ตอนที่ 549 จะปัดกวาดใต้หล้าได้เยี่ยงไร

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 549 จะปัดกวาดใต้หล้าได้เยี่ยงไร

กองทัพของเผิงยวี๋เยี่ยนเคลื่อนพลไปทางตะวันตก

แต่ทว่ายิ่งเดินทางภายในใจก็ยิ่งสับสน

นอกจากผู้สอดแนมเพียงหนึ่งหรือสองคนที่บินผ่านไปเป็นครั้งคราแล้ว นางก็มิได้พบกับศัตรูตัวฉกาจแม้แต่คนเดียว !

แล้วทัพหลังของเซวี๋ยติ้งชานเล่า ?

เดินทางมาได้ 4 วันแล้ว ตามหลักการมิว่าเยี่ยงไรก็ต้องเผชิญหน้ากับทัพหลังของเซวี๋ยติ้งชาน หรือว่าเขาตั้งใจให้ทัพหน้าจำนวนหนึ่งแสนกว่านายปะทะกับกองทัพทหารของฝ่ายนางอย่างแท้จริง ?

ทหารของเขาเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? หรือว่าเขาจะเล่นสกปรกอันใดอีกกัน ?

เผิงยวี๋เยี่ยนเรียนการทหารมาตั้งแต่เยาว์วัย ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านนายพลเผิงผู้เป็นบิดา ความซับซ้อนที่ห่างไกลจากความเป็นจริงในครานี้ ทำให้นางสงสัยในความคิดของตนเองเป็นอย่างมาก

หรือว่า… ที่ฉินหลิงนี้ยังมีเส้นทางอื่นอยู่อีก ?

จนถึงบัดนี้ นี่ถือเป็นประเด็นที่นางกังวลมากสุด

ระยะทางไปถึงด่านชีผานเหลืออีก 2 วัน มิว่าเยี่ยงไรนางก็ได้ตัดสินใจไปดูที่ด่านชีผานแล้ว

กองพลที่สามดาบเทวะโดยการนำของซูม่อล่าช้าไปเกือบค่อนวันเพราะต้องอ้อมหุบเขาต้าเยี่ยน ดังนั้นในยามที่มาถึงชีหลี่ผิงกลับพบว่ากองทัพของสีฮวาได้หันหลังไปจากชีหลี่ผิงแล้วและกำลังเดินทางไปยังด่านชีผานอย่างเร่งรีบ

จนถึงตอนนี้ นอกจากซูม่อที่ได้สังหารผู้สอดแนมของทัพศัตรูไปจำนวนมากแล้ว ก็มิพบศัตรูอย่างจริงจังแม้แต่คนเดียว

ศัตรูอยู่ที่ใดกัน ?

ซูม่อหัวหมุนเป็นอย่างมาก นี่คือการปฏิบัติการทางทหารคราแรกของดาบเทวะกองพลที่สาม จะกลายเป็นการเดินทางอันสูญเปล่าเยี่ยงนั้นหรือ ?

ไป๋ยู่เหลียนได้สร้างชื่อเสียงไว้ตอนสงครามที่ภูเขาผิงหลิง แน่นอนว่ากองกำลังที่ตนฝึกฝนขึ้นมานี้แข็งแกร่งกว่ากองกำลังของไป๋ยู่เหลียนหลายเท่า เดิมทีคิดว่ากองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามจะสามารถทำให้ทั่วทั้งหล้าตื่นตะลึงจากสงครามเพียงครานี้คราเดียวได้ จะต้องทำให้เจ้าไป๋ยู่เหลียนเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่

แต่ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้มองกับผีสิ !

เป็นไปมิได้ที่ฟู่เสี่ยวกวนจะเขียนสารมาผิด หรือต้องการให้กองกำลังที่สามนี้ออกมาฝึกข้างนอกสักครากัน ?

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเราหลงกลศิษย์น้องเล็กแล้วหรือไม่ ? ”

ซูเจวี๋ยขยับหมวกและส่ายหน้า “ศิษย์น้องเล็กรีบร้อนออกมาโดยมิทันแม้แต่เอ่ยลาเหล่าภรรยาของเขาด้วยซ้ำ สถานการณ์ในตอนนี้เร่งด่วนมากยิ่งนัก อีกอย่างคือเขาได้รับตำแหน่งเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้ามาแล้ว ยังมีเรื่องให้เขาต้องจัดการอีกมากโขและเขาเองก็ใส่ใจมิน้อย จึงมิมีทางมาเที่ยวเล่นฆ่าเวลาด้วยการวิ่งออกมาไกลโดยไร้เหตุผลหรอก”

ซูม่อเงียบลงชั่วครู่ และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นศัตรูยังมีอยู่ เพียงแค่มิทราบว่าอยู่ที่ใดก็เท่านั้น

เขามองไปรอบด้าน มือใหญ่สะบัดให้สัญญาณ “เดินหน้าต่อ ! ”

