บทที่ 853 : จุดจบ!
  ในที่สุดก็หมดเวลาล้อเล่นกับหลี่จิ่วเจียงแล้วหลิงหยุนใช้วิธีจัดการตลบหลังหลี่จิ่วเจียงกลับอย่างแสบสันที่สุดจนมันไม่สามารถแก้ตัวใดๆได้อีก!
  แม้กระทั่งถังเมิ่งตี้เสี่ยวอู๋ และคนอื่นๆก็ยังอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ในเมื่อมีหลักฐานมัดตัวแน่นถึงเพียงนี้ เหตุใดหลิงหยุนจึงต้องเสียเวลา และเปลืองน้ำลายไปกับหลี่จิ่วเจียงมากมาย ถึงเวลาที่เขาควรจะต้องจัดการอย่างจริงจังเสียที..
  และผู้ที่มจะารับช่วงต่อจากหลิงหยุนก็คือถังเทียนห่าวเขาได้สั่งการให้กังหลิวหย่งนำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับตัวหลี่จิ่วเจียง และพรรคพวกโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสอบสวนอะไรอีก
  ความจริงแล้ว..เรื่องอาจจะไม่จบง่ายอย่างที่เห็นก็เป็นได้! หากหลิงหยุนไม่คิดการไกล และวางแผนได้อย่างลึกซึ้งกว่าพวกมัน!
  หากหลิงหยุนไม่จัดการต้อนหลี่จิ่วเจียงจนกระทั่งจนมุมต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ถังเทียนห่าวก็คงจะไม่มีความชอบธรรมที่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวหลี่จิ่วเจียงได้!
  เพราะด้วยตำแหน่งของหลี่จิ่วเจียงซึ่งเป็นถึงข้าราชการประจำมณฑลนั้นถังเทียนห่าวที่เป็นเพียงข้าราชการประจำเมืองจึงยังไม่มีคุณสมบัติ และอำนาจเพียงพอที่จะจับกุมโดยพละการเช่นนั้นได้ จะต้องผ่านให้คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยพิสูจน์ว่าผิดจริงเสียก่อน ถังเทียนห่าวจึงจะสามารถจับกุมได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงยากที่จะรับผิดชอบไหว!
  แต่การที่หลิงหยุนพิสูจน์ความผิดของหลี่จิ่วเจียงต่อหน้าสาธราณชนเช่นนี้อีกทั้งยังแสดงหลักฐานทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้นั้น เท่ากับสร้างความชอบธรรมในการบุกจับกุมให้กับถังเทียนห่าวอย่างมาก
  ความจริงแล้ว..ขั้นตอนและกระบวนการพิสูจน์ความผิดของหลี่จิ่วเจียงที่หลิงหยุนทำ กับที่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจะทำนั้นก็คล้ายๆกัน เพียงแค่ขั้นตอนราชการค่อนข้างล่าช้าเป็นปัญหา สิ่งที่หลิงหยุนทำจึงเป็นการเร่งรัดขั้นตอนต่างๆให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น!
  สิ่งที่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจะทำหากมีข้าราชการต้องสงสัยว่าทุจริตคอรัปชั่นก็คือ..การกักบริเวณให้คนผู้นั้นไม่ให้สามารถติดต่อกับโลกภายนอก และบุคคลอื่นได้ จากนั้นจึงเริ่มทำการสืบห้าข้อเท็จจริง และหลักฐานต่างๆ โดยการสอบปากคำคนสนิทรอบตัวผู้ต้องสงสัย และหลังจากที่รวบรวมพยานหลักฐานได้ ก็จะใช้พยานหลักฐานที่ได้มานี้ทำให้ผู้ต้องสงสัยยอมรับสารภาพเอง!
  ภายในห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้มีแขกที่ได้รับเชิญมามากกว่าสามร้อยคนและก่อนที่หลิงหยุนจะมาถึง ทุกคนต่างก็ได้พูดแสดงความยินดีกับหลี่เทียน และผู้อำนวยการหลี่มาแล้วทั้งสิ้น แน่นอนว่าทุกคนต่างก็ต้องรู้จักหลี่จิ่วเจียงไม่มากก็น้อย
  แต่หลังจากที่หลิงหยุนมาถึงก็จัดการถอดเขี้ยวเล็บของหลี่จิ่วเจียงทิ้ง ด้วยการทำร้ายชายลึกลับทั้งสามคนที่ตระกูลซันส่งมาจนไม่สามารถช่วยอะไรหลี่จิ่วเจียงได้อีก
  จากนั้นหลิงหยุนจึงค่อยนำเอาหลักฐานซึ่งมีทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลขึ้นมาให้ทุกคนในงานได้เห็น เพื่อเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของหลี่จิ่วเจียง ซึ่งนับว่าได้ผลอย่างมาก เพราะเวลานี้หลี่จิ่วเจียงมีสภาพไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น!
  นับว่าหลิงหยุนลำดับเวลาได้เหมาะเจาะลงตัวอย่างยิ่ง!
  “ฉันยินดีเป็นพยานให้และจะให้การเรื่องของหลี่จิ่วเจียงเพิ่มเติมด้วย!”
  ทันทีที่หลิงหยุนพูดจบ..เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น เธอหายใจแรงและค่อยๆก้าวออกมาตามทางเดิน
  “นี่..เธอกล้า!”
