บทที่ 449 เป็นเพียงสุนัขเพิ่งหัดเดิน ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นพยัคฆ์เสียแล้วหรือ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 449 เป็นเพียงสุนัขเพิ่งหัดเดิน ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นพยัคฆ์เสียแล้วหรือ

 

 

ผู้พูดเป็นชายชราคนหนึ่ง

 

 

เขามีอายุมากกว่า 60 ปี รูปร่างสันทัด ร่างกายผอมแห้ง ผมเป็นสีเทา คิ้วเป็นสีดำ บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น แต่มีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่นรุนแรง ดวงตาเป็นประกายคมวาว มุมปากระดับรอยยิ้ม เพียงกวาดตามองเล็กน้อยก็มั่นใจได้เลยว่าในสมัยเยาว์วัย ชายชราผู้นี้ต้องเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งแน่นอน

 

 

เขาไม่ใช่ใครที่ไหน

 

 

แต่เป็นกระบี่สุราโลหิต จูปี้ฉี

 

 

หัวหน้าสี่องครักษ์ผู้ติดตามเว่ยหมิงเฉิน

 

 

ฝีมือสูงส่งระดับยอดปรมาจารย์

 

 

สายตาที่จ้องมองผู้คน เหมือนเทพเจ้ากำลังจ้องมองมดปลวก

 

 

พลังกดดันที่แผ่ออกมากดทับกลุ่มคนดู

 

 

บรรยากาศรอบเวทีบัดนี้เย็นเฉียบเหมือนถ้ำน้ำแข็ง

 

 

เงียบสนิท

 

 

แม้แต่ชาวเมืองที่ไม่เข้าใจเรื่องราวในยุทธภพ ขณะนี้ก็อดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้

 

 

บนที่นั่งของแขกระดับสูง

 

 

ฉุยเฮาเฟิงรู้สึกได้ถึงกระแสพลังคุกคามนั้น เขาหันขวับไปมอง รับรู้ได้ว่ามีสายตาที่เหมือนกระบี่คู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ตนเอง

 

 

สายตาที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทำเอาฉุยเฮาเฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกอย่างกะทันหัน

 

 

พลังกดดันเหล่านั้นสกัดกั้นไม่ให้ฉุยเฮาเฟิงโคจรพลังลมปราณได้โดยสะดวก

 

 

เขาสูดหายใจลึก

 

 

“ผู้อาวุโสจู ท่านกำลังข่มขู่เจ้าหน้าที่หรืออย่างไร?”

 

 

เจ้าเมืองหนุ่มพูดออกมาอย่างเชื่องช้า

 

 

แล้วเขาก็สามารถโคจรพลังลมปราณขับไล่พลังกดดันจากจูปี้ฉีออกไปจากร่างกายได้สำเร็จ

 

 

จูปี้ฉีมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะแค่นหัวเราะในลำคอ

 

 

“คิดไม่ถึงเลยว่าท่านเจ้าเมืองฉุยจะมีฝีมือสูงส่งไม่น้อย… หึหึ แต่ข้าขอแนะนำให้ท่านอยู่ห่างจากเรื่องนี้ดีกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านเลยแม้แต่น้อย”

 

 

เขาจ้องมองฉุยเฮาเฟิงและหัวเราะเยาะด้วยความเย้ยหยัน

 

 

“ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าเมือง ย่อมมีหน้าที่ต้องปกป้องชาวเมืองอยู่แล้ว”

 

 

เมื่อทุกคนได้ยินคำตอบของฉุยเฮาเฟิง หัวใจของพวกเขาก็พองโตด้วยความตื้นตัน

 

 

ติงซานฉือพลันปรากฏตัวขึ้นมายืนอยู่ด้านข้างฉุยเฮาเฟิงบนเวทีประลองอย่างรวดเร็วเสมือนเป็นวิญญาณตนหนึ่ง

 

 

