่างทั้งสองยืนประจันหน้ากัน ในระยะห่างหลายสิบจั้ง โดยมีลมภูเขาพัดเบาๆ อยู่ตรงกลาง
ใบหน้าเฉินฉางเซิงซีดขาว มือที่จับกระบี่สั่นไม่หยุด
ใบหน้าเหลียงหงจวงซีดขาวยิ่งกว่า ร่างของเขาเต็มไปด้วยโลหิต ชุดระบำขาดหลุดลุ่ย
เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่เจ็ดกระบวนท่าได้อย่างไม่มีช่องโหว่แม้แต่กระบวนเดียว
สู้กันถึงตอนนี้ ก็เห็นผลแพ้ชนะแล้ว
สภาพชุดกับหยดโลหิต อีกทั้งใบหน้าที่ซีดขาวของเหลียงหงจวงบ่งบอกได้อย่างชัดเจน โลหิตหยดลงจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งไม่หยุด เขาถลึงตามองเฉินฉางเซิง คล้ายคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้เกิดอะไรขึ้น
เฉินฉางเซิงเองก็งุนงง เกรงว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น
ซูหลีจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางเกิดความรู้สึกหลากหลาย เด็กหนุ่มขั้นทะลวงอเวจีสู้กับผู้มีชื่อเสียงขั้นรวบรวมดวงดาว ในอดีตมักสิ้นสุดที่ผลแพ้ชนะ…ในประวัติศาสตร์แวดวงบำเพ็ญเพียรยากที่จะพานพบการฆ่าข้ามขั้น แต่ตอนนี้เขากลับเห็นอยู่ตรงหน้า
เขาในตอนนั้นก็เคยฆ่าคนที่อยู่ในขั้นสูงกว่าสำเร็จอยู่หลายครั้ง เขาจึงเชื่อว่าชิวซานจวินซึ่งอยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ฝึกวิชากระบี่กับเขาหนึ่งเดือนก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่เฉินฉางเซิงกลับทำสำเร็จก่อน อีกทั้งวิธีที่ใช้ยังทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริดอีก
การต่อสู้ครั้งนี้ ช่างเรียบง่ายกระไรเช่นนี้
ซูหลีชัดเจนดีว่า ก็เพราะความเรียบง่ายเพียงอย่างเดียวนี่แหละที่ทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด
เฉินฉางเซิงฆ่าคนในขั้นสูงกว่าสำเร็จ โดยมิได้อาศัยพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดพร้อมสายโลหิต เขาไม่มีพรสวรรค์ด้านเส้นทางกระบี่ และโชคชะตามิได้เข้าข้าง ทั้งหมดล้วนอาศัยความเพียรและความชาญฉลาดของตัวเขาเอง นี่มิใช่พรสวรรค์ แต่ยิ่งใหญ่กว่าพรสวรรค์
ท่ามกลางกระแสธารแห่งกาลเวลา ในดินแดนต้าลู่อันกว้างใหญ่ เคยปรากฏคนเช่นนี้หรือไม่?
ซูหลีจ้องมองเฉินฉางเซิง พลางนึกถึงคำถามนี้เงียบๆ พร้อมใช้นิ้วมือเคาะร่มกระดาษทองเบาๆ
แต่สุดท้าย เขาก็เคาะได้เพียงหกครั้งเท่านั้น