  ทันทีที่เห็น..หลี่จิ่วเจียงก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง มันลุกขึ้นยืน และร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ แต่ก็พูดได้เพียงแค่นั้น..
  หลี่จิ่วเจียงไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ที่เสนอตัวจะเป็นพยานและให้การเพิ่มเติมเป็นคนแรกนั้น จะเป็นหลี่เสี่ยวเว่ยซึ่งเป็นเลขานุการของตนเอง และยังเป็นภรรยาลับของเขาอีกด้วย!
  หลี่เสี่ยวเว่ยใบหน้าแดงก่ำและเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวของหลี่จิ่วเจียง ร่างกายของเธอก็สั่นเทิ้มอย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาการกดดันอย่างสูง!
  หลี่เสี่ยวเว่ยตัดสินใจพูดโดยไม่มองหน้าหลี่จิ่วเจียง“ฉันชื่อหลี่เสี่ยวเว่ยค่ะ.. เป็นเลขานุการของผู้อำนวยการหลี่ แล้วก็.. ยังเป็นภรรยาลับๆของเขาอีกด้วย ฉันอยู่กับเขามาสามปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ฉันรู้ว่าเขาได้เงินจากการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมากมาย และยังมีภรรยาลับอีกมากมายหลายคน..”
  หลี่จิ่วเจียงได้ฟังคำสารภาพของหลี่เสี่ยวเว่ยมันก็พุ่งเข้าหาเธอพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังราวกับคนคลุ้มคลั่ง และแทบอยากจะฆ่าหลี่เสี่ยวเว่ยให้ตายคามือ
  “นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไงเธอกำลังพูดบ้าอะไรกัน..”
  หลี่จิ่วเจียงโมโหจนแทบคลั่งมันยกเท้าขึ้นหมายจะถีบหลี่เสี่ยวเว่ย แต่กลับกลายเป็นว่าตนเองล้มลงก้นกระแทกกับพื้นเสียเอง!
  หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผ่านฝูงชนไปยังด้านหลังของห้องจัดเลี้ยงและเห็นเกาเฉินเฉินกำลังส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก และรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ตนเอง..
  “นี่!”
  หลงหวู่ที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นเข้าก็โมโห เธอกระทืบเท้าและทำเสียงไม่พอใจขึ้นมาทันที!
  หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบถอนสายตากลับมาและไม่กล้ามองเกาเฉินเฉินอีกเลย!
  “ผมก็มีเรื่องที่จะให้การเพิ่มเติมด้วยผมต้องจ่ายเงินให้กับหลี่จิ่วเจียงถึงหนึ่งล้านหยวนเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้..”
  “ผมเองก็ต้องมอบพระพุทธรูปหยกที่มีมูลค่าสูงให้พร้อมกับเงินสดอีกหกแสนหยวน..”
  “หลี่จิ่วเจียงมีภรรยาน้อยเป็นครูในโรงเรียนของฉันฉันสามารถเป็นพยานได้!”
  ………..
  หลี่จิ่วเจียงถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นอีกครั้งเวลานี้ร่างของมันนอนขดอยู่ที่พื้น และไม่สามารถลุกขึ้นยืนพูดอะไรได้อีกแม้แต่คำเดียว!
  ครั้งนี้..เขาพ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนอย่างยับเยิน!
  แต่จะพูดว่าหลี่จิ่วเจียงถูกหลิงหยุนทำร้ายก็ไม่ถูกนักควรจะเรียกว่ากรรมสนองจึงจะถูกต้อง! เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากกรรมที่มันเคยก่อไว้ และเวลานี้ก็ย้อนกลับมาคืนสนองตัวมันเองแล้ว!
  และด้วยข้อหาที่มากมายเช่นนี้ต่อให้พี่ชายของหลี่จิ่วเจียงลงมาจัดการด้วยตัวเอง ก็ยากที่จะช่วยให้มันหลุดพ้นจากความผิดไปได้!
  “เอาล่ะ..หลังจากนี้นายก็จัดการมอบวีดีโอ และหลักฐานต่างๆ ให้กับทางสำนักงานรักษาความมั่นคง และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไปจัดการต่อด้วยก็แล้วกัน..”
  หลิงหยุนร้องบอกถังเมิ่งที่กำลังทำการบันทึกภาพคำสารภาพของคนอื่นๆไว้..
  หลังจากบันทึกภาพทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนจึงจัดการโทรหาถังเทียนห่าวให้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป ถังเทียนห่าวที่ตรึงกำลังรออยู่ด้านล่างพร้อมแล้ว จึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างของโรงแรมไคเฉวียน ขึ้นไปยังห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าทันที!
  และระหว่างทางที่รอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นมาข้างบนนั้นหลิงหยุนก็ใช้ช่วงเวลานี้จัดการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอีกสองสามเรื่อง
  เขาจัดการเดินลมปราณในร่างกายและจี้ไปที่จุดตรงท้องน้อยของหลี่เทียน ลมปราณที่รุนแรงของหลิงหยุนได้ทำลายการควบคุมร่างกายด้านล่างทั้งหมดของมัน ทำให้นับจากวันนี้เป็นต้นไป หลี่เทียนจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถวีลแชร์ และไม่สามารถใช้สัญลักษณ์แห่งความเป็นชายไปทำร้ายหญิงสาวที่ใหนได้อีกตลอดชีวิต!
