ตอนที่ 550 นี่มันอันใดกัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 550 นี่มันอันใดกัน

จงสือจี้รับกระดาษแผ่นนั้นไป ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ มิใช่เพราะเขินอายแต่เพราะตื่นเต้นต่างหากเล่า

ฟู่เจวี๋ยเยจะใช้ข้อสอบเอินเคอมาทดสอบเขาล่วงหน้า หากเขาตอบคำถามได้ดี ก็อาจจะเข้าตาฟู่เจวี๋ยเย แน่นอนว่านับจากนี้เขาจะได้เจริญรอยตามฟู่เจวี๋ยเย และได้แสดงความทะเยอทะยานออกมา !

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามทำให้ใจที่เต้นรัวสงบลง โค้งคำนับและถอยหลังไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงนั่งลง

เว่ยเซียงหานมิรู้เลยว่ามือของนางกำแน่นตั้งแต่เมื่อใด นางได้แต่กลืนน้ำลายแล้วมองไปยังแผ่นหลังของจงสือจี้อย่างนึกเป็นห่วง นางนึกอยู่ในใจว่าเขาช่างคุยโวโอ้อวดเสียเหลือเกิน หากบทความที่เขียนออกมามิได้เรื่อง หวังว่าฟู่เจวี๋ยเยจะมิโมโหจนตัดศีรษะเขา !

จงสือจี้วางกระดาษลงอย่างบรรจง จากนั้นก็ฝนหมึกพลางคิดไปว่า เรื่องที่ฟู่เจวี๋ยเยทำล้วนเป็นเรื่องใหญ่ เเละเรื่องใหญ่เหล่านี้ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของราษฎรทั้งสิ้น

ดังนั้น ฟู่เจวี๋ยเยคงเป็นคนจริงจังที่มิชอบฟังคำเยินยอไร้สาระ

เช่นนั้น บทความที่จะเขียนต้องเป็นประโยชน์ และสามารถใช้งานได้จริง หาใช่เพียงวาทศิลป์ที่งดงามเท่านั้น

บัดนี้ ฟู่เจวี๋ยเยได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้รับหน้าที่เต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า การสอบเอินเคอนี้ก็ใช้สอบเพื่อคัดเลือกขุนนางไปรับราชการที่ว่อเฟิงเต้า หัวข้อของนโยบายมีชื่อว่า จะปัดกวาดใต้หล้าได้เยี่ยงไร… ความหมายที่แท้จริงคือจะปกครองดูแลใต้หล้าเยี่ยงไร

ทว่าการดูแลใต้หล้านี้ตอบได้ยากยิ่ง หากเขียนแบบทั่วไปก็จะดูว่างเปล่า เสมือนหอคอยกลางอากาศที่มิอาจเป็นจริงได้

ดังนั้นบทความนี้แม้จะชื่อว่าปัดกวาดใต้หล้า แต่ในความเป็นจริงต้องเริ่มลงมือจากเขต เมือง ไปสู่มณฑล จึงจะสมจริงและเป็นธรรมชาติที่สุด

หลังจากวิเคราะห์นโยบายใหม่ที่ฟู่เจวี๋ยเยกำลังผลักดันอยู่นี้ แน่นอนว่าการปฏิรูปย่อมมิง่าย ต้องมีความขัดแย้งระหว่างนโยบายเก่าและใหม่นี้อย่างแน่นอน แต่จะทำเยี่ยงไรเพื่อหยุดการขัดแย้งนี้ ? ทำเยี่ยงไรให้พ่อค้าได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ? ทำเยี่ยงไรให้ชาวบ้านและให้แคว้นได้รับประโยชน์มากที่สุด ? นี่คือหนทางแห่งชัยชนะทั้งสาม และเป็นปัญหาใหญ่ที่เหล่าขุนนางต้องจัดการมันในว่อเฟิงเต้า

ดังนั้น นโยบายนี้ต้องกล่าวถึงการเมืองคล่องตัว ประชาชนสงบสุข และต้องทำให้ความคิดเห็นตรงกัน

จากนั้นจงสือจี้จึงเริ่มจับพู่กัน และเริ่มเขียนลงในกระดาษทันที

หากต้องการปัดกวาดใต้หล้า จะต้องเริ่มปัดกวาดจากห้องของตนเสียก่อน… !

