บทที่ 448 สัญญามรณะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 448 สัญญามรณะ

 

 

“ดูสิ ทำไมชาวเมืองถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องตะโกนเรียกชื่อตนเอง หลินเป่ยเฉินที่นั่งรออยู่ในห้องแต่งตัวก็อดอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่ได้

 

 

ในโลกมนุษย์ ผู้ที่จะถูกตะโกนเรียกชื่อด้วยผู้คนนับหมื่นเช่นนี้ เห็นทีก็คงมีแต่เพียงนักฟุตบอลชื่อดังระดับคริสเตียโน โรนัลโด้ หรือไม่ก็ลิโอเนล เมสซิเท่านั้น

 

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสน่ห์ที่ล้นเหลือของเขานี่เอง

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อเลยว่าก่อนหน้านี้เขายังเป็นคนที่ชาวเมืองเกลียดขี้หน้ายิ่งกว่าอะไรดี

 

 

แต่ผ่านไปเพียงครึ่งปี เขากลับสามารถเอาชนะใจผู้คนและกลายเป็นขวัญใจมหาชนได้สำเร็จ

 

 

เราก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู

 

 

“เวร ทำไมยังส่งไม่ถึงอีก”

 

 

ในแอป Taobao ปืนอินทรีหิมะขึ้นสถานะว่าอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งและอยู่ระหว่างการนำจ่าย แต่ยังไม่มีการแจ้งเตือนว่าพัสดุมาถึงจุดหมายปลายทางแต่อย่างใด…

 

 

ถ้าเกิดขนส่งไม่ทันการประลองขึ้นมาจะทำยังไงดีนะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินกดปุ่ม ‘แจ้งเตือนเมื่อสินค้ามาถึง’ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

 

 

จากนั้นเขาจึงตรวจสอบความคืบหน้าของแอปพลิเคชันวิชาต่างๆ ที่อยู่ในเครื่อง

 

 

โดยเฉพาะวิชาโลหิตกระชากวิญญาณรูปแบบใหม่ เขาสงสัยอยู่ครามครันว่าจะมันใช้ต่อกรกับผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ได้หรือไม่?

 

 

ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนเรียกขึ้นที่หน้าห้อง

 

 

“หลินเป่ยเฉิน เชิญออกมาได้”

 

 

เจ้าหน้าที่หนุ่มจากกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่งเปิดประตูห้องแต่งตัวด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย

 

 

หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับคำและเดินออกไป

 

 

บนเวทีประลอง

 

 

เจียงจี้หลิวยืนรออยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันนี้เป็นสีขาวราวหิมะ

 

 

เด็กหนุ่มเจ้าของฉายากระบี่พันหน้ายืนอยู่ภายใต้แสงแดดสดใส เขาดูสง่างามราวกับรูปปั้นเทพบุตรไร้ที่ติ สะอาดและสูงส่ง ปราศจากราคีความสกปรก

 

 

หลินเป่ยเฉินก้าวเท้าผ่านช่องทางเดินขึ้นไปสู่เวที

 

 

เสียงผู้คนตะโกนให้กำลังใจดังสะเทือนเป็นระลอกคลื่น

 

 

หลายคนโยนดอกไม้ให้เขา

 

 

บรรยากาศคึกคักแจ่มใส แม้แต่ผู้เข้าแข่งขันซึ่งเป็นตัวแทนจากเมืองอื่นๆ ก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้

 

 

มีใครบ้างที่ไม่อยากเดินขึ้นเวทีพร้อมด้วยเสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังสะเทือนฟ้าสะท้านดินเช่นนี้

 

 

แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าหลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่ชุดสีเขียวในวันนี้ มีสง่าราศีและความหล่อเหลามากกว่าพวกเขาโดยสิ้นเชิง เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตนเองแล้ว มือกระบี่หนุ่มหลายคนก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

 

 

หลินเป่ยเฉินเปรียบเสมือนความดีงามชนิดหนึ่งของโลกใบนี้

 

 

เขาเป็นเสน่ห์ที่ลงตัวในการรวมตัวกันระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์

 

 

เปรียบได้กับงานศิลปะที่ปราศจากข้อบกพร่อง

 

 

“เฮ้อ เปลี่ยนจากโยนดอกไม้ เป็นโยนเหรียญทองคำมาให้แทนได้ไหมเนี่ย”

 

 

หลินเป่ยเฉินบ่นอยู่ในใจ

 

 

ในขณะที่เดินขึ้นไปบนเวที

 

 

ผู้เข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศประจำวันนี้ ฝ่ายหนึ่งสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ อีกฝ่ายหนึ่งสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเขียวราวกับหยกล้ำค่า

 

 

เด็กหนุ่มทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมีสง่าราศีไม่แพ้กัน

 

 