เผิงยวี๋เยี่ยนไล่ตามหลังกองทัพของเซวี๋ยติ้งชาน ซูม่อไล่ตามทัพของสีฮวา หลังจากที่หยูชุนชิวซึ่งปักหลักอยู่ด้านหลังได้สนทนากับฟู่เสี่ยวกวนโดยละเอียดแล้วจึงถอนค่ายแล้วจัดทัพเสียใหม่ กองกำลัง 150,000 นายจึงออกเดินทางไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสาม วันที่ห้า ฮั่วหวยจิ่นได้ไล่ตามทัพหลักของหยูชุนชิวทันแล้ว

เขายังได้พาคนมาด้วยถึงสามคนคือ เว่ยอู๋ปิ้ง เว่ยเซียงหาน และบัณฑิตหนุ่มจงสือจี้

ยามราตรี กองทัพใหญ่ได้ตั้งค่ายอยู่บนภูเขา หลังจากจัดวางกองกำลังป้องกันอย่างรัดกุมแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนและหยูชุนชิวก็ได้ร่วมสนทนากับฮั่วหวยจิ่นอยู่ภายในกระโจม

“ฝ่าบาทมีราชโองการให้เจ้ามาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างสงสัย

ฮั่วหวยจิ่นเลิกคิ้วแล้วส่ายหน้า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะมีโทษเยี่ยงไร ? ”

“หลังจากจัดการกับเซวี๋ยติ้งชานได้แล้ว ข้าจะไปรับโทษกับฝ่าบาทเอง”

“มีความเป็นไปได้ที่เซวี๋ยติ้งชานจะมีฝีมือถึงขั้นปรมาจารย์ ฝีมือขั้นหนึ่งเยี่ยงเจ้า จะสู้เขาไหวหรือ ? ”

ฮั่วหวยจิ่นหัวเราะน้อย ๆ “บางเรื่องต่อให้สู้มิได้ ถึงเยี่ยงไรก็ต้องทำอยู่ดี นอกจากนี้ต่อให้สู้เขามิได้จริง ๆ ข้าก็ต้องไปอยู่ดี เพราะที่เจิ้นซีมีทหารม้าชั้นยอดอยู่ถึง 30,000 นาย ปัจจุบันบิดาก็ได้สิ้นแล้ว ข้าต้องไปเพื่อนำทหารม้าเหล่านั้นออกมา แล้วต่อสู้กับกองกำลังชายแดนตะวันตก”

ความคิดนี้ใช้ได้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมีความคิดดี ๆ ขึ้นมา หลังจากกลับไปที่เมืองหลวงคงต้องร่วมรับโทษกับฮั่วหวยจิ่นด้วย ฝ่าบาทคงทำอันใดเขามิได้มากนักหรอก แต่ฮั่วหวยจิ่นมิควรมาเสียอนาคตเพราะเรื่องนี้

หลังจากที่คิดได้ดังนั้นแล้วจึงหันไปมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลังฮั่วหวยจิ่น

ในยามนี้ดวงตาของจงสือจี้ทอประกาย เขามองฟู่เสี่ยวกวนสักพักแล้วมองท้ายทอยของฮั่วหวยจิ่น เกิดความประทับใจขึ้นมาภายในใจ โดยเฉพาะในยามที่ได้พบกันคราแรก คุณชายฮั่วกล่าวว่าเป็นสหายของฟู่เจวี๋ยเย แน่นอนว่าตนยังมิเชื่อ แต่คาดมิถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นสหายของฟู่เจวี๋ยเยอย่างแท้จริง !

ส่วนเว่ยอู๋ปิ้งกำลังตื่นเต้นอย่างไร้ที่เปรียบมิได้ เขาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอยู่ตลอดเวลา…

ท่านนี้คือผู้มีพรสวรรค์ที่ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็กล่าวขานถึง !

เขาได้เป็นขุนนางขั้นสามตอนที่อายุยังมิครบ 18 ปี เขาได้สร้างกองกำลังพิเศษดาบเทวะขึ้นมา ผลักดันนโยบายใหม่ด้วยมือเดียว ก่อตั้งกรมการค้า และได้รับพระราชทานยศฟู่เจวี๋ยเย !

ไอหยา ! ฟู่เจวี๋ยเยที่ได้พบเจอเปรียบดั่งมังกรในหมู่มวลมนุษย์ ราวกับมีไอสีม่วงลอยวนบนหน้าผาก แม้แต่ในยามหัวเราะ ยามเจรจาก็ยังมีพลังคำรามของมังกรและเสือแฝงอยู่ในน้ำเสียง !

ฟู่เสี่ยวกวนมองเว่ยอู๋ปิ้งที่ทำตาโต ลูกตาของคนผู้นี้มิขยับเลยแม้แต่น้อย เป็นคนโง่เยี่ยงนั้นหรือ ?