……

……

แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจว่าจงสือจี้จะเขียนบทความออกมาเยี่ยงไร ในเมื่อโยนโอกาสนี้ให้กับเขาแล้ว หากเขามีความสามารถอย่างแท้จริง เขาย่อมเขียนออกมาได้เป็นแน่

แท้จริงแล้วในใจของฟู่เสี่ยวกวน บทความเหล่านี้มิได้มีประโยชน์มากนัก เป็นเพียงการสอบคัดเลือกเท่านั้น และมีผู้คนจำนวนมากต้องถูกคัดออก เนื่องจากตำแหน่งขุนนางของว่อเฟิงเต้ามิใช่ชามข้าวเหล็ก

ฟู่เสี่ยวกวนจะใช้ระบบการจ้างงาน ขุนนางของว่อเฟิงเต้าจะได้รับค่าตอบแทนมากกว่าอีกสิบสามมณฑลถึงห้าเท่า ! แต่ทว่าในทุกปีจะมีการประเมินอย่างน้อยสองครา !

การทดสอบประสิทธิภาพในการทำงานนั้นมีข้อเสีย แต่ในสมัยนี้ เห็นได้ชัดว่ามีข้อดีมากกว่าข้อเสียอยู่มิน้อย

ผู้ที่เข้มเเข็งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด คลื่นใหญ่จะซัดทรายให้น้อยลง ท้ายที่สุดแล้วผู้ชนะย่อมเป็นพวกหัวกะทิ และการผลักดันนี้จะส่งผลไปยังอีกสิบสามมณฑล อีกหลายปีต่อไปก็จะส่งผลไปทั่วทั้งหล้า

องค์กรที่มีความสามารถสูงและจิตใจที่บริสุทธิ์ อีกทั้งยังทุ่มเทเพื่อราษฎร จะใช้ว่อเฟิงเต้าเป็นศูนย์กลางและกำจัดสิ่งมิดีที่สืบทอดกันมานานนับพันปี

ส่วนเรื่องระบบการเลือกตั้ง ต้องนำมาใช้ในระบบการจ้างงาน เนื่องจากพวกเขาเคยชินกับการเข้ารับตำแหน่งก่อน แล้วได้รับการยอมรับทีหลัง เรื่องนี้จะว่าไปก็ยังเร็วไปมาก ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้แม้แต่จะคิด

บัดนี้ บทสนทนาจึงวกกลับมาที่สงครามอีกครา

“การเดินทางไปด่านชีผานในครานี้ ต้องใช้เวลาอีกกี่วัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นมา

“หากเดินทัพใหญ่ ต้องขนเสบียงค่อนข้างหนักอีกทั้งทางสายเก่าจินหนิวก็คับแคบเป็นอย่างมาก มิสะดวกต่อการเดินทาง คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 12 วัน”

นานจนเกินไป…

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแล้วพึมพำว่า “หากมีทางลัดคงจะดี”

“พื้นที่แห่งนี้ต่อให้มีทางลัด รถม้าก็มิอาจผ่านไปได้”

“มิต้องเดินทัพใหญ่ ข้าเพียงแค่อยากไปดูว่าไอ้เซวี๋ยติ้งชานมันกำลังทำอันใดอยู่กัน การต่อสู้ในครานี้ช่างคลุมเครือเสียจริง ทั้งสองฝ่ายต่างก็มิรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน ข้ารู้สึกมิค่อยสบายใจสักเท่าใดนัก”

เว่ยอู๋ปิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังฮั่วหวยจิ่นอ้าปากแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เอ่อ…ข้าน้อยเป็นนายพรานแห่งตระกูลเว่ย ข้ารู้ดีว่ามีทางลัดไปยังไป๋หม่าอี้ เมื่อไปถึงไป๋หม่าอี้แล้วเดินทางต่ออีกสองวันก็จะสามารถเดินเท้าไปถึงด่านชีผานได้”

ฟู่เสี่ยวกวนแสดงท่าทางดีใจ “เจ้าเคยไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เว่ยอู๋ปิ้งรีบยกมือขึ้นคำนับแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยเคยเดินทางไปขอรับ เพียงแต่เส้นทางนั้นลำบากมากยิ่งนัก ต้องข้ามภูเขาหลายลูกทีเสียเดียว”

“ใช้เวลาเดินทางเร็วกว่าการเดินบนถนนหลักมากหรือไม่ ? ”

“เร็วกว่าอย่างน้อย 6 วันขอรับ”

“เยี่ยม ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับหยูชุนชิวว่า “ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน คาดว่าจากความว่องไวของกองกำลังดาบเทวะ พวกเขาคงจะไปถึงไป๋หม่าอี้แล้ว”

