ตอนที่ 1,675 : หลวงจีนเนื้อสุรา
หยินชวีจื่อเพียงแรกลงมือ ก็ซัดทำร้ายฉีกังคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจนบาดเจ็บสาหัส คว้าชัยไปได้ในเวลาอันสั้น
ฉีกังนั้นไม่ใช่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดทั่วๆไปในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพราะมันขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนขัดเกลา! แม้แต่ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมานานก่อนฉีกัง ที่ติดอยู่ในด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดมานานปี ยังไม่กล้าพูดว่าสามารถเอาชนะฉีกังได้…!
หากแต่ฉีกังคนนั้น กลับแพ้พ่ายหยินชวีจื่อที่น่าจะเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้ในเวลาชั่วพริบตา!
จังหวะนี้สีหน้าของจ้าวเวทีอีก 9 คนพลันซีดเป็นศพทันที ในแววตาเผยความทดท้อจนปัญญาออกมาให้เห็น
พวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี และจะติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องได้ ต้องมีพลังฝึกปรืออย่างน้อยๆเซียนขัดเกลาขึ้นไป…และครั้งนี้สมควรมีตัวตนดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 20 คน
นอกจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว ยังมีศิษย์ที่โดดเด่นของขุมพลังชั้น 5 ที่ร้ายกาจอีกถึง 3 ขุมพลัง นอกจากนั้นก็เป็นคนจากขุมพลังรองลงมา รวมถึงผู้ฝึกตนพเนจร…
เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ขุมพลังต่ำชั้นลงมาและผู้ฝึกตนพเนจร ย่อมไม่ได้ใส่ใจเรื่องอันดับในการประลองมากเท่าใด ทั้งหมดเพียงอยากเข้าร่วมและต่อสู้เต็มกำลังด้วยหวังว่าจะได้รับชื่อเสียงขึ้นมาจนเป็นที่จดจำบ้างก็เท่านั้น! แม้มันจะโด่งดังแล้วดับไปในเวลาอันสั้นดั่งพลุไฟ แต่กาลครั้งหนึ่งมันก็อยากได้ชื่อว่าเคยเข้าประลองรายยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง และมีผู้คนจดจำได้…
อีกทั้งในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง หากใครโดดเด่นถึงขั้นเข้าตาผู้คนขึ้นมาล่ะก็ นามก็จะถูกจดจำไปนานแสนนานในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีไม่กี่คนที่สามารถทะลวงขอบเขตพลังไปถึงขั้นทลายบ่วงแห่งความตาย จนสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป เรียกว่าแม้หลายคนจะมีอายุที่ยาวนานขึ้น…แต่สุดท้ายสักวันพวกมันก็ต้องตาย!
ดังนั้นแล้วในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ กว่า 9 ใน 10 ส่วนของผู้ฝึกตน ล้วนหวังอยากจะเหลือนามกระเดื่องทิ้งไว้ในโลกหล้าก่อนที่อายุขัยจะหมดลง…
เพราะมีเพียงเช่นนั้น พวกมันจึงถือได้ว่าใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว…
เช่นนั้นการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่จะจัดขึ้นทุกๆ 50 ปี ก็เป็นหนึ่งในเวทีที่มีโอกาสให้พวกมันได้เฉิดฉายและกลายเป็นที่จดจำ ทำให้มีผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดไม่น้อยมาเข้าร่วม
แน่นอนว่าถึงแม้ผู้ฝึกตนพเนจรบางคนจะยอดเยี่ยม อนิจจาแต่โดยรวมแล้วก็ด้อยกว่าศิษย์ของขุมพลังชั้นนำ
บางทีศักยภาพและพรสวรรค์ของพวกมันอาจไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย หากแต่ทรัพยากรบ่มเพาะที่พวกมันได้รับ แน่นอนว่ายากจะเทียบเคียงกับอีกฝ่ายได้เลย
ด้วยเหตุนี้ก็เป็นธรรมดาที่พวกมันจะด้อยกว่า
“พลังฝีมือของหยินชวีจื่อช่างร้ายกาจนัก!”