  จากนั้นจึงได้จัดการสกัดจุดของยอดฝีมือทั้งสามของตระกูลซันไว้และขอให้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวนำตัวออกไป
  ยอดฝีมือทั้งสามของตระกูลซันยังมีประโยชน์กับหลิงหยุนอีกมาก เขาไม่มีทางยอมให้ตำรวจพาตัวพวกมันไปอย่างแน่นอน!
  “ฉัน..ฉันก็จะเป็นพยาน และมีเรื่องจะร้องเรียนเหมือนกัน!”
  เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงห้องจัดเลี้ยงชีเต๋อเปียวก็ระล่ำระลัก และรีบยกมือขึ้นเสนอตัวเป็นพยานทันที..
  ถังเมิ่งยิ้มพรอ้มกับพูดขึ้นว่า“ถ้าคุณอยากจะร้องเรียนอะไรเพิ่มเติม ก็ไปร้องเรียนกับสำนักงานรักษาความมั่งคง และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโน่น!”
  กังหลิวหย่งในฐานะหัวหน้าได้นำทีมตำรวจสิบกว่านายขึ้นมาที่ห้องจัดเลี้ยงด้วยตัวเองและเมื่อมาถึงก็เดินเข้าไปทักทายหลิงหยุนทันที
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ผมต้องรบกวนคุณกับลูกน้องด้วย แต่ครั้งนี้สามารถจับข้าราชการระดับสูงคอรัปชั่นได้แบบนี้ คงจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยล่ะ!”
  กังหลิวหย่งพยักหน้าและรีบดึงถังเมิ่งเข้ามาถามว่า
  “ถังเมิ่ง..จับใครบ้าง”
  ถังเมิ่งหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข“นี่พี่กัง.. เพิ่งมาถึงเลยไม่รู้จะจับใครสินะ! เอาล่ะ.. ไว้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
  แต่แล้วถังเมิ่งถามก็ขึ้นด้วยความแปลกใจ“ได้ข่าวว่าลุงหลี่ไม่อยู่จิงฉูงเหรอ เขาไปใหนล่ะ?”
  กังหลิวหย่งมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังก่อนจะยกมือป้องปากและกระซิบข้างหูของถังเมิ่ง
  “เขตพื้นที่สีแดงในปักกิ่ง!”
  “ห๊ะ!”
  ถังเมิ่งถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
  หลิงหยุนเองก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกันและแอบตกใจจนคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันทันที!
  “นี่..ไม่ต้องถามอะไรอีก ฉันเองก็รู้แค่นี้จริงๆ รีบไปจับคนเร็วเข้า!”
  กังหลิวหย่งเห็นถังเมิ่งมองด้วยสายตาคล้ายจะถามอีกจึงรีบยกมือขึ้นห้ามทันที และเร่งให้ช่วยจับคนแทน
  “ได้ๆ”
  ถังเมิ่งเองก็รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะถามเรื่องนี้ในเวลานี้เขาจึงรีบหันไปชี้หลี่จิ่วเจียงที่กำลังขดอยู่ที่พื้น “จับหลี่จิ่วเจียง..”
  แล้วหันไปทางหลี่เทียน“แล้วก็เจ้างั่งหลี่เทียนนั่นด้วย..”
  เลขาหวังหลี่เสี่ยวเว่ย ชีเต๋อเปียว และคนอื่นๆอีกสิบกว่าคน รวมทั้งหลู่กวนหวังที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี และเจ้าหน้าที่การเงินที่ทำหน้าที่รับซองแดงอีกแปดคน
ห่าวให้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป ถังเทียนห่าวที่ตรึงกำลังรออยู่ด้านล่างพร้อมแล้ว จึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างของโรงแรมไคเฉวียน ขึ้นไปยังห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าทันที!
  และระหว่างทางที่รอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นมาข้างบนนั้นหลิงหยุนก็ใช้ช่วงเวลานี้จัดการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอีกสองสามเรื่อง
  เขาจัดการเดินลมปราณในร่างกายและจี้ไปที่จุดตรงท้องน้อยของหลี่เทียน ลมปราณที่รุนแรงของหลิงหยุนได้ทำลายการควบคุมร่างกายด้านล่างทั้งหมดของมัน ทำให้นับจากวันนี้เป็นต้นไป หลี่เทียนจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถวีลแชร์ และไม่สามารถใช้สัญลักษณ์แห่งความเป็นชายไปทำร้ายหญิงสาวที่ใหนได้อีกตลอดชีวิต!
  จากนั้นจึงได้จัดการสกัดจุดของยอดฝีมือทั้งสามของตระกูลซันไว้และขอให้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวนำตัวออกไป
  ยอดฝีมือทั้งสามของตระกูลซันยังมีประโยชน์กับหลิงหยุนอีกมาก เขาไม่มีทางยอมให้ตำรวจพาตัวพวกมันไปอย่างแน่นอน!
  “ฉัน..ฉันก็จะเป็นพยาน และมีเรื่องจะร้องเรียนเหมือนกัน!”
  เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงห้องจัดเลี้ยงชีเต๋อเปียวก็ระล่ำระลัก และรีบยกมือขึ้นเสนอตัวเป็นพยานทันที..
