บทที่ 450 ข้ามีสติรับรู้สมบูรณ์ดีทุกอย่าง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 450 ข้ามีสติรับรู้สมบูรณ์ดีทุกอย่าง

 

 

เมื่อเห็นใบหน้าและการแต่งกายเช่นนั้น มือกระบี่หลายคนก็รู้ทันทีว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นใคร

 

 

กระบี่พเนจร ฉู่ฉู่เซียว

 

 

องครักษ์ลำดับที่ 2 ของเว่ยหมิงเฉิน

 

 

พลังของเขาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 6 อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นที่ 7 ได้สำเร็จแล้ว

 

 

พลังลมปราณแผ่กระจายออกมาจากรอบตัวเขาเป็นสีน้ำเงินคราม บรรยากาศกดดันหนักหน่วงชวนให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็น ทำให้หลายคนรับแรงกดดันไม่ไหวจนต้องคุกเข่าลงไปกับพื้น

 

 

พวกของฉู่เหินตอนแรกก็ยังไม่เป็นไร แต่ในทันใดนั้น กลับรู้สึกเหมือนมีภูเขาทั้งลูกกดทับลงมาบนใบหน้า มิหนำซ้ำ ยังรู้สึกหนักหน่วงราวกับมีคลื่นสึนามิถล่มทับเข้ามาเข้ามาตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ กลุ่มชายชราจึงอดตื่นตระหนกไม่ได้

 

 

ทันใดนั้น มวลพลังกดดันพลันสลายหายไป

 

 

ไม่ใช่เพราะว่าฉู่ฉู่เซียวสลายการกดดัน

 

 

แต่เป็นเพราะพวกของฉู่เหินระเบิดพลังลมปราณตอบโต้

 

 

ทว่า เพียงพริบตาเดียวพลังกดดันก็กลับมาอีกครั้ง

 

 

จังหวะนั้น ติงซานฉือขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า

 

 

กระบี่ในมือของเขาถูกชักออกจากฝัก

 

 

เงากระบี่สิบสายปรากฏขึ้นด้านหลังติงซานฉือพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

พลังลมปราณของอดีตเซียนกระบี่แผ่กระจายไปรอบบริเวณ

 

 

แล้วพวกของฉู่เหินถึงได้รู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น

 

 

แต่ถ้าสถานการณ์ก็ยังไม่เปลี่ยนไป

 

 

เพราะไม่กี่อึดใจต่อมา พวกเขาก็ต้องกลับมาหายใจติดขัดอีกครั้ง

 

 

ราวกับว่านี่คือการทำสงครามผ่านการโคจรพลังลมปราณอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ทุกคนย่อมเข้าใจดีว่าเมื่อผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ต่อสู้กัน ผู้คนที่อยู่โดยรอบจำนวนนับหมื่นก็ต้องได้รับผลกระทบไปด้วยโดยปริยาย

 

 

ความโกรธแค้นปะทุขึ้นในแววตาของฉู่ฉู่เซียว

 

 

ไม่เคยมีใครกล้ามีเรื่องกับเขามานานแล้ว มันจึงทำให้เขาเดือดดาลใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

กระบี่ที่ไม่เคยถูกชักออกจากฝักมานานพลันสั่นสะเทือนอยู่ที่ข้างเอว

 

 

ชายหนุ่มเจ้าของฉายากระบี่พเนจรเอื้อมมือไปที่ด้ามจับกระบี่

 

 

แม้เพิ่งจะดึงกระบี่ออกมาได้เพียงเล็กน้อย แต่รังสีสังหารก็แผ่ออกมาจากด้านในฝักกระบี่รุนแรงน่าหวาดกลัว

 

 

ทว่า ในจังหวะที่ฉู่ฉู่เซียวกำลังจะชักกระบี่ออกมาทั้งเล่มนั้นเอง

 

 

เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบนเวทีว่า

 

 

“งู้ย พวกอาจารย์ไม่คิดจะถามอะไรข้าสักคำเลยหรือขอรับ”

 

 

หลินเป่ยเฉินเป็นคนพูด

 

 

เด็กหนุ่มกำลังมองติงซานฉือและกลุ่มอาจารย์ด้วยสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ทำไมพวกท่านถึงต้องทำเหมือนสัญญายินยอมมอบความตายเป็นเรื่องใหญ่อะไรเช่นนี้? นี่หมายความว่าพวกท่านคิดว่าข้าไม่มีโอกาสเอาชนะเจ้าสุนัขข้างถนนเจียงจี้หลิวได้เลยหรือขอรับ?”

 

 

ติงซานฉือและพวกของฉู่เหินถึงกับชะงักไปเล็กน้อย

 

 

ฉู่เหินอยากจะพูดสวนกลับไปว่า “แล้วเจ้ามีหวังที่จะชนะเขาหรืออย่างไร?”

 

 

เจียงจี้หลิวเป็นนักสู้ในตำนาน ไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใดนอกจากเว่ยหมิงเฉิน

 

 

เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว

 

 

ไม่เคยมีใครเลื่อนระดับพลังได้รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน

 

 

แล้วเทียบกับเจ้าล่ะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงมือกระบี่หนุ่มบ้านนอก

 

 

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา สะสมชื่อเสียงโด่งดังในด้านที่ไม่สามารถป่าวประกาศให้สาธารณชนรับรู้ได้เลย

 

 

บัดนี้ เจียงจี้หลิวเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยและไม่พูดอะไร

 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินเจตนาดูถูกเหยียดหยามฝีมือของเขา แต่เจียงจี้หลิวกลับไม่ได้ฉุนเฉียวแต่อย่างใด

 

 

หากเป็นคนอื่นพูดประโยคเหล่านี้ เขาคงฆ่าทิ้งไปแล้ว

 

 

แต่เมื่อเป็นหลินเป่ยเฉิน…

 

 

ปล่อยผ่านไปก็แล้วกัน

 

 

เจียงจี้หลิวไม่รู้ว่าตนเองจะถือสาคำพูดของคนใกล้ตายไปทำไม?