ชายชราผู้สวมใส่เครื่องแบบอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม แม้ว่าจะมีเคราะแพะและการแต่งกายซอมซ่อ แต่เมื่อเขายืนหยัดอยู่บนเวที ก็ให้ความรู้สึกมั่นใจได้ชนิดหนึ่งว่าทุกคนจะได้รับความปลอดภัย

 

 

กระบี่สุราโลหิตจูปี้ฉีระเบิดพลังลมปราณออกมาจากร่างกายมากกว่าเดิม

 

 

กลุ่มคนดูร้องอุทาน

 

 

โดยเฉพาะบรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ทุกคนพากันจ้องมองไปที่ติงซานฉือด้วยความเป็นกังวล

 

 

ทว่า ติงซานฉือกลับสามารถสลายพลังของจูปี้ฉีลงได้อย่างง่ายดาย

 

 

กลุ่มคนดูถึงกับตกตะลึงอีกครั้ง

 

 

พวกเขารู้ว่าติงซานฉือเป็นอาจารย์ในสถานศึกษาแห่งนี้

 

 

แต่ไม่รู้เลยว่าชายชราจะมีระดับพลังสูงส่งเช่นนี้

 

 

จูปี้ฉีไม่มีสีหน้าประหลาดใจต่อการปรากฏตัวของติงซานฉือ

 

 

เขายิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างระมัดระวังมากขึ้น “อาการบาดเจ็บของเซียนกระบี่ติง ดูท่าคงทุเลาไปเยอะแล้วสินะ แต่ได้โปรดอย่าลืม ท่านสัญญากับข้าว่าจะมาประลองกันที่ทะเลเท่านั้น และท่านเป็นคนบอกเองว่าพวกเราจะไม่เข้ามาแทรกแซงการประลองของเด็กหนุ่มในวันนี้เด็ดขาด”

 

 

ติงซานฉือพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “และนั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าไม่สมควรทำเช่นกัน”

 

 

จูปี้ฉีหัวเราะในลำคอ “ดูเหมือนท่านจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสัญญาที่พวกเราตกลงกันในวันนั้นเสียแล้ว… เซียนกระบี่ติง ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม แล้วให้ท่านลงจากเวทีไปซะ มิฉะนั้นจะถือว่าท่านเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงของพวกเรา”

 

 

ติงซานฉือเลิกคิ้วสูงด้วยความเดือดดาล

 

 

แต่ในทันใดนั้น…

 

 

ตึง!

 

 

ร่างของใครอีกคนหนึ่งก็ทิ้งตัวลงมายืนบนเวที

 

 

เป็นฉู่เหิน

 

 

ชายชรายืนหยัดอยู่ข้างกายติงซานฉือ

 

 

แขนของเขายื่นออกมาข้างหน้าพ้นชายเสื้อ เผยให้เห็นถึงแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือที่สะท้อนประกายแวววาวกับดวงอาทิตย์ วัตถุที่นำมาตีเป็นแขนกลสองข้างนี้ทำขึ้นมาจากเหล็กชนิดพิเศษ และผ่านการหลอมอย่างประณีตโดยหยางเจินโจว ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ฉู่เหินดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น

 

 

ครืน!

 

 

ฉู่เหินระเบิดพลังกระแทกหมัดออกมาข้างหน้า

 

 

พลังลมปราณกึ่งโปร่งแสงพุ่งออกมาจากหมัดเหล็กของฉู่เหินสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังทำลายล้างแผ่ออกไปกว้างไกลรอบเวที กำแพงเวทมนต์ที่คอยป้องกันคนดูไม่ให้ได้รับลูกหลงเกิดรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุม และต้องใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียวกว่าที่รอยแตกร้าวเหล่านั้นจะหายไป

 

 

“อย่ามัวเสียเวลาพูดคุยกันอยู่เลย ถ้าเจ้าเก่งจริงก็ก้าวออกมาสู้กัน”

 

 

ฉู่เหินระเบิดเสียงคำรามราวกับพญาราชสีห์

 

 

แล้วพลังระดับยอดปรมาจารย์ก็แผ่กระจายออกไป

 

 

ทันใดนั้น หลี่ชิงสวนและบรรดาคณะอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ ที่มีความสนิทคุ้นเคยกับฉู่เหิน ล้วนแล้วแต่พร้อมใจกันสบถออกมาด้วยความตกตะลึง

 

 

พลังระดับยอดปรมาจารย์?