  ถังเมิ่งยิ้มพรอ้มกับพูดขึ้นว่า“ถ้าคุณอยากจะร้องเรียนอะไรเพิ่มเติม ก็ไปร้องเรียนกับสำนักงานรักษาความมั่งคง และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโน่น!”
  กังหลิวหย่งในฐานะหัวหน้าได้นำทีมตำรวจสิบกว่านายขึ้นมาที่ห้องจัดเลี้ยงด้วยตัวเองและเมื่อมาถึงก็เดินเข้าไปทักทายหลิงหยุนทันที
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ผมต้องรบกวนคุณกับลูกน้องด้วย แต่ครั้งนี้สามารถจับข้าราชการระดับสูงคอรัปชั่นได้แบบนี้ คงจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยล่ะ!”
  กังหลิวหย่งพยักหน้าและรีบดึงถังเมิ่งเข้ามาถามว่า
  “ถังเมิ่ง..จับใครบ้าง”
  ถังเมิ่งหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข“นี่พี่กัง.. เพิ่งมาถึงเลยไม่รู้จะจับใครสินะ! เอาล่ะ.. ไว้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
  แต่แล้วถังเมิ่งถามก็ขึ้นด้วยความแปลกใจ“ได้ข่าวว่าลุงหลี่ไม่อยู่จิงฉูงเหรอ เขาไปใหนล่ะ?”
  กังหลิวหย่งมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังก่อนจะยกมือป้องปากและกระซิบข้างหูของถังเมิ่ง
  “เขตพื้นที่สีแดงในปักกิ่ง!”
  “ห๊ะ!”
  ถังเมิ่งถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
  หลิงหยุนเองก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกันและแอบตกใจจนคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันทันที!
  “นี่..ไม่ต้องถามอะไรอีก ฉันเองก็รู้แค่นี้จริงๆ รีบไปจับคนเร็วเข้า!”
  กังหลิวหย่งเห็นถังเมิ่งมองด้วยสายตาคล้ายจะถามอีกจึงรีบยกมือขึ้นห้ามทันที และเร่งให้ช่วยจับคนแทน
  “ได้ๆ”
  ถังเมิ่งเองก็รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะถามเรื่องนี้ในเวลานี้เขาจึงรีบหันไปชี้หลี่จิ่วเจียงที่กำลังขดอยู่ที่พื้น “จับหลี่จิ่วเจียง..”
  แล้วหันไปทางหลี่เทียน“แล้วก็เจ้างั่งหลี่เทียนนั่นด้วย..”
  เลขาหวังหลี่เสี่ยวเว่ย ชีเต๋อเปียว และคนอื่นๆอีกสิบกว่าคน รวมทั้งหลู่กวนหวังที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี และเจ้าหน้าที่การเงินที่ทำหน้าที่รับซองแดงอีกแปดคน
ห่าวให้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป ถังเทียนห่าวที่ตรึงกำลังรออยู่ด้านล่างพร้อมแล้ว จึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างของโรงแรมไคเฉวียน ขึ้นไปยังห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าทันที!
  และระหว่างทางที่รอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นมาข้างบนนั้นหลิงหยุนก็ใช้ช่วงเวลานี้จัดการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอีกสองสามเรื่อง
  เขาจัดการเดินลมปราณในร่างกายและจี้ไปที่จุดตรงท้องน้อยของหลี่เทียน ลมปราณที่รุนแรงของหลิงหยุนได้ทำลายการควบคุมร่างกายด้านล่างทั้งหมดของมัน ทำให้นับจากวันนี้เป็นต้นไป หลี่เทียนจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถวีลแชร์ และไม่สามารถใช้สัญลักษณ์แห่งความเป็นชายไปทำร้ายหญิงสาวที่ใหนได้อีกตลอดชีวิต!
  จากนั้นจึงได้จัดการสกัดจุดของยอดฝีมือทั้งสามของตระกูลซันไว้และขอให้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวนำตัวออกไป
  ยอดฝีมือทั้งสามของตระกูลซันยังมีประโยชน์กับหลิงหยุนอีกมาก เขาไม่มีทางยอมให้ตำรวจพาตัวพวกมันไปอย่างแน่นอน!
  “ฉัน..ฉันก็จะเป็นพยาน และมีเรื่องจะร้องเรียนเหมือนกัน!”
  เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงห้องจัดเลี้ยงชีเต๋อเปียวก็ระล่ำระลัก และรีบยกมือขึ้นเสนอตัวเป็นพยานทันที..
  ถังเมิ่งยิ้มพรอ้มกับพูดขึ้นว่า“ถ้าคุณอยากจะร้องเรียนอะไรเพิ่มเติม ก็ไปร้องเรียนกับสำนักงานรักษาความมั่งคง และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโน่น!”
  กังหลิวหย่งในฐานะหัวหน้าได้นำทีมตำรวจสิบกว่านายขึ้นมาที่ห้องจัดเลี้ยงด้วยตัวเองและเมื่อมาถึงก็เดินเข้าไปทักทายหลิงหยุนทันที
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ผมต้องรบกวนคุณกับลูกน้องด้วย แต่ครั้งนี้สามารถจับข้าราชการระดับสูงคอรัปชั่นได้แบบนี้ คงจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยล่ะ!”