สายตามากมายที่จับจ้องมองไปยังหยินชวีจื่อเผยความตกใจไม่น้อย
ในกาลก่อนแม้พวกมันจะรู้ดีว่าในศาลเจ้าชุนหยาง มีอีก 2 คนที่มีพลังฝีมือไม่อ่อนด้อยไปกว่าจิ้งชวีจื่อมากสักเท่าไหร่ อนิจจาแต่เพราะชื่อเสียงของจิ้งชื่อจวี่ที่โด่งดังเกินไปจึงบดบังรัศมีพวกมันเสียมิด
ทว่าวันนี้…1 ใน 2 ยอดฝีมือที่ว่า หยินชวีจื่อ ได้ทำให้พวกมันประจักษ์แล้ว!
“ถึงแม้กาลก่อนข้าจักได้ยินว่าศาลเจ้าชุนหยางมีอัจฉริยะอยู่ถึง 3 แต่ข้ากลับคิดว่าอีก 2 นั่นเพียงมีชื่อเสียงมาเพราะเกาะจิ้งชวีจื่อดังเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกมันจะสมคำร่ำลืออัจฉริยะทั้ง 3 ของศาลเจ้าชุนหยางแล้วจริงๆ”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
วาจานี้ทำให้หลายๆคนยอมรับ
“นอกจากจิ้งชวีจื่อ หยินชวีจื่อ ยังมีอวี้ชวีจื่ออีกคน…ในเมื่อกล่าวกันว่าอวี้ชื่อจื่อทัดเทียมกับหยินชวีจื่อ เช่นนั้นมันก็สมควรร้ายกาจเช่นกัน!”
บางคนกล่าวถึงเรื่องนี้เพิ่มเติมออกมา
และทันใดนั้นสายตาหลายๆคู่ก็หันขวับไปจับจ้องยังกลุ่มคนของศาลเจ้าชุนหยางทันที
และไม่นานแววตาของทั้งหมดก็จับจ้องเขม็งไปยังร่างๆหนึ่งที่แลดูธรรมดา ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นเป้าสายตาของสหายพรตด้วยกัน เช่นนั้นก็คือคนที่ทุกคนกำลังพูดถึงไม่ผิดแน่!
และตอนนี้สายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดอยู่ที่อวี้ชื่อจื่อคนนี้เช่นกัน
อวี้ชวีจื่อเป็นนักพรตเต๋าที่แลดูธรรมดาสามัญ หน้าตาท่าทางของมันแสนธรรมดาและไม่ได้แลดูโดดเด่นอะไรในบรรดานักพรตของศาลเจ้าชุนหยางสักนิด…
เรียกว่าหากไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นใคร น่ากลัวว่าจะถูกเหมารวมว่าเป็นนักพรตธรรมดาๆที่ติดสอยห้อยตามมาชมดูการประลองเอาสนุกสนาน ยากที่ใครจะบอกได้ว่ามันคืออัจฉริยะ 1 ใน 3 ของศาลเจ้าชุนหยาง!
‘อวี้ชวีจื่อนั่นท่าทางไม่ธรรมดา’
แม้ต้วนหลิงเทียนจะมีวิธีตรวจสอบพลังฝึกปรือผู้คนให้แน่ชัด แต่ลำพังแค่มองตาเปล่า…ด้วยท่าทีสำรวมไม่คล้ายถือตัวของอวี้ชวีจื่อนั่น…
สัญชาติญาณของเขาก็บอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีดีกว่าที่ตาเห็น!
“ดี!”
ตอนนี้เองเริ่นจงพลันเปิดปากกล่าวคำ “ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าศาลเจ้าชุนหยางมี 3 อัจฉริยะ สุดท้ายวันนี้ข้าก็ได้ประจักษ์แล้ว นับว่าพวกเจ้าสมคำร่ำลือจริงๆ…ยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ย่อมหมายความว่าผู้ที่จะได้ติดอันดับก็คือสุดยอดนักรบของเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจริงๆ!!”
“ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอดูชมพลังฝีมือของพวกเจ้า!!”
วาจานี้ของเริ่นจงเห็นได้ชัดว่าจงใจกล่าวบอกต่อเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาทั้งหลายที่ยังไม่เริ่มลงมือ
ไม่ทราบว่าเพราะวาจานี้มีอานุภาพชักนำจิตใจ หรือทั้งหมดบังเกิดความฮึกเหิมจากการเห็นหยินชวีจื่อสำแดงพลังกันแน่! ทว่าพลันมีเซียนขัดเกลาคนหนึ่งโดดขึ้นมายังเวทีเม็ดหมากที่มีจ้าวเวทีเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดทันที!!
และทันทีที่มันมายืนเผชิญหน้ากับจ้าวเวที กลิ่นอายพลังทั่วกายพลันปะทุออกพร้อมรบ!!
พอกลิ่นอายพลังดังกล่าวสาดตีปะทะใบหน้าจ้าวเวทีอันมีด่านพลังขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด สีหน้าแววตาของจ้าวเวทีคนนั้นก็ซีดลงเป็นไก่ต้มทันที “ซะ…เซียนขัดเกลา!!”
ความต่างระหว่างเซียนดั้งเดิมกับเซียนขัดเกลา เป็นอะไรที่เรียกว่าประหนึ่งอยู่กันคนละโลก!
เพราะประสิทธิภาพและพลังของปราณแรกกำเนิดทั้งคู่ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทำให้ขอบเขตพลังทั้ง 2 มีกลิ่นอายพลังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!
ด้วยเหตุนี้เพียงแค่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของอีกฝ่าย ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จ้าวเวทีในขอบเขตเซียนดั้งเดิมจะไม่อาจบอกได้ว่าคู่ต่อสู้…ใช่มีขอบเขตพลังเดียวกันกับตัวหรือไม่!
“เจ้านั่นเป็นผู้ใดกัน?”
“ข้ามิเคยเห็นมาก่อน”
“สมควรเป็นผู้ฝึกตนพเนจร…กล่าวกันว่าในการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง เหล่ายอดฝีมือที่เป็นผู้ฝึกตนพเนจรจะแห่กันมาปรากฏตัว…ดูเหมือนว่านี่จักเป็นเรื่องจริง!”
“เซียนขัดเกลา…ผลการประลองชัดเจนแล้ว”
……
สายตาของผู้คนที่มองชมมายังเวทีนี้ ล้วนจับจ้องไปยังเซียนขัดเกลาที่พึ่งปรากฏตัวออกมา พวกมันมั่นใจผลประลองนัก!
และผลที่ออกมาก็เป็นดั่งที่พวกมันคิดคาดเอาไว้
แม้จ้าวเวทีที่เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดจะมีฝีมือร้ายกาจไม่น้อย แต่ก็ยังนับว่าอ่อนแอกว่าฉีกังหลายส่วน! เช่นนั้นแล้วการเจอเข้ากับเซียนขัดเกลา ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนพเนจร มันก็ยังต้องแพ้พ่าย
โชคดีที่อีกฝ่ายยังออมรั้งยั้งมือไว้ให้ หาไม่แล้วมันคงตกตายคาที่!
การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง แม้จะไม่สนว่าเป็นหรือตาย หากแต่ถ้าช่องว่างของพลังต่างชั้นกันเกินไป ผู้ที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าก็มักจะละเว้นผู้อ่อนแอ ด้วยไม่อยากถูกมองว่าเป็นการรังแกกัน
“ขอบคุณเจ้าที่เมตตา”
อดีตจ้าวเวทีที่รอดชีวิตมาได้ มองไปยังจ้าวเวทีคนใหม่ด้วยสายตาสำนึกบุญคุณ เร่งประสานมือกล่าวขอบคุณออกมาทันที
จ้าวเวทีคนใหม่เพียงพยักหน้ารับเบาๆอย่างเฉยเมย แน่นอนว่าอดีตจ้าวเวทีก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร อีกฝ่ายก็แค่ไม่สนใจมันเท่านั้น…
หลังจากนั้นไม่นาน…ดั่งไฟป่าหรือห่าระบาดก็ไม่ปาน อีก 8 เวทีที่เหลือก็ปรากฏจ้าวเวทีคนใหม่ซึ่งเป็นตัวตนในขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาทั้งสิ้น!
เรียกว่าพริบตานี้ทั้ง 10 เวทีเม็ดหมาก ล้วนมีแต่ตัวตนในขอบเขตเซียนขัดเกลาทั้งสิ้น!
แน่นอนว่าทั้งหมดตอนนี้ ยังเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้น!
และในบรรดาจ้าวเวทีทั้ง 10 บางคนก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นจากขุมพลังชั้น 5 อย่างเช่นหยินชวีจื่อ อย่างไรก็ตามมีผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดไม่น้อยเช่นกัน
“ครึ่งหนึ่งใน 10 ของจ้าวเวทียามนี้กลับมีผู้ฝึกตนพเนจรถึง 5 คน…ข้าล่ะมิอยากจะเชื่อเลยจริงๆว่ายังมีผู้ฝึกตนพเนจรมากฝีมือซุกซ่อนอยู่ในเขตอิทธิพลฟ้าลิ่วล่องมากมายเพียงนี้ หากพวกนั้นได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรบ่มเพาะจากขุมพลังใหญ่ๆ พลังฝีมือจะเป็นเช่นไรนะ…”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ท่าทางคล้ายเสียดายไม่น้อย
“ฮึ่ม! เจ้าพูดมันก็ง่าย…เจ้าคิดจริงๆหรือว่าผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดนั่นจักมิชอบอิสระเช่นนี้? มีพลังสนับสนุนมันก็ดี แต่หากเจ้ามิมีผู้สนับสนุนเล่า…เจ้าจักมิได้อันใดเลย! เจ้าคิดว่าขุมพลังทั้งหลายจะสนับสนุนอย่างไร้นัยน์ตาหรือ?!”
นอกจากนั้นยังมีบ้างที่ดูแคลน
วาจาดูแคลนอย่างไร้เรื่องราวนี้ก็ปิดปากผู้ที่กล่าวออกแรกๆจนหมด
ถูกแล้ว
มหาอำนาจอย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ศาลเจ้าชุนหยาง วัดฟ่านเทียน แม้จะร่ำรวยมากทรัพยากร แต่ก็มิใช่ว่าจะหลับหูหลับตาสนับสนุนผู้ใดมั่วๆ พวกมันต้องควาญหาอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่ดีที่สุดเพื่อสนับสนุน!
หาไม่แล้วพวกมันก็เปรียบดั่งทุ่มหินถมทะเล! กลายเป็นสูญทรัพยากรไปเปล่าๆ!!
หาไม่แล้วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะมีผู้ฝึกตนพเนจรเยอะแยะมากมายได้อย่างไร?
แน่นอนว่ายากจะปฏิเสธได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนพเนจรเพราะชมชอบอิสระเสรี อย่างไรก็ตามหลายคนก็อึดอัดกับระบบในขุมพลังสำนักนิกายทั้งหลายที่ต้องแข่งขันช่วงชิง บ้างก็มีกฏเกณฑ์ข้อบังคับมากมาย ด้วยเหตุนี้หลายต่อหลายคนจึงชมชอบเป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัด
‘ไม่คิดเลยว่าในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมีเซียนขัดเกลาที่อายุน้อยกว่า 50 ปีเยอะขนาดนี้…’
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนกอดกระบี่นิลสวรรค์อยู่ขอบเวที อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยอารมณ์
“หืม?”