 

 

ฉู่เหินสามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตของยอดปรมาจารย์ได้แล้วหรือ?

 

 

ชายชราต้องสูญเสียแขนไปทั้งสองข้าง แต่แทนที่ชีวิตจะดำดิ่งตกอับกลับพุ่งทะยานเลื่อนระดับพลังกลายเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ได้อย่างไร?

 

 

สถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นสถานที่ชุมนุมพยัคฆ์ซุกซ่อนมังกรอย่างนั้นหรือ?

 

 

ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเสียแล้วสิ

 

 

โครงสร้างลำดับชั้นสถานศึกษาในเมืองหยุนเมิ่งคงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดแล้ว

 

 

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง…

 

 

ตึง!

 

 

ตึง!

 

 

ร่างของคนอีกสองคนก็กระโดดออกมาจากกลุ่มคนดู

 

 

และทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนเวที!

 

 

หลิวฉีไห่กับพานเว่ยหมินปรากฏกายยืนหยัดอยู่เคียงข้างฉู่เหิน

 

 

ทั้งสองคนระเบิดพลังลมปราณออกมา

 

 

หลิวฉีไห่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 9

 

 

พานเว่ยหมินมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 1

 

 

พลังลมปราณของพวกเขาแผ่กระจายไปรอบทิศทางเหมือนดั่งเกลียวคลื่นทะเล

 

 

ทันใดนั้น เหล่ามือกระบี่อาวุโสถึงกับต้องตกตะลึงแล้วจริงๆ

 

 

หลี่ชิงสวนไม่อยากเชื่อสายตา

 

 

ทุกคนที่รู้จักมักคุ้นกับพานเว่ยหมินและหลิวฉีไห่ ต่างรู้ดีว่าชายชราทั้งสองคนนี้แทบไม่มีโอกาสเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จอีกแล้ว

 

 

เพราะเหตุใด

 

 

ทำไมคณะอาจารย์ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม ถึงสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้?

 

 

จากขอบเขตปรมาจารย์ขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์

 

 

ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถกระทำได้ง่ายๆ

 

 

มันยากลำบากยิ่งกว่าการบุกเข้าถ้ำมังกรแล้วรอดชีวิตกลับออกมาเสียอีก

 

 

เมื่อสามารถขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นก็เปรียบเสมือนวิหคเพลิงที่ตายในเถ้าถ่านและได้กำเนิดใหม่ เปลี่ยนแปลงยิ่งกว่างูที่ลอกคราบกลายเป็นมังกร

 

 

หลังจากนั้น ประตูแห่งโลกใบใหม่ก็เปิดกว้าง

 

 

แล้วเช่นนี้จะไม่ให้พวกเขารู้สึกอิจฉาได้อย่างไร?

 

 

สถานศึกษากระบี่ที่สาม ซึ่งเป็นสถานศึกษาเล็กๆ ในเมืองบ้านนอกห่างไกลความเจริญ ถึงกับมียอดฝีมือจำนวนมากรวมตัวอยู่เช่นนี้… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

 

“พวกเจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับข้าหรือ?”