“หลินเป่ยเฉิน วันนี้เจ้าแต่งตัวได้ชวนมองเหลือเกิน”

 

 

เจียงจี้หลิวยิ้มแย้ม

 

 

“เจ้ากำลังจะชมว่าข้ารูปงามใช่ไหม?” หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากตอบกลับไป

 

 

เจียงจี้หลิวชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ”

 

 

“ในเมื่อข้าเป็นหนุ่มรูปงามขนาดนี้ เจ้าคงเมตตาไม่คิดสังหารข้าแล้วกระมัง?”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาหน้าตาเฉย

 

 

เจียงจี้หลิวคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดประโยคนี้

 

 

เขารีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “เรื่องนั้น… ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ผิดหวัง”

 

 

“หึ”

 

 

หลินเป่ยเฉินแค่นเสียงในลำคอด้วยความไม่สบอารมณ์ “ไม่ไว้หน้ากันเลยนะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงออมมือให้เจ้าไม่ได้แล้วเช่นกัน”

 

 

กลุ่มคนดูยังคงส่งเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย

 

 

เพราะพวกเขาเข้าใจว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้เพียงพูดจาหยอกล้อกัน

 

 

“เตรียมตัว…”

 

 

หลี่ชิงสวนรับหน้าที่เป็นกรรมการอยู่ด้านล่างเวที เขายกมือขึ้นมาเตรียมส่งสัญญาณให้เริ่มการประลอง

 

 

แต่ในจังหวะนั้น…

 

 

“ช้าก่อนขอรับ”

 

 

เจียงจี้หลิวพลันยกมือขึ้น

 

 

หลี่ชิงสวนหันมองหน้าเด็กหนุ่มในชุดขาวด้วยความสงสัย

 

 

เจียงจี้หลิวยื่นมือออกมาข้างหน้า เขากำลังถือม้วนกระดาษอยู่หนึ่งม้วน พูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ข้าอยากให้ใต้เท้าหลี่ประกาศข้อความในสัญญาฉบับนี้ก่อนเริ่มการประลอง และขอให้ทุกท่านช่วยเป็นสักขีพยานให้ด้วยขอรับ”

 

 

หลี่ชิงสวนถึงกับชะงักไปอึดใจใหญ่ ก่อนที่จะเรียกสติกลับคืนมาได้และเดินขึ้นไปบนเวที

 

 

เมื่อรับม้วนกระดาษมาคลี่อ่านเนื้อหาเรียบร้อย

 

 

สีหน้าของหลี่ชิงสวนก็แปรเปลี่ยนไปโดยทันที

 

 

“นี่มัน…”

 

 

หลี่ชิงสวนหันขวับไปมองหน้าหลินเป่ยเฉิน “เจ้าลงนามในสัญญาฉบับนี้ด้วยความเต็มใจหรือไม่?”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองขณะตอบว่า “ข้าน้อยลงนามในฉบับนี้ด้วยความเต็มใจขอรับ รบกวนใต้เท้าหลี่ช่วยประกาศข้อความให้ทุกคนได้รับทราบอย่างทั่วถึงด้วย”

 

 

หลี่ชิงสวนสูดหายใจลึกพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของหลินเป่ยเฉิน

 

 

เขาไม่เข้าใจเลย

 

 

ทำไมเด็กหนุ่มต้องลงนามในสัญญาบ้าบอฉบับนี้ด้วยนะ

 

 

แต่ในเมื่อสัญญาเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว หลี่ชิงสวนก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป

 

 

“นี่คือเรื่องใหญ่ ข้าจำเป็นต้องรายงานให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงรับทราบก่อน… พวกเจ้าโปรดรอสักครู่” หลี่ชิงสวนหันกลับไปกระโดดลงจากเวทีและรีบรุดเดินขึ้นไปยังอัฒจันทร์ฝั่งที่เป็นเขตที่นั่งของแขกระดับสูง

 

 

ม้วนกระดาษในมือถูกส่งต่อไปให้แก่ท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิง

 

 

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่เดิมทีนั่งอยู่บนที่นั่งด้วยความเยือกเย็นปานหินผา แต่เมื่อได้อ่านข้อความที่อยู่ในม้วนกระดาษ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า และอดอุทานออกมาไม่ได้ว่า “เพราะเหตุใดถึงได้โง่เขลาเช่นนี้…”

 

 

เขานำกระดาษม้วนนั้นส่งต่อไปให้รองเจ้ากรมกระทรวงศึกษาคนปัจจุบันผู้มีนามว่าเจิ้นกงหลงด้วยความโกรธกริ้ว

 

 

เจิ้นกงหลงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเมื่ออ่านข้อความจบ

 

 

บัดนี้ บรรดาคนดูรับรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

ข้อความที่อยู่ในสัญญาฉบับนี้สามารถทำให้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งสีหน้าแปรเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน คณะอาจารย์ หรือเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้