  กังหลิวหย่งพยักหน้าและรีบดึงถังเมิ่งเข้ามาถามว่า
  “ถังเมิ่ง..จับใครบ้าง”
  ถังเมิ่งหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข“นี่พี่กัง.. เพิ่งมาถึงเลยไม่รู้จะจับใครสินะ! เอาล่ะ.. ไว้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
  แต่แล้วถังเมิ่งถามก็ขึ้นด้วยความแปลกใจ“ได้ข่าวว่าลุงหลี่ไม่อยู่จิงฉูงเหรอ เขาไปใหนล่ะ?”
  กังหลิวหย่งมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังก่อนจะยกมือป้องปากและกระซิบข้างหูของถังเมิ่ง
  “เขตพื้นที่สีแดงในปักกิ่ง!”
  “ห๊ะ!”
  ถังเมิ่งถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
  หลิงหยุนเองก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกันและแอบตกใจจนคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันทันที!
  “นี่..ไม่ต้องถามอะไรอีก ฉันเองก็รู้แค่นี้จริงๆ รีบไปจับคนเร็วเข้า!”
  กังหลิวหย่งเห็นถังเมิ่งมองด้วยสายตาคล้ายจะถามอีกจึงรีบยกมือขึ้นห้ามทันที และเร่งให้ช่วยจับคนแทน
  “ได้ๆ”
  ถังเมิ่งเองก็รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะถามเรื่องนี้ในเวลานี้เขาจึงรีบหันไปชี้หลี่จิ่วเจียงที่กำลังขดอยู่ที่พื้น “จับหลี่จิ่วเจียง..”
  แล้วหันไปทางหลี่เทียน“แล้วก็เจ้างั่งหลี่เทียนนั่นด้วย..”
  เลขาหวังหลี่เสี่ยวเว่ย ชีเต๋อเปียว และคนอื่นๆอีกสิบกว่าคน รวมทั้งหลู่กวนหวังที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี และเจ้าหน้าที่การเงินที่ทำหน้าที่รับซองแดงอีกแปดคน
  ภายใต้ความเงียบสงัดถังเมิ่งสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวผู้ที่เกี่ยวข้องไปทีละคนๆ
  “หลิงหยุน..แกทำกับฉันแบบนี้ รับรองได้ว่าพี่ชายของฉันจะต้องแก้แค้นให้ฉันแน่ แล้วตระกูลซันก็จะไม่ปล่อยแกไว้ด้วย!”
  และนี่คือประโยคสุดท้ายที่หลี่จิ่วเจียงร้องตะโกนใส่หน้าหลิงหยุน!
  หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มพร้อมกับมองหลี่จิ่วเจียงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวออกไปและคร้านที่จะพูดจาไร้สาระกับมันอีก..
  “หัวหน้ากัง..รบกวนคุณช่วยบอกลุงถังด้วยว่า ควรจัดการอย่างไรก็ให้ทำไปได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น และหากเกิดอะไรขึ้น ผมจะจัดการให้เอง!”
  หลังจากที่กังหลิวหย่งจับตัวทุกคนไปแล้วเขาก็นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับออกไป และเวลานี้ภายในห้องจัดเลี้ยงก็กลับกลายเป็นกว้างขวางขึ้นมาทันที ตรงทางเดินเวลานี้เหลือเพียงหลิงหยุน ถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ อาปิง แล้วก็พี่น้องแก๊งมังกรเขียวเท่านั้น!
  หลี่จิ่วเจียงและคนของมันก็ถูกนำตัวไปแล้วยอดฝีมือตระกูลซันทั้งสามคนก็ถูกคนของแก๊งมังกรเขียวควบคุมตัวไปแล้วเช่นกัน แต่ยังเหลืออยู่อีกสองคน..
  และเวลานี้คนทั้งคู่ก็หน้าซีดเผือดเหงื่อตก และอยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างมาก!
  และทั้งสองคนก็คือ..เสียเจิ้นติงกับกู่เหลียนเฉิง!
  หลิงหยุนและถังเมิ่งต่างก็หันมามองหน้าและยิ้มให้กัน..
  หลิงหยุนหัวเราะร่วนก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่ถังเมิ่งเบาๆพร้อมกับชักชวนว่า “มาเร็วถังเมิ่ง.. มาทักทายท่านรองนายกเทศมนตรีกับเศรษฐีพันล้านแห่งเมืองจิงฉูก่อน! ไม่งั้นพวกเราสองคนจะกลายเป็นคนไร้มารยาทนะ!”
  หลิงหยุนถังเมิ่ง และตี้เสี่ยวอู๋เดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคูทันที..
  เมื่อไปถึงหลิงหยุนก็เดินเข้าหยุดอยู่หน้าเสียเจิ้นติงพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับท่านรองนายกเทศมนตรีที่นี่ นับว่าเป็นเกียรติมากจริงๆ!”

บทที่ 854 : ยอมรับผิด!
  “หลิงหยุนเป็นคนลึกลับเอาแต่ใจ แล้วก็น่ากลัวมาก!”
  “หลิงหยุนคนที่ทำทุกอย่างตามใจตนเองไม่สนใจกฏเกณฑ์ แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะรอดพ้นหูตาของเขาได้..”