ฮั่วหวยจิ่นลุกขึ้น “ข้าจะไปกับเจ้า”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ลุกขึ้นและกล่าวกับจงสือจี้ที่กำลังเขียนคำตอบลงกระดาษอยู่ว่า “หลังจากเขียนคำตอบเรียบร้อยแล้ว จงเดินทางไปพร้อมกับท่านแม่ทัพหยู เมื่อถึงเวลานั้นจงนำคำตอบมาให้ข้าดู”

จงสือจี้รีบลุกขึ้นคารวะ “ข้าน้อยจะทำการสอบอย่างเคร่งครัด ขอฟู่เจวี๋ยเยโปรดวางใจ”

“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวน สวี่ซินเหยียน ฮั่วหวยจิ่น และเว่ยอู๋ปิ้ง รีบออกจากกระโจมทันที ทว่าเมื่อเดินออกมาเพียงสิบกว่าก้าวก็ต้องตกตะลึงงันขึ้นมา

ด้านหลังของค่ายปรากฏแสงไฟจำนวนมาก !

เหล่าทหารกำลังตั้งท่าพร้อมรบ แต่ทว่าอยู่ ๆ ก็มีนายทหารผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาแล้วรายงานกับหยูชุนชิวว่า “ท่านแม่ทัพ มี เอ่อ…มีชาวบ้านจำนวนมากมาขอรับ ! ”

“ชาวบ้านเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเขาต้องการสิ่งใดกัน ? ”

“กล่าวว่า…มาส่งเสบียงให้กับพวกเรา ผู้นำมีนามว่า เว่ยฉางเจิ้ง เป็นนายพรานตระกูลเว่ยขอรับ”

เว่ยอู๋ปิ้งตกตะลึงงันขึ้นมาทันพลัน “เขาคือบิดาของข้า เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน ? ”

“ไปดูกันเถอะ”

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จุดคบไฟแล้วเดินตรงไป พวกเขาล้วนตกตะลึงเสียจนแทบจะกระโดดหลบ

ชาวบ้านเหล่านี้มีจำนวนมิต่ำกว่า 10,000 คน !

เมื่อมองให้ดีก็พบว่าเป็นชาวบ้านจริง ๆ บางคนแบกตะกร้า บางคนเข็นรถเข็นเล็ก ๆ จากแสงไฟที่ส่องกระทบใบหน้า จึงมองเห็นได้ว่าชาวบ้านเหล่านี้มีความกังวลและความตื่นเต้นผสมปนเปกันอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้าไปแล้วเอ่ยถามเว่ยอู๋ปิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังว่า “คนใดคือบิดาของเจ้า ? ”

“คนที่ยืนอยู่ด้านหน้า รูปร่างสูงใหญ่ที่สุดขอรับ…” เว่ยอู๋ปิ้งโบกมือแล้วตะโกนเสียงดัง “ท่านพ่อ…ข้าอยู่นี่ ! ฟู่เจวี๋ยเยเองก็อยู่ที่นี่ด้วย ! ”

เว่ยฉางเจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นมากยิ่งนัก พอชาวบ้านได้ยินว่าฟู่เจวี๋ยเยเองก็อยู่ด้วย พวกเขาต่างก็ส่งเสียงดังขึ้นมา

“คารวะฟู่เจวี๋ยเย ! ”

“พวกเรามาส่งเสบียงให้กับฟู่เจวี๋ยเย ! ”

“ฟู่เจวี๋ยเยลำบากเพื่อพวกเรา ท่านแม่ของข้าให้นำรองเท้าผ้าฝ้ายที่เย็บด้วยมือมาให้ท่านหนึ่งคู่ ! ”

“……”

หยูชุนชิวมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างไร้เยื่อใย

ข้านำทัพออกรบ แต่ชาวบ้านกลับขอบคุณฟู่เจวี๋ยเย !

นึกว่าชาวบ้านเหล่านี้จะมาขอบใจข้าในฐานะแม่ทัพใหญ่เสียอีก ที่แท้ก็มาเพราะฟู่เสี่ยวกวนนี่เอง

เสียความรู้สึกมากยิ่งนัก หยูชุนชิวรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมีความสุขและโบกไม้โบกมือไปยังชาวบ้านทั้งหลาย แล้วตะโกนว่า “สวัสดีทุกคน ! ”

ชาวบ้านรีบตอบรับ “สวัสดีฟู่เจวี๋ยเย ! ”

“ข้าขอขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างมาก ! ”

“ขอบคุณฟู่เจวี๋ยเยมากเช่นกัน ! ”

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งป่าทำให้ฝูงนกกาแตกตื่นมิน้อยเลยทีเดียว