ยามนี้ แววตาของใต้เท้าจางดูสับสนเล็กน้อย
มองไม่ออกว่าเลื่อมใสซูจิ่นซีหรือชื่นชมซูจิ่นซีกันแน่ ทว่าเขาไม่กล้าดูแคลนแน่นอน
จากประสบการณ์ในคำถามแรก ครั้งนี้เหล่าผู้ตัดสินได้นำเอาม้วนคำตอบออกมาจากคัมภีร์เหล็กผลึกเทพก่อนแล้ว
ใต้เท้าจางรับม้วนคำตอบมาไว้ในมือและค่อยๆ คลี่ออก เขาเหลือบตามอง ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
เขาไม่ได้ประกาศคำตอบในทันที ทว่าค่อยๆ ปิดม้วนคำตอบลงอีกครั้ง
ขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าใต้เท้าจางแสร้งอมพะนำ ทันใดนั้น เขาก็ปรบมือและกล่าวเสียงดังว่า
“ยินดีกับแม่นางซูและแม่ทัพวังที่สามารถก้าวเข้าสู่การแข่งขันในรอบถัดไป คำถามนี้ คำตอบของท่านทั้งสองเหมือนกับฮองเฮาฉางซุน ยินดีกับท่านทั้งสองด้วย”
คำตอบเป็นดั่งที่ซูจิ่นซีคาดไว้ ใบหน้าของนางไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ นางยังคงยกยิ้มเล็กน้อยอย่างมีเอกลักษณ์
ทว่าในใจกลับกังวลเรื่องสติปัญญาของคนสมัยโบราณ ทั้งยังรู้สึกนับถือและชื่นชมความสนุกสนานของฮองเฮาฉางซุนอย่างลึกซึ้ง
นอกจากนั้น แม่ทัพวังได้อาศัยความหน้าทนตามซูจิ่นซีเข้าสู่การแข่งขันรอบที่สาม
เขายังนับว่าซื่อสัตย์ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อคนซื่อสัตย์พบเจอกับเรื่องเช่นนี้จะรู้สึกละอายใจไม่มากก็น้อย
แม่ทัพวังไม่กล้าเงยหน้าสบสายตาของทุกคน เขาทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อย พลางลูบท้ายทอยอย่างต่อเนื่องเพื่อปกปิดความรู้สึกผิด ทั้งแก้มยังแดงก่ำด้วยความเขินอาย
ซูจิ่นซีก้าวไปข้างหน้าและตบหัวไหล่เพื่อให้กำลังใจเขา
“ดีมาก พยายามเข้า! ”
แม่ทัพวังเงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “แม่… แม่นางซู ท่านไม่… ท่านไม่เปิดโปงข้าหรือ? ”
“เปิดโปงท่านเพื่ออันใด? ตอนที่ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ท่านไม่ได้เหยียบย่ำข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเปิดโปงท่าน”
แววตาของแม่ทัพวังเผยให้เห็นความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณแม่นางซู ขอบคุณแม่นางซู! ”
ซูจิ่นซียังคงแย้มยิ้มแผ่วเบา “ด่านที่สาม ท่านต้องพยายามด้วยตนเองแล้ว! ด่านนี้ข้าไม่ยอมอ่อนข้อให้ท่านแน่! ”
แม่ทัพวังรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมา
“นั่นแน่นอน แน่นอน! แม้ผู้แซ่วังจะมีความสามารถมากกว่านี้ ทว่าไม่อาจตอบคำถามในคัมภีร์เหล็กผลึกเทพของฮองเฮาฉางซุนได้ ยิ่งไม่อาจเอาชนะแม่นางซูได้! ”
ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มเล็กน้อย และตบไปที่ไหล่ของแม่ทัพวังอีกครั้ง
“กล่าวเกินจริงไปแล้ว!ทว่า… ข้าชอบ”
“แหะ แหะ… ”
รอยยิ้มของแม่ทัพวังดูจริงใจและสดใสอย่างมาก ซูจิ่นซีมองแล้วราวกับมีความสว่างเกิดขึ้นภายในจิตใจ
แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่มีด้านมืดและเปี่ยมไปด้วยกลอุบาย
การแข่งขันดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ใต้เท้าจางหยิบคำถามที่สามจากคัมภีร์เหล็กผลึกเทพด้วยความเคารพ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำถามที่สามถูกเปิดออกต่อหน้าทุกคน ท่ามกลางความสนใจและความคาดหวัง ภายใต้สายตาที่จับจ้องนับไม่ถ้วน พวกเขารู้สึกคาดไม่ถึงและประหลาดใจยิ่งกว่าสองคำถามแรกเสียอีก
ใต้เท้าจางถือม้วนคำถามไว้ในมือ เขาเป็นคนแรกที่พบความผิดปกติ
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที เขาพลิกม้วนคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าไม่พบตัวอักษรใดๆ
ว่างเปล่า?
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ผู้คนต่างถอนหายใจ ชั่วครู่ เสียงวิพากษ์วิจารณ์อันวุ่นวายก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ใต้เท้าจางนำม้วนคำถามไปยังเบื้องหน้ามู่หรงเฟิงด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความสับสน
“มหาอุปราช พระองค์ทรงทอดพระเนตร จะ… จะทำอย่างไร? ”
มู่หรงเฟิงรับม้วนคำถามมาไว้ในมือและพลิกดูสองครั้ง ทว่าไม่พบตัวอักษรใดๆ เขานิ่งเงียบ
“เหตุใดจึงว่างเปล่า? ”
“หรือว่าฮองเฮาฉางซุนจะทำอันใดผิดพลาด? ”
“อาจเป็นไปได้กระมัง? ฮองเฮาฉางซุนหาใช่ผู้วิเศษ พระนางทำผิดพลาดไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ทุกคนอย่าตกใจ ไม่ต้องกังวล! ”
“เจ้าพูดอันใดออกมา? ฮองเฮาฉางซุนเป็นผู้ใด? พระนางจะทำผิดพลาดได้อย่างไร? ข้าดูแล้ว มันต้องมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝง! ”
“เป็นเพียงกระดาษเปล่า จะมีความหมายลึกซึ้งได้อย่างไร? ”
เมื่อพวกเขาโต้เถียงกันเสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับลงมือต่อสู้กันจริงๆ สีหน้าของใต้เท้าจางยิ่งดูไม่สู้ดี
“มหาอุปราช… ควรทำอย่างไรดี? เช่นนั้น การแข่งขันด่านที่สองก็เสร็จสิ้นเพียงเท่านี้! อย่างไรก็เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงสองคน พระองค์ก็เลือกหนึ่งในสองคนนี้ และพวกเราก็จัดการแข่งขันในรอบที่สามเอง ดีหรือไม่? ”
มู่หรงเฟิงเลิกคิ้ว ก่อนจะโยนม้วนคำถามให้ใต้เท้าจาง
“ตอบคำถามตามพระประสงค์ของฮองเฮาฉางซุน”
ใต้เท้าจางรีบคว้าม้วนคำถามไว้ ไม่ปล่อยให้ตกพื้น บนหน้าผากพลันมีเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมา
พระประสงค์ของฮองเฮาฉางซุน?
ฮองเฮาฉางซุนมีพระประสงค์ตั้งแต่เมื่อใด?
พระนางสิ้นพระชนม์มาพันปีแล้ว จะมีพระประสงค์อันใดกัน?
ตลอดพระชนม์ชีพของพระนางมีพระประสงค์มากมาย เขาจะรู้ได้อย่างไร?