  ทั้งหมดนี้คือคำพูดที่เสียเจิ้นติงพูดต่อหน้าหลี่จิ่วเจียงและคนทั้งหมดที่อยู่ในห้องวีไอพีคำบรรยายและคำเตือนเกี่ยวกับตนเองนั้น หลิงหยุนได้ยินหมดทุกคำพูด!
  แต่น่าขันที่หลี่จิ่วเจียงกลับเอาแต่หัวเราะขำขันและคิดว่าตนเองนั้นมีอำนาจบารมีมากมาย อีกทั้งยังมีผู้หนุนหลังที่ทรงอิทธิพลอย่างตระกูลซัน และเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตนเอง กล้าพูดแม้กระทั่งว่าคนอย่างหลิงหยุนจะไม่สามารถอยู่ในจิงฉูได้อีกต่อไป..
  หลี่จิ่วเจียงไม่สนใจคำเตือนของเสี่ยเจิ้นติงเลยแม้แต่น้อยและท้ายที่สุดก็ถูกหลิงหยุนลากลงนรกขุมที่ลึกที่สุดจนไม่มีทางได้ผุดได้เกิดอีกอย่างแน่นอน!
  ลึกลับเอาแต่ใจ น่ากลัว และไม่สนใจกฏเกณฑ์ใดๆ ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดที่จะสามารถต้านทานหลิงหยุนได้!
  ถึงแม้ว่าเสียเจิ้นติงจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของหลิงหยุนดีแต่การจะจับกุมหลี่จิ่วเจียงที่มีอำนาจบารมีมากมายเช่นนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ใครจะสามารถทำกันได้ง่ายๆเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงว่า.. ยังไม่ทันจะเริ่มรับประทานอาหารด้วยซ้ำไป หลี่จิ่วเจียงที่เปรียบเสมือนเรือลำใหญ่ ก็ถูกหลิงหยุนคว่ำลงก่อนแล้ว!
  เมื่อเห็นหลี่จิ่วเจียงกับพรรคพวกถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวกลับไปทีละคนๆเช่นนั้นเสียเจิ้นติงก็ได้แต่หวั่นใจ แม้ว่าเขาจะพยายามทำสีหน้าให้ดูสงบนิ่งแล้ว แต่เหงื่อเจ้ากรรมก็ช่างทรยศเขา และกำลังไหลโชกเปียกใบหน้าไปหมด!
  เสียเจิ้นติงนั้นนับว่าหวาดกลัวหลิงหยุนจากจิตวิญญาณเลยก็ว่าได้ในแววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงอาการหวาดผวาอย่างรุนแรง และหัวใจก็สั่นไหวอย่างมากเช่นกัน!
  เสียเจิ้นติงแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากและพยายามกลืนน้ำลาย ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
  เสียเจิ้นติงรับราชการมานานและเคยผ่านคลื่นลมมานับครั้งไม่ถ้วน การรู้จักสังเกตสิ่งรอบตัวจึงเป็นจุดเด่นของเขา และจากที่ยืนมองหลิงหยุนจัดการกับหลี่จิ่วเจียงนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนรู้เรื่องทั้งหมดที่พูดคุยกันภายในห้องวีไอพี แต่ถ้าจะให้ถูก.. ต้องพูดว่าหลิงหยุนได้ยินทุกคำพูดด้วยหูของตัวเองมากกว่า!
  หลังจากที่หลิงหยุนจัดการกับชายลึกลับทั้งสามคนไปแล้วและจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่ภาพที่หลิงหยุนทำท่าปัดฝุ่นที่มือและเสื้อผ้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า เขาไม่ได้มีสามเศียรหกกรนั้น เท่ากับเป็นการตบหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องวีไอพี!
  เพราะนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าหลิงหยุนได้ยินทุกคำพูดของทุกคนที่อยู่ในห้องวีไอพี!
  แต่ถึงกระนั้นเสียเจิ้นติงก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก เพราะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวรยุทธของจอมยุทธชาวจีนมาบ้าง
  การได้ยินของหลิงหยุนนั้นนับว่าทรงพลังมากและสิ่งนี้ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าหลิงหยุนนั้นเป็นผู้ที่ลึกลับอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ!
  แต่ถึงกระนั้นเสียเจิ้นติงกับคนอื่นๆก็ยังไม่รู้ว่าหลิงหยุนนั้นมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังมากอีกด้วย!
  จะไม่ให้เสียเจิ้นติงและกู่เหลียนเฉิงหวาดกลัวได้อย่างไรกันในเมื่อที่ผ่านมาหลิงหยุนก็จัดการกับหลัวจ้งต่อหน้าธารกำนัล เมื่อครู่ก็จัดการกับชายลึกลับทั้งสามคนจนแน่นิ่ง แล้วยังจัดการกับหลี่จิ่วเจียงจนยากจะได้ผุดได้เกิดอีก..
  หลิงหยุนยิ้มกลับให้เสียเจิ้นติงและไม่พูดอะไรมาก จากนั้นจึงหันไปมองกู่เหลียนเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆเสียเจิ้นติง
  “ว่าไงคุณกู่..หลายเดือนที่ผ่านมาคงสบายดีสินะ!”