 

 

“หลินเป่ยเฉิน จงบอกมาตามความจริง เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัญญาฉบับนี้หมายถึงอะไร?”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงหันหน้าไปทางเวทีประลอง

 

 

พลันเสียงรอบตัวเงียบกริบลงในทันใด หลินเป่ยเฉินได้ยินคำถามอย่างชัดเจนและเขาก็พยักหน้า

 

 

“มีผู้ใดบังคับให้เจ้าลงนามหรือไม่?”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยังคงไม่ยอมแพ้ ได้แต่ถามต่อไป “ถ้ามีผู้ใดบังคับให้เจ้าลงนามก็โปรดบอกมา เดี๋ยวข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง”

 

 

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน

 

 

เจ้าเมืองคนนี้ก็ดูเป็นคนดีใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย

 

 

แต่น่าเสียดายที่ยังมีอำนาจไม่มากพอ

 

 

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ขอบคุณท่านเจ้าเมืองสำหรับความเมตตา แต่ข้าน้อยอ่านข้อความในสัญญาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ข้าน้อยลงนามด้วยความเต็มใจและทราบดีถึงผลกระทบที่จะตามมา… ท่านเจ้าเมืองได้โปรดประกาศข้อความในสัญญาฉบับนี้ให้ทุกคนรับทราบด้วยเถิด”

 

 

สีหน้าของฉุยเฮาเฟิงยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

 

 

สุดท้าย เขาก็หันไปจ้องมองเจียงจี้หลิวและถามด้วยความโกรธแค้น “เจียงจี้หลิว ทำไมเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย? ไม่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยหรืออย่างไร?”

 

 

เจียงจี้หลิวตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้านิ่งเฉยปราศจากความขุ่นเคือง “กราบเรียนท่านเจ้าเมืองฉุย พูดไปบัดนี้ก็เปล่าประโยชน์แล้วขอรับ ท่านได้แต่รีบประกาศเนื้อหาทั้งหมดในสัญญายินยอมมอบความตายจะดีกว่า”

 

 

คำพูดของเด็กหนุ่มดังได้ยินถึงหูของทุกคน

 

 

“สัญญายินยอมมอบความตาย?”

 

 

“นี่มันสัญญาอะไรกัน?”

 

 

“หรือว่า… คงไม่ใช่สัญญาแบบนั้นหรอกนะ?”

 

 

“พวกเขาสองคนตั้งใจจะฆ่ากันให้ตายกันไปข้างจริงๆ หรือนี่?”

 

 

เสียงอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อดังขึ้นรอบบริเวณดังหึ่งหึ่งเหมือนเสียงในรังผึ้ง

 

 

แล้วการพูดคุยรวมถึงการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนก็แผ่ขยายออกไปเหมือนเกลียวคลื่น

 

 

สีหน้าของติงซานฉือไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

 

ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ และพานเว่ยหมินต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วยความร้อนรน

 

 

บรรดาเพื่อนร่วมสถาบันของหลินเป่ยเฉินตกใจจนหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาอยู่นอกหน้าอก

 

 

อีกฝ่ายหนึ่งชั่วร้ายมากเกินไปแล้ว

 

 

ฉุยเฮาเฟิงก้มหน้ามองม้วนสัญญาในมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นเขาจึงหันไปถามเจิ้นกงหลงผู้เป็นรองเจ้ากรมกระทรวงศึกษาคนปัจจุบันว่า “การประลองเพื่อความสามัคคีจำเป็นต้องรุนแรงถึงระดับเอาชีวิตกันเชียวหรือ? ใต้เท้าเจิ้น ข้าคิดว่าสัญญาฉบับนี้ควรเป็นโมฆะ…”

 

 

แต่เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย

 

 

มวลพลังลมปราณที่หนาแน่นหนักหน่วงก็แผ่กระจายออกมาจากกลุ่มคนดูด้านล่าง

 

 

เสมือนมีมังกรยักษ์ตัวหนึ่งเพิ่งจะลืมตาตื่น

 

 

เสียงวุ่นวายอึกทึกที่ดังขึ้นพลันเงียบหายไปในพริบตาด้วยระลอกคลื่นพลังที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ กลุ่มคนดูไม่กล้าส่งเสียงดังอีกต่อไป แม้แต่กระพริบตาพวกเขาก็ไม่กล้าทำแล้วด้วยซ้ำ…

 

 

พลังกดดันเช่นนี้ ย่อมเป็นผู้มากฝีมือที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

 

 

“ท่านเจ้าเมืองฉุย กรุณาอย่าสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น”

 

 

เสียงที่เย็นชาดังออกมาจากต้นกำเนิดพลังกดดันอันรุนแรงนั้น