ทว่าใต้เท้าจางต้องยืนหยัดในสถานการณ์วุ่นวายนี้ให้ได้ อย่างน้อยเขาก็มีตัวช่วยอยู่สองคน
ใต้เท้าจางไม่เข้าใจความหมายในม้วนคำถามของฮองเฮาฉางซุน ทั้งยังไม่เข้าใจความหมายของมู่หรงเฟิง ทว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญอันใด สิ่งสำคัญคือเขามีสมองและฝีปากที่ชาญฉลาด สามารถถ่ายทอดความต้องการของมู่หรงเฟิงให้ผู้เข้าแข่งขันที่เหลืออยู่สองคน นั่นคือซูจิ่นซีและแม่ทัพวัง
ใต้เท้าจางนำม้วนคำถามมายื่นให้เบื้องหน้าซูจิ่นซีและแม่ทัพวัง
“แม่นางซู แม่ทัพวัง นี่เป็นหัวข้อคำถามข้อที่สาม มหาอุปราชทูลว่า ให้ท่านทั้งสองตอบคำถามตามพระประสงค์ของฮองเฮาฉางซุน ท่านทั้งสองเริ่มต้นเถิด! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น พลางมองกระดาษที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ
ทันใดนั้น ผู้ที่อยู่ใกล้ซูจิ่นซีกับแม่ทัพวังมากที่สุดก็เบียดเสียดเข้ามาราวกับสายน้ำ และมองกระดาษที่ไร้ซึ่งตัวอักษร พวกเขาต่างผุดเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบออกมาแทนซูจิ่นซีและแม่ทัพวัง
“ไม่มีตัวอักษรใดๆ ไม่มีตัวอักษรจริงๆ ! จะตอบคำถามอย่างไร? ”
“จงใจสร้างความลำบากใจใช่หรือไม่? ”
“หากขาดเงื่อนไขที่จำเป็น ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้สำเร็จ ต่อให้เป็นผู้วิเศษก็ไม่สามารถตอบคำถามของคัมภีร์สวรรค์ไร้อักษร! ”
ในโลกนี้ ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน เมื่อมีคนเห็นใจ ก็มีคนที่ชื่นชมยินดีและเหยียบย่ำเมื่อเจ้าโชคร้าย
ตัวอย่างเช่น แม่ทัพเจิ้งที่หยิ่งทะนงมากในรอบที่สอง แต่กลับตอบคำถามผิด และผู้เข้าร่วมการแข่งขันหลายท่านที่ก่อนหน้านี้ถูกคัดออกในรอบที่หนึ่งและรอบที่สอง
ทุกคนต่างมองซูจิ่นซีและแม่ทัพวังอย่างเยาะเย้ย
แม้พวกเขาทั้งสองยังไม่ได้พูดสิ่งใด ทว่าดูเหมือนทุกคนต้องการเห็นซูจิ่นซีและแม่ทัพวังพ่ายแพ้จากการแข่งขันด้วยท่าทางคับข้องใจ
หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพวังก็มีเม็ดเหงื่อละเอียดผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
เขาพูดกับซูจิ่นซีอย่างนอบน้อม “แม่นางซู รอบนี้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านจริงๆ ข้าจะไม่ตอบคำถามนี้ ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว! พยายามเข้า! ”
แม่ทัพวังพูดพลางชูกำปั้นขึ้น แสดงท่าทางให้กำลังใจซูจิ่นซีอย่างจริงใจ
ซูจิ่นซีตบไหล่เขา พลางแย้มยิ้มเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของชีวิต มันเป็นเพียงการแข่งขัน ท่านไม่ต้องกังวลมากเกินไป! ”
แม่ทัพวังพยักหน้า ก่อนจะส่งสัญญาณยอมรับความพ่ายแพ้และถอยหลังออกไป
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเริ่มตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“แม่ทัพวังยอมแพ้ด้วยความสมัครใจแล้ว แม่นางซู เช่นนั้นท่านก็ยอมแพ้เถิด! ไม่ว่าท่านจะตอบได้หรือไม่ ด่านนี้นับว่าท่านชนะแล้ว การแข่งขันรอบนี้เหลือท่านเพียงผู้เดียว”
“ใช่ ยอมแพ้เสียเถิด! ทุกคนจะไม่หัวเราะเยาะท่าน อย่างไรเสียท่านก็เป็นสตรี ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร! ”
โดยเฉพาะแม่ทัพเจิ้ง น้ำเสียงของเขาฟังดูเย้ยหยันอย่างมาก
“ดูใบหน้าน้อยๆ ของเจ้าสิ คงพยายามจนสุดกำลังแล้วกระมัง? เป็นเพียงสตรี เหตุใดต้องต่อสู้อย่างดุเดือดเช่นนี้? พยายามแสดงท่าทีห้าวหาญต่อหน้าบุรุษอย่างพวกข้า แท้จริงแล้ว เพียงเจ้ายอมโอนอ่อน เอาอกเอาใจบ้าง สะอื้นไห้คร่ำครวญบ้าง พี่น้องทั้งหลายจะไม่ทำให้เจ้าต้องอับอาย บางทีอาจสนใจในตัวเจ้าและพากลับจวน! ชีวิตที่เหลือของเจ้าจะได้เพลิดเพลินเสพสุขกับความมั่งคั่งตลอดไป! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”
คำพูดของแม่ทัพเจิ้ง ทำให้ทุกคนหัวเราะได้อีกครั้ง