“น้องชายท่านนั้น… อ่า… เจ้านั่นแหละ”

เว่ยเซียงหานใช้มือหยิกพี่ชายหนึ่งครา เว่ยอู๋ปิ้งจึงตื่นขึ้นมาจากความฝัน รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ข้าน้อย เว่ยอู๋ปิ้ง ขอคำนับฟู่เจวี๋ยเย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจเท่าใดนัก เขาเหลือบมองฮั่วหวยจิ่นแล้วลุกขึ้นยืน พลางเดินเข้าไปช่วยประคองเว่ยอู๋ปิ้งขึ้นมา

“เจ้าคือ… ผู้คุ้มกันของเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฮั่วหวยจิ่นหัวเราะร่า “ข้าเก็บได้ระหว่างทาง เขาเอ่ยว่าต้องการเข้าร่วมกองกำลังดาบเทวะ… ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นคู่รักกัน ผู้ชายเป็นบัณฑิต กล่าวว่าต้องการเป็นเสนาธิการภายในกองกำลังดาบเทวะของเจ้า ส่วนแม่นางผู้นั้นมีวรยุทธค่อนข้างดีเสียทีเดียว”

ฟู่เสี่ยวกวนจับไหล่ทั้งสองข้างของเว่ยอู๋ปิ้ง มองชายร่างกำยำผู้นี้แล้วฉีกยิ้มขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “น้องชายมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“ข้าชื่อเว่ยอู๋ปิ้ง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าน้อย ๆ แล้วกล่าวว่า “กองกำลังดาบเทวะมิใช่ว่าจะสามารถเข้าร่วมได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เยี่ยงไรเสีย หากเจ้ามีความตั้งใจก็สามารถไปลองดูได้”

เว่ยอู๋ปิ้งดีใจขึ้นมาทันพลัน ริมฝีปากหนาฉีกยิ้ม กำลังจะคุกเข่าลงอีกคราแต่กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนรั้งเอาไว้ “สิ่งแรกที่เจ้าต้องจำเอาไว้ก็คือ… สำหรับกองกำลังดาบเทวะยามเผชิญหน้ากับทหารชั้นผู้ใหญ่ เพียงคำนับก็พอ ห้ามคุกเข่าโดยเด็ดขาด ! นี่คือกฎระเบียบ ทหารต้องยืนตัวตรง นอกจากบิดามารดาของตนแล้ว ห้ามคุกเข่าให้กับผู้ใดทั้งสิ้น ! ”

“ข้าน้อยรับคำสั่ง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินกลับไปนั่งข้าง ๆ หยูชุนชิวแล้วจ้องไปทางจงสือจี้ที่ในยามนี้ก็ได้มองมาอย่างกังวลเช่นกัน

ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ความคิดที่จงสือจี้มีต่อฟู่เสี่ยวกวนกลับเปลี่ยนไปแบบพลิกฟ้าคว่ำดิน

ในฐานะผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง ผู้ยิ่งใหญ่คนปัจจุบันของราชวงศ์หยู เดิมทีคิดว่าฟู่เจวี๋ยเยผู้อ่อนเยาว์ต้องเย็นชา คงทำตัวห่างเหินกับพวกชาวป่าชาวเขาเยี่ยงพวกตน

คาดมิถึงว่าเจวี๋ยเยผู้อ่อนเยาว์ท่านนี้จะเป็นมิตรและถ่อมตนถึงเพียงนี้ มิมีความหยิ่งยโสหรือการวางมาดแผ่ออกจากร่างแต่อย่างใด กลับให้ความอบอุ่นและสบายดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้น เจวี๋ยเยท่านนี้จึงแตกต่าง !

“น้องชายท่านนี้มีนามว่าอันใด ? ”

จงสือจี้ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับ “ข้าน้อยแซ่จง มีนามว่าสือจี้ขอรับ”

“เหตุใดถึงมิไปจินหลิงแล้วเข้าร่วมสอบเอินเคอเพื่อรับราชการ ? ”

“เรียนเจวี๋ยเย… ข้าน้อยคิดจะเข้าร่วมสอบชิวเหวยหลังจากสมรสขอรับ”

“เจ้ารู้สึกว่าหากเจ้าไปเข้าสอบ เจ้าจะสามารถเป็นจิ้นซื่อได้หรือไม่ ? ”

“…” จงสือจี้เงียบไปชั่วครู่ “ข้าน้อยรู้สึกว่าสามารถติดสิบอันดับแรกได้ขอรับ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม ชายผู้นี้มีความมั่นใจในตนเองใช้ได้

ดังนั้น เขาจึงหยิบกระดาษและแท่งถ่านออกมา เขียนหัวข้อลงในกระดาษว่า จะปัดกวาดใต้หล้าได้เยี่ยงไร !

เขาส่งให้จงสือจี้ “นี่คือการวิเคราะห์นโยบายของการสอบเอินเคอ ตอนนี้… เจ้าเอาไปทำที่ด้านข้างนั้นไป”