 

 

เขาเพียงยืนฟังหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “อาจารย์ขอรับ ได้โปรดลงจากเวทีไปก่อนเถิด บัดนี้ข้ายังไม่มีเวลาอธิบาย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง แต่ขอยืนยันว่าตอนที่ข้าลงนามในสัญญาฉบับนั้น ข้ามีสติรับรู้สมบูรณ์ดีทุกอย่าง และมันก็มีเหตุผลที่ทำให้ข้าปฏิเสธการลงนามนั้นไม่ได้ ทุกท่านได้โปรดอย่าลืมว่าข้ามีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก ในเมื่อข้าลงนามไปเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่สามารถกลับคำพูดของตนเองได้อีกเด็ดขาด”

 

 

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ค้อมศีรษะลงมาแสดงความเคารพอย่างอ่อนน้อม

 

 

ติงซานฉือและคณะอาจารย์อาวุโสหันมองเด็กหนุ่มด้วยความประทับใจ ราวกับว่านี่คือครั้งแรกที่พวกเขาเพิ่งพบหน้าหลินเป่ยเฉินก็ไม่ปาน

 

 

นับว่าหลินเป่ยเฉินเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ

 

 

แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาทำตัวเป็นผู้ใหญ่

 

 

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”

 

 

ติงซานฉืออยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

 

 

หลินเป่ยเฉินหันมาโค้งคำนับให้แก่ชายชราอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น “อาจารย์ขอรับ ท่านได้โปรดมั่นใจในตัวลูกศิษย์คนนี้เถิด”

 

 

ติงซานฉือถึงกับพูดอะไรไม่ออก

 

 

“พวกเราถอย”

 

 

แล้วเขาก็หันหลังเดินลงจากเวทีกลับไปนั่งบนที่นั่งของแขกคนสำคัญ

 

 

พลังลมปราณในอากาศสลายหายไปทันที

 

 

พวกของฉู่เหินจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน และก็พบว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวความตายเลยสักนิด หลังจากลองคิดดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน กลุ่มอาจารย์อาวุโสก็เริ่มคิดว่า หรือพวกเขาจะวิตกกังวลมากเกินไปเอง

 

 

การที่หลินเป่ยเฉินลงนามในสัญญายินยอมมอบความตาย ก็อาจจะเป็นเพราะเขาต้องการกระตุ้นตนเองก็ได้

 

 

“ระวังตัวด้วยนะ”

 

 

หลิวฉีไห่ยังคงอดกล่าวออกมาไม่ได้

 

 

หลินเป่ยเฉินขยิบตาให้อย่างวางมาดเท่ “ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับอาจารย์หลิว หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่สามารถรังแกคนอื่นได้แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่มีใครสามารถรังแกหลินเป่ยเฉินได้เด็ดขาด”

 

 

อาจารย์อาวุโสทั้ง 3 ท่านผ่อนพลังลมปราณและก้าวเดินลงจากเวทีไปอย่างแช่มช้า

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… เจ้าพวกสุนัขเฒ่า คิดจะหนีไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?”

 

 

กระบี่พเนจรฉู่ฉู่เซียวหัวเราะเยาะด้วยความอาฆาตแค้น มือของเขายังคงอยู่ที่ด้ามจับกระบี่ ในแววตามีแต่ความอำมหิตลุกโชน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้อยากจะชักกระบี่ออกมาฆ่าคนเต็มแก่แล้ว

 

 

ฉู่เหินหันขวับกลับมามองหน้าชายหนุ่มเจ้าของฉายากระบี่พเนจร ชูกำปั้นเหล็กในมือขึ้น พร้อมกับหัวเราะเยาะ “ทำไม เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ?”

 

 

ฉู่ฉู่เซียวปากกระตุกและกำลังจะชักกระบี่ออกมา

 

 

แต่ในจังหวะนั้นเอง ฝ่ามือของใครบางคนก็กระแทกเข้าใส่แขนของฉู่ฉู่เซียว ส่งผลให้กระบี่สอดกลับคืนเข้าไปในฝักดังเดิมอีกครั้ง

 

 

เป็นกระบี่สุราโลหิต จูปี้ฉี

 

 

“น้องรอง พวกเราควรถอยก่อน”

 

 

หัวหน้ากลุ่มองครักษ์ประจำตัวเว่ยหมิงเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวกำชับว่า “อย่าทำให้แผนการของนายท่านต้องเสียหาย”

 

 

จิตสังหารของฉู่ฉู่เซียวพุ่งขึ้นมาถึงขีดสุดแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำว่านายท่านในคำพูดของจูปี้ฉี เขาก็สลายคลื่นพลังลมปราณของตนเองลง และคลายมือออกจากด้ามจับกระบี่ทันที

 

 

ฉู่ฉู่เซียวหัวเราะเยาะทิ้งท้ายขณะมองพวกของฉู่เหิน ก่อนจะหมุนตัว เดินจากไปอย่างเชื่องช้า

 

 

ทันใดนั้น ฉู่ฉู่เซียวรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนบนเวทีประลองกำลังจ้องมองมาที่ตนเองไม่วางตา

 

 

เขาจึงหันหน้ากลับไปมองหา

 

 

แล้วก็ได้เห็นว่าเด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเขียวผู้ยืนอยู่กลางเวที กำลังถลึงตาจ้องมองมาที่เขาเขม็ง แววตาไม่ได้ดุร้ายก็จริง แต่มันก็เป็นแววตาที่ทำให้ผู้ถูกจ้องมองต้องเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ…