ตอนที่ 551 ท่าชุนเฟิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 551 ท่าชุนเฟิง

รัชสมัยเซวียนลี่ที่สิบ เดือนสาม วันที่แปด

คณะเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนภายใต้การนำทางของเว่ยอู๋ปิ้ง ได้ลอดผ่านหน้าผาและป่าส่วนลึกของฉินหลิง

ส่วนกองทัพของเผิงยวี๋เยี่ยนได้มาถึงไป๋หม่าอี้แล้ว แต่ยังคงมิพบศัตรูที่แท้จริงแม้แต่คนเดียว

ทางฝั่งกองทัพ 150,000 นายของเซวี๋ยติ้งชาน ตอนนี้เพิ่งมาถึงด่านชีผาน ยังมิทันได้หยุดพัก เขาก็ได้นำทัพไปเจี้ยนเหมินต่อทันที

หลายวันก่อนหน้านั้น เซวี๋ยติ้งชานได้มอบคำสั่งให้แก่ทหารราบซีหรงที่คุ้มกันเสบียงและม้าจำนวน 150,000 นาย ให้ทั้งหมดหันหลังกลับและซุ่มโจมตีทัพของเฟ่ยอันอย่างเต็มกำลัง เพื่อถ่วงเวลาการมาถึงเจี้ยนเหมินของเฟ่ยอัน

ในยามนี้ ท่าชุนเฟิงที่อยู่ห่างจากเจี้ยนเหมินราวหนึ่งร้อยกว่าลี้ ได้ปรากฏทหารราบซีหรง 150,000 นายกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพ 400,000 นายของเฟ่ยอันโดยมีแม่น้ำกั้นอยู่

ผู้นำของทหารราบซีหรงยังคงเป็นรองผู้อาวุโส เหลียงกุยหยวน จากอั้นเหมินแห่งลัทธิจันทรา ในยามนี้เขายืนอยู่บริเวณหัวสะพานของท่าเรือ เฝ้ามองดูฝูงคนชุดดำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แววตาค่อนข้างเคร่งขรึม แต่พอหันหลังกลับก็ได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนโยน เขาออกคำสั่งกับแม่ทัพทั้งสามที่อยู่ข้างกาย

“เพียงแค่กลุ่มหัวมังกุท้ายมังกร มิมีอันใดต้องกังวล พวกเราเพียงแค่ต้องป้องกันหัวสะพานนี้เอาไว้ จงจำไว้ว่าต่อให้เหลือทหารคนสุดท้ายในสนามรบ ก็ต้องยื้อเวลาออกไปอย่างน้อยที่สุด 2 วันเพื่อท่านนายพล”

“น้อมรับคำสั่งรองผู้อาวุโส ! ”

แม่ทัพทั้งสามกลับเข้าประจำกองของตน ทางตะวันออกของท่าชุนเฟิงปรากฏการตั้งขบวนทัพขึ้นมาและเตรียมพร้อมอย่างสุดกำลัง

ทันใดนั้น ดาบและหอกตั้งเรียงราย เต็มไปด้วยพลัง ดูเป็นระเบียบยิ่ง

เฟ่ยอันยืนอยู่ทางตะวันตกของท่าชุนเฟิง มองสำรวจโดยละเอียด ผ่านไปครึ่งก้านธูปจึงออกคำสั่งกับแม่ทัพทั้งสี่นายที่อยู่ข้างกาย

“ข้าให้เวลาพวกเจ้าเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น จงจำเอาไว้ว่า แจ้งต่อทหารใต้บัญชาของพวกเจ้าว่าฟู่เจวี๋ยเยมาถึงเจี้ยนเหมินแล้ว หากพวกเรามิรีบไปช่วย ฟู่เจวี๋ยเยจะตกอยู่ในเงื้อมมือของกบฏเซวี๋ยและตายโดยไร้หลุมฝังศพ ! ”

“ถ้าอยากช่วยฟู่เจวี๋ยเยออกมา ก็ต้องดูผลงานของพวกเจ้าในวันนี้ ! ”

แม่ทัพทั้งสี่มาจากตระกูลสายรอง พอได้ยินดังนั้นก็ตกใจขึ้นมาทันพลัน มารดามันสิ ! ท่านผู้นำตระกูลก็ได้กำชับมาอย่างจริงจังแล้วว่า…การทำศึกในครานี้ก็เพื่อฟู่เจวี๋ยเย ทหาร 400,000 นายที่ตามมาพวกเขาล้วนมาเพื่อฟู่เจวี๋ยเยด้วยกันทั้งสิ้น

หากเสียโอกาสทางการรบแล้วทำให้ฟู่เจวี๋ยเยถูกกบฏเซวี๋ยสังหาร…

กบฏเซวี๋ยสมควรตาย !