  ภายในเวลาไม่กี่ปีกู่เหลียนเฉิงก็กลายมาเป็นผู้ชายที่ร่ำรวยอย่างมาก และกลายเป็นผู้ที่คุมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองจิงฉูไว้เกือบทั้งหมด
  แต่ช่างโชคร้ายที่เพียงเพราะหลินเมิ่งหานทำให้เขาถึงกับถูกเตะผ่าหมากจนต้องกลายเป็นขันทีไปในที่สุด
  แต่หลังจากนั้นลูกชายเพลย์บอยของเขาก็ต้องการจะแก้แค้นให้จึงได้ไปเดิมพันกับหลิงหยุนไว้ถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน และนั่นทำให้เงินสดในมือของเขาเริ่มขาดแคลน..
  และหลังจากที่หลัวจ้งถูกปลดโครงการอสังหาริมทรัพย์บนถนนหลินเจียงก็เริ่มสะดุด เพราะถูกแรงกดดันจากหลี่ยี่เฟิงทำให้เขาไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ ไม่เพียงเท่านั้นธนาคารยังตามทวงหนี้เขาแทนอีกด้วย!
  ยังไม่นับภรรยาที่อยู่กินกับกู่เหลียนเฉิงมานานหลังจากที่เขากลายเป็นหมัน ก็ถึงกลับขอหย่า กู่เหลียนเฉิงต้องเผชิญทั้งศึกภายนอกและศึกภายในพร้อมๆกัน!
  ส่วนลูกชายที่รักของเขา– กู่หยุนฟะ ด้วยความกลัวหลิงหยุนก็ได้หนีออกจากเมืองจิงฉูไป และไม่แม้แต่จะเข้าร่วมการสอบเอนทรานซ์..
  และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ..น้องชายของเขา – กู่เหลียนซัน เวลานี้ไม่เพียงต้องอยู่ในคุก แต่ยังต้องทนเจ็บปวดทรมานอยู่ทุกวี่ทุกวัน และไม่มีหมอคนใหนสามารถรักษาอาการเจ็บปวดนี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว!
  อาการเจ็บปวดทรมานที่เกิดกับกู่เหลียนซันนั้นเกิดจากการที่หลิงหยุนจัดการปิดเส้นลมปราณของเขาไว้ แล้วจะมีหมอใหนรักษาได้เล่า!
  และในตอนนี้ที่กู่เหลียนเฉิงยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้นั้นก็เพราะได้ขายธุรกิจบางส่วนเพื่อนำเงินมาใช้หนี้และใช้จ่าย ไม่เช่นนั้นเขาคงจะล้มละลายไปแล้ว!
  ในวันที่ความเลวร้ายประเดประดังเข้ามาเช่นนี้นับว่ากู่เหลียนเฉิงอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก..
  กู่เหลียนเฉิงจ้องมองหลิงหยุนที่ยืนตระหง่านราวกับภูเขาสูงใหญ่และไม่อาจปิดซ่อนความขมขื่นภายในใจไว้ได้อีก และตอบหลิงหยุนไปตามตรงว่า
  “ไม่สบายเท่าไหร่หรอก!”
  ถังเมิ่งยิ้มสดใสขณะที่พูดขึ้นว่า“คุณกู่.. ถ้าอยากจะขายธุรกิจเมื่อไหร่ก็บอกผมนะ ผมมีเงิน แต่ยังไม่เห็นธุรกิจใหนน่าลงทุน..”
  และเรื่องที่กู่เหลียนเฉิงทยอยขายธุรกิจของตนเองในช่วงหลายเดือนมานี้ก็ล้วนไม่รอดพ้นหูตาของถังเมิ่งไปได้
  กู่เหลียนเฉิงฝืนยิ้มอีกครั้งเขาตอบโดยที่ไม่มองถังเมิ่ง แต่กลับหันไปมองหลิงหยุนแทน “ฉันไม่ขายหรอก..”
  ถังเมิ่งได้ยินถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง“อะไรนะ! ไม่ขายงั้นเหรอ?!”
  ถังเมิ่งนั้นวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะกว้านซื้อธุรกิจของกู่เหลียนเฉิงมาเป็นของตนเองให้ได้และไม่ว่ากู่เหลียนเฉิงตั้งใจจะขายในราคาเท่าไหร่ เขาก็จะซื้อไว้? แต่กู่เหลียนเฉิงกลับปฏิเสธที่จะขาย ทำให้ถังเมิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที!
  กู่เหลียนเฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับห่อไหล่ท่าทางของเขาดูราวกับคนที่แบกโลกไว้ทั้งโลก แล้วจึงพูดกับหลิงหยุนว่า
  “น้องชาย..ฉันคิดว่านี่คงจะไม่ใช่การพบกันครั้งแรกของเรา แต่น่าจะเป็นการพบกันครั้งที่สองสินะ”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่เลวนี่..”
  จากคำพูดของกู่เหลียนเฉิงทำให้หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่ากู่เหลียนเฉิงเองก็รู้แล้วว่าใครคือคนที่เตะมันจนกลายเป็นขันที และได้แต่รอดูว่ากู่เหลียนเฉิงจะพูดอะไรต่อ..
  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นถึงกับทำให้เสียเจิ้นติงตกใจสุดขีดเมื่อกู่เหลียนเฉิงหันมายิ้มให้เขา ก่อนจะเดินตรงไปหาหลิงหยุนพร้อมกับชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นต่อหน้าหลิงหยุน แล้วพูดขึ้นว่า..