ทว่าทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมายังเขาอีกครา และพอย้อนรอยกลับไปก็พบว่าเป็นหลวงจีนลายบุปผาอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะพบว่าอีกฝ่ายมองมา แต่เขาก็คร้านจะไปสนใจอะไรมัน
‘ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เจ้านั่นยังมิเผยทีท่าสนใจในการประลองแม้แต่น้อย…นี่มันเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่แข็งแกร่งจริงๆ หรือมันไม่มีสหายและบังเอิญมาดูชมการประลองเอาสนุกสนานกันแน่? ทีท่าไม่แยแสอันใดนั่นก็แสร้งวางมาดยอดฝีมือ?’
มองพินิจต้วนหลิงเทียนสักพัก หลวงจีนลายบุปผาก็ลอบสันนิษฐานในใจ
ตอนแรกเพราะมันเห็นต้วนหลิงเทียนมาคนเดียว และทีท่าเฉยเมยคล้ายไม่แยแสอะไรเลยของอีกฝ่าย ก็ทำให้มันสังหรณ์ใจว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะธรรมดา
หากแต่สักพักมันก็รู้สึกว่ามันคิดมากไปเอง
อย่างไรก็ตามพอมาตอนนี้ เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยังคงสงบอยู่ได้แม้จะแลเห็นการลงมือของขอบเขตเซียนขัดเกลา ทั้งยังมองด้วยสายตาคล้ายไม่ได้นับเป็นอะไร ก็ทำให้มันเริ่มคิดขึ้นมาอีกครั้งว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะไม่ธรรมดาจริงๆ!
แน่นอนว่ายังมีโอกาสที่อีกฝ่ายเสแสร้งแสดง วางมาดเป็นยอดฝีมือลึกลับ
หากแต่สรุปแล้วกล่าวได้ว่ายิ่งมามันยิ่งมองต้วนหลิงเทียนไม่ออก+
ตอนนี้จ้าวเวทีทั้ง 10 ที่ยืนเด่นหราอยู่กลางเวทีเม็ดหมาก ก็เผยทีท่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากรบ ต่างว่ายตามองไปรอบๆ เพื่อดูว่าจะมีผู้ใดโดดขึ้นมาท้าสู้กับตัวเองบ้าง..
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นบังเกิดเสียงสายลมหอบหนึ่งพัดแหวกอากาศฉับไว มีบางคนเหินร่างออกไปจากกลุ่มคนวัดฟ่านเทียน!
เป็นหลวงจีนหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้าปกคลุมไปด้วยหนวดเคราหรอมแหรมเป็นตอ ด้วยคิ้วที่หนาทำให้มันแลดูห้าวหาญหากแต่ไม่ดุร้าย ถึงแม้รูปร่างจะกลางๆ ทว่าแลดูแข็งแกร่งกระชับสมส่วน
“ในบรรดายอดฝีมือของวัดฟ่านเทียน ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีแล้วบรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาก็มีแค่ 2 คนเท่านั้น…หนึ่งในนั้นคือหลวงจีนลายบุปผา…เช่นนั้นอย่าได้บอกข้าเชียวว่านี่คือหลวงจีนเนื้อสุรา ศิษย์พี่ของหลวงจีนลายบุปผา!?”
เมื่อหลวงจีนหนุ่มที่มีหนวดเคราหรอมแหรมปรากฏตัวออกมา คนที่จดจำมันได้ก็รีบโพล่งออกมาทันที
หลวงจีนเนื้อสุรา!
พอได้ยินวาจาของผู้ที่โพล่งคำออกมา สองตาของผู้ชมทั้งหลายก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด!
“ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหลวงจีนเนื้อสุรามาบ้าง…อีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่ของหลวงจีนลายบุปผา! และเคยเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปีของวัดฟ่านเทียน จนกระทั่งหลวงจีนลายบุปผาผงาดขึ้นมา มันจึงตกไปเป็นอันดับ 2!”
อีกคนกล่าวเสริม