แม่ทัพทั้งสี่นายกลับไปประจำกองของตน กู่ร้องออกมาอย่างฮึกเหิม ทันใดนั้นทหารทั้งหมดก็ระเบิดเสียงออกมา

แต่ละคนราวกับฉีดเลือดไก่มาก็มิปาน เสียงคล้ายคลื่นกระหึ่มสะเทือนไปถึงชั้นเมฆา

“กวาดล้างกบฏเซวี๋ย ! ”

“ช่วยฟู่เจวี๋ยเย ! ”

“แม้หนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอันตราย พวกเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ! ”

เสียงนี้ดังชัดไปถึงฝังตรงข้าม เหลียงกุยหยวนที่ได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันที มารดามันเถอะ ! นี่ข้ากำลังแหย่รังต่ออยู่เยี่ยงนั้นหรือ ?

นั่นมิใช่พวกหัวมังกุท้ายมังกรหรอกหรือ ?

พวกเขามาร่วมกองทัพชั่วคราว มิใช่เพื่อเงินและเสบียงจำนวนน้อยนิดหรอกหรือ ?

เหตุใดต้องช่วยฟู่เจวี๋ยเย ? ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นก็มาที่นี่ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนถูกแม่ทัพเซวี๋ยจับตัวไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นไปมิได้ !

ไม่เพียงแต่เหลียงกุยหยวนเท่านั้นที่ตื่นตระหนก ทหารราบซีหรงจำนวน 150,000 นายก็ตื่นตกใจมิแพ้กัน

เป็นคราแรกในชีวิตที่ได้ออกมาจากซีหรง ผู้คนด้านนอกน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

ในใจของทหารราบซีหรงจำนวนมากเกิดความขลาดกลัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการหลบอยู่ในหุบเขาที่ซีหรงยังปลอดภัยเสียยิ่งกว่า สิ่งที่เรียกว่าการทำศึกนั้นย่อมถึงแก่ชีวิตอย่างแท้จริง !

ในยามนั้นเอง เฟ่ยอันก็ได้รู้สึกยินดีอยู่ภายในใจ เขาชูดาบขึ้นมา

“เหล่านักรบทั้งหลาย ฟู่เจวี๋ยเยอยู่ที่เจี้ยนเหมิน พวกเจ้าจงตามข้าเพื่อข้ามท่าชุนเฟิงและสังหารพวกเศษเดนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นให้สิ้นซากเสีย ข้าจะพาพวกเจ้าพุ่งไปยังเจี้ยนเหมิน ฟู่เจวี๋ยเยต้องประทับใจเป็นแน่ ! ” ….ฟู่เสี่ยวกวน ข้าขอแอบอ้างชื่อเสียงเรียกขวัญกำลังใจหน่อยเถิด !

เขาทะยานไปเบื้องหน้าตามดาบที่โบกสะบัด ทัพใหญ่ 400,000 นายแบ่งออกเป็น 4 เส้นทางพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง

บนท่าชุนเฟิงมีสะพานเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น สะพานนี้ยาว 30 จั้ง กว้างราว 2 จั้ง ย่อมรองรับคนจำนวนมากมิได้

กองสองขึ้นไปบนสะพานจนเต็ม ท่านแม่ทัพทั้งสามกองที่เหลืออยู่ต่างก็เหลือบมองหน้ากัน บัดซบ ! มิมีทางเลือกอื่นแล้ว !

ควรทำเยี่ยงไรดี ?

นายพลอีก 3 กองที่เหลือโบกสะบัดกระบี่ในมือ “ว่ายน้ำข้ามไป ! ”

ในช่วงเดือนสาม ถึงจะกล่าวว่าเป็นกลางฤดูใบไม้ผลิ แต่ฤดูใบไม้ผลิของสองฟากเจี้ยนหนานกลับมาช้ากว่าเจียงหนานถึงหนึ่งเดือน

น้ำในแม่น้ำจึงเย็นเฉียบ แต่ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของทหารราบซีหรง พวกเขามองเห็นทหารจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังกระโดดลงในแม่น้ำราวกับเกี๊ยว แล้วว่ายมาอีกฟากอย่างสุดกำลัง

เหลียงกุยหยวนเหลือบมอง ชักดาบออกมาและชี้ไปด้านหน้า “เหล่าผู้กล้าแห่งซีหรง ถึงเวลาสังหารศัตรูแล้ว จงบุก ! ”

“บุก ! ”

เหลียงกุยหยวนหันหลังกลับไปมอง รู้สึกชาไปทั่วทั้งร่าง

ทหารแต่ละนายจับดาบถือง้าว คาดมิถึงว่าในยามนี้จะสั่นเทา คาดมิถึงว่ามีเพียงหนึ่งร้อยกว่านายเท่านั้นที่ปรี่เข้าไป

ทว่าทหารนับร้อยที่ปรี่เข้าไปจนถึงครึ่งทาง ทันใดนั้นก็หยุดชะงักลงแล้วหันหน้ากลับไปมอง บัดซบ ! มิได้ตามมาทั้งหมดหรอกหรือ ? มิใช่ว่าพวกข้าวิ่งไปหาความตายหรือเยี่ยงไรกัน ?

ดังนั้น ท่ามกลางสายตาโกรธเกรี้ยวของเหลียงกุยหยวน ทหารทั้งร้อยกว่านายจึงหันหลังวิ่งกลับไปที่เดิม

ศึกครานี้ ผู้ใดสามารถสอนข้าได้บ้างว่าต้องทำเยี่ยงไร ?