  “ในชีวิตของฉัน..กู่เหลียนเฉิง ได้ทำผิดทั้งหมดสองเรื่อง!”
  “เรื่องแรกคือ..ฉันเป็นคนหมกมุ่นในกามมากจนเกินไป! และข้อที่สองคือ.. อบรมลูกชายของตนเองให้ดีไม่ได้!”
  แต่จะว่าไปแล้วระหว่างกู่เหลียนเฉิงกับกู่หยุนฟะนั้นไม่รู้ว่าใครมักมากในกามมากกว่าใคร
  สำหรับเรื่องการเลี้ยงดูลูกชายนั้นกู่หยุนฟะเกิดในครอบครัวที่ได้รับสิทธิพิเศษมาตั้งแต่เด็ก จึงเติบโตมาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่ยะโสโอหัง แต่ถึงกระนั้นในโลกใบนี้ก็มีคนอย่างกู่หยุนฟะอยู่มากมาย!
  แต่นับว่าเป็นความโชคร้ายของสองพ่อลูกที่ดันมาเป็นศัตรูกับหลิงหยุน!
  ในโลกใบนี้มีเรื่องที่ไร้เหตุผลและไร้ซึ่งความยุติธรรมอยู่มากมาย หลิงหยุนไม่ได้ต้องการที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หายไปจากโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าบังเอิญพบเห็นเข้าเขาจะนิ่งไม่ทำอะไร!
  โรงเรียนมัธยมจิงฉูเองก็มีนักเรียนเป็นพันและหนุ่มเพลย์บอยยะโสโอหังก็ไม่ได้มีเพียงเสียเจิ้นเหยิน กู่หยุนฟะ และหลู่เจิ้งเทียนเท่านั้น แต่ยังมีนักเรียนเลวๆอีกมากมายหลายคน แล้วเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่ไปหาเรื่องพวกมันด้วยเล่า
  นั่นเพราะ..มนุษย์ทุกคนล้วนมีทั้งดีและเลว เขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นไม้บรรทัดไปวัดคุณธรรมในใจของทุกคน และหากใครผิดก็ลงโทษ
  และข้อที่สอง..หลิงหยุนไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้น เพียงแค่เรื่องของตัวเอง เขาก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาทำอะไรแล้ว ยังจะต้องไปเสียเวลายุ่งเรื่องของคนอื่นอีกทำไมกัน
  แต่ในเมื่อหลิงหยุนไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่คนอื่นก็ไม่ควรยุ่งเรื่องของเขาด้วยเช่นกัน! ไม่เช่นนั้น.. ใครที่หาเรื่องกับเขาก็จะต้องมีจุดจบที่ทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน!
  หลี่จิ่วเจียงหลู่กวนหวัง เสียเจิ้นติง และกู่เหลียนเฉิง คือตัวอย่างในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี!
  “ในเมื่อฉันเป็นฝ่ายผิดฉันก็จะเป็นผู้ชดใช้ทุกอย่างเอง..”
  “หลิงหยุน..ต่อหน้าแขกเหรื่อมากกว่าสามร้อยคนในห้องจัดเลี้ยงนี้ ฉันขอกล่าวคำขอโทษกับเธอ และสาบานว่าจากนี้ไปจะไม่คิดเป็นศัตรูกับเธออีกไปจนตลอดชีวิต!”
  กู่เหลียนเฉิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงก็บ่งบอกถึงความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ จากนั้นถึงกับคุกเข่าลงตรงหน้าหลิงหยุนต่อหน้าสาธารณชน และโขกศรีษะลงที่พื้น..
  ทั้งถังเมิ่งเสียเจิ้นติง ตี้เสี่ยวอู๋ กับอาปิงที่ยืนอยู่ข้างๆ และแขกเหรื่ออีกมากกว่าสามร้อยคน ต่างก็จ้องมองภาพทีเกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง!
  กู่เหลียนเฉิงชายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจิงฉูกลับก้มหัวสารภาพผิด และขอโทษหลิงหยุนต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นหรือ!
  ท่ามกลางเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจนั้นหลิงหยุนยังคงยืนด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งมองกู่เหลียนเฉิงที่กำลังคุกเข่าโขกศรีษะต่อหน้าตนเอง และได้แต่คิดในใจว่ากู่เหลียนเฉิงช่างเป็นคนที่ฉลาดยิ่งนัก!
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ห้าม..หลิงหยุนตั้งใจกดดันให้กู่เหลียนเฉิงโกรธและตอบโต้ แต่กู้เหลียนเฉิงกลับเลือกที่จะใช้วิธีตอบโต้ในอีกแบบที่หลิงหยุนคาดไม่ถึง..
  แต่ในใจของหลิงหยุนกลับคิดว่าสำหรับผู้ที่ต้องชดใช้หนี้ในครั้งนี้ควรจะต้องเป็นกู่หยุนฟะ ไม่ใช่กู่เหลียนเฉิง..
  ถังเมิ่งเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห“น่าขำ! ลูกชายของคุณทำเรื่องเลวร้ายไว้ตั้งมากมาย เพียงแค่คุกเข่าโขกหัวสารภาพผิด ก็คิดว่าทุกอย่างจะจบงั้นเหรอ ผมขอบอกว่าไม่มีทาง!”