 

 

แววตาของจูปี้ฉีเย็นชาขึ้นมาในฉับพลัน

 

 

พานเว่ยหมินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเราล้วนเป็นสาวกของเทพีกระบี่ เมื่อมีผู้คิดร้ายต่อชีวิตของหลินเป่ยเฉินซึ่งมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก ข้าจึงไม่อาจทนอยู่นิ่งเฉยได้เด็ดขาด”

 

 

หลิวฉีไห่กล่าวเสริมว่า “ข้าก็เช่นกัน”

 

 

พานเว่ยหมินรับช่วงกล่าวต่ออีกครั้ง “ยังไม่ต้องเอ่ยว่าหลินเป่ยเฉินเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม และในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ของเขา ยามที่เขากำลังมีปัญหา ท่านจะให้ข้าอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไร”

 

 

หลิวฉีไห่กล่าวเสริมว่า “ข้าก็เช่นกัน”

 

 

พานเว่ยหมินรับช่วงกล่าวต่ออีกครั้ง “หากมือกระบี่จูปฏิเสธก้าวลงจากเวที เห็นทีวันนี้คงได้เกิดการต่อสู้ระหว่างท่านกับข้า ก่อนที่ทุกคนจะได้รับชมการประลองระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้เสียแล้ว และข้าก็จะทำให้ท่านได้รับรู้ความน่ากลัวของผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์หน้าใหม่”

 

 

หลิวฉีไห่กล่าวเสริมว่า “ข้าก็เช่นกัน”

 

 

ฉู่เหินพลันใช้ฝักกระบี่สะกิดไหล่หลิวฉีไห่ “ตาเฒ่า เจ้าไม่ได้อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์สักหน่อย”

 

 

วาจาเหน็บแนมของสหายรักทำให้หลิวฉีไห่พูดอะไรไม่ออก

 

 

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคณะอาจารย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามกลุ่มนี้มีความน่ากลัวมาก

 

 

หลิวฉีไห่แม้จะไม่ได้อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เหมือนคนอื่น แต่อีกไม่นาน เขาก็จะสามารถเลื่อนระดับได้สำเร็จแล้วเช่นกัน

 

 

จูปี้ฉีเลิกคิ้วสูง

 

 

ถึงเขาจะมั่นใจในฝีมือกระบี่ของตนเองพอสมควร แต่จูปี้ฉีก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะติงซานฉือที่มีผู้ช่วยระดับพลังสูงส่งเช่นนี้ได้หรือไม่

 

 

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว

 

 

เพราะว่า…

 

 

“เป็นเพียงสุนัขเพิ่งหัดเดิน ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นพยัคฆ์เสียแล้วหรือ?”

 

 

พลัน เสียงหัวเราะเหยียดหยามดังขึ้นจากกลุ่มคนดู

 

 

กลุ่มคนแหวกออกเป็นสองฝั่ง แล้วใครคนหนึ่งก็เดินออกมาอย่างแช่มช้า

 

 

ทุกย่างก้าวที่เขาเดินออกมาข้างหน้า พลังลมปราณของเขาจะถูกปลดปล่อยออกมารุนแรงมากขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น พื้นหินของลานจัตุรัสก็เริ่มเกิดความสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย

 

 

สองก้าว…

 

 

สามก้าว…

 

 

สี่ก้าว…

 

 

เมื่อถึงก้าวที่ห้า ระดับพลังลมปราณที่แผ่ออกมาก็เปิดเผยว่าบุคคลผู้นี้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ ระดับพลังนั้นก็ยังคงพุ่งทะยานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับที่ 6

 

 

คลื่นพลังลมปราณในอากาศเป็นแสงสว่างเรืองรอง

 

 

ร้อนแรงยิ่งกว่าแสงอาทิตย์

 

 

มวลอากาศปั่นป่วน

 

 

“ถอยไปซะ ถ้าพวกท่านยังไม่อยากตาย” บุรุษหนุ่มผู้นี้เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายคมกริบจ้องมองมายังพวกของฉู่เหิน

 

 

ใบหน้าของเขาสกปรกมอมแมม

 

 

เสมือนดั่งบุคคลพเนจรที่เดินทางรอนแรมมาแสนไกล