เพราะความโกรธ เหลียงกุยหยวนจึงรุดไปด้านหน้าของทัพใหญ่ แล้วโบกดาบในมือไปมา

“ศัตรูจะข้ามท่าชุนเฟิงมาแล้ว หากพวกเจ้ายังมิดาหน้าไปรับ ถ้ากลับไปได้ข้าจะสังหารครอบครัวของพวกเจ้าให้หมด ! ”

“รุดไปข้างหน้า ! ”

คำกล่าวนี้ทรงพลังยิ่ง ทหารราบซีหรงกลืนน้ำลายที่ท่วมเต็มปากลงคอ หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นว่า “ก็แค่ตาย ผ่านไป 18 ปี พวกข้าจะเป็นวีรบุรุษกลุ่มหนึ่ง ทำเพื่อภรรยา บุตร และครอบครัว บุกเข้าไป… ! ”

ความล่าช้านี้ทำให้ทัพกองที่สองมาถึงหัวสะพานแล้ว การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายปะทุขึ้นมาในทันที ความรุนแรงเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

หยาดโลหิตสาดกระเซ็นอย่างบ้าคลั่ง ชิ้นส่วนร่างกายขาดกระเด็น เสียงร้องโหยหวนดังระงม เสียงกู่ร้องสะเทือนลั่นท้องนภา !

เฮ้อซานเตาอยู่ในกองทัพที่หนึ่งของเฟ่ยอัน เขามีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น

ถึงแม้จะไม่มีความรู้ด้านวรรณกรรม แต่ก็มิอาจหยุดยั้งความเลื่อมใสที่มีต่อฟู่เจวี๋ยเยได้ เพราะ…เขาเองก็เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินเช่นกัน

เขามักครุ่นคิดถึงปัญหานี้อยู่เสมอ ฟู่เจวี๋ยเยคือคุณชายเศรษฐีที่ดินจากเมืองหลินเจียง และตนก็เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินจื๋อ ชื่อของสถานที่สองแห่งนั้นมีแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกัน แต่ก็มีคำว่าหลินเหมือนกันมิใช่หรือ ?

ทั้งสองล้วนก็เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน แต่เหตุใดจึงแตกต่างกันมากมายได้ถึงเพียงนี้ ?

ฟู่เจวี๋ยเยสร้างชื่อเสียงขจรไกลตั้งแต่เขายังอายุไม่ครบ 18 ปีเต็มเลยด้วยซ้ำ มิต้องกล่าวถึงเรื่องบทความและบทกวีเพราะเขาอ่านมิเข้าใจ เรื่องการค้าขายหารายได้ยิ่งมิต้องกล่าวถึง เพราะเขาก็มิเข้าใจเช่นกัน แล้วจะกล่าวได้เยี่ยงไรกัน ?

หลังจากได้ไตร่ตรองโดยละเอียดแล้ว จึงพบว่ามิมีหนทางที่ตนจะเทียบกับฟู่เจวี๋ยเยได้เลย !

ดังนั้น การคงอยู่ของฟู่เจวี๋ยเยที่อยู่บนภูเขาสูงจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง ได้กลายเป็นบุคคลน่าเอาเป็นแบบอย่างสำหรับเฮ้อซานเตาไปแล้ว พอได้ยินฟู่เจวี๋ยเยกล่าวว่าต้องการกวาดล้างกบฏเซวี๋ย เขาจึงแอบมาเข้าร่วมกองทัพแต่มิใช่เพราะต้องการสังหารศัตรู… คนตั้ง 400,000 คน คงมิมีศัตรูตกมาถึงมือของตนเป็นแน่ !

เขาอยากไปเห็นท่าทางองอาจของฟู่เจวี๋ยเย อยากสัมผัสโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ของฟู่เจวี๋ยเย

ในยามที่ได้ดำดิ่งไปกับสงคราม ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเลือดพลุ่งพล่านตามกองทัพไป และได้กระโดดลงไปในน้ำเช่นกัน

ความคิดแรกที่ดังขึ้นในหัวคือ บัดซบ เย็นมากยิ่งนัก !

หลังจากนั้น ความคิดที่สองก็ผุดขึ้นมาติด ๆ บัดซบ ข้าว่ายน้ำมิเป็น !

เฮ้อซานเตาตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน สองมือปัดป่ายอยู่ในน้ำ ดาบในมือหล่นหาย ดื่มน้ำในแม่น้ำที่เย็นเฉียบไปอึกสองอึก โผล่หัวขึ้นมาและตะโกนเสียงดังว่า “ช่วยด้วย… ! ”

สำลักอยู่ชั่วครู่ ก็จมลงไปอีกครา

ทันใดนั้น เฟ่ยอันก็บินลงมา จังหวะที่เฮ้อซานเตาโผล่หัวขึ้นมาอีกคราก็ได้จับเขาเอาไว้ แล้วโยนออกไป

เฮ้อซานเตาลอยไปในอากาศ พุ่งไปราวกับลูกปืนก็มิปาน โผเข้าหาทัพของศัตรูที่แน่นขนัด

“บัดซบ ! ได้ตกตายเป็นแน่ ! ”