ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังสนั่น ซูจิ่นซีค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองแม่ทัพเจิ้งด้วยสายตาเย็นชา
“แม่ทัพเจิ้ง ท่านช่างเย่อหยิ่งและทะนงตนเกินไปแล้ว ท่านไม่เคารพ ทั้งยังไม่เห็นแคว้นหนานหลีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”
ดูเหมือนท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้งจะคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ใบหน้าหยอกล้อพลันสลายหายไป
อย่างไรก็ตาม หากมาสำนึกเสียใจในตอนนี้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว
“ข้าแซ่ซูนั้นโง่เขลา ขอบังอาจถามทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ วันนี้ข้าแซ่ซูติดตามฉีอ๋องมาที่นี่ และได้ชื่อว่าเป็นคนของจวนฉีอ๋อง ท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้ง ท่านไม่เห็นข้าแซ่ซูอยู่ในสายตา เท่ากับเป็นการดูหมิ่นพระราชอำนาจของฉีอ๋องใช่หรือไม่ ท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้งสร้างความอับอายให้ข้าแซ่ซู เท่ากับสร้างความอับอายให้ฉีอ๋องใช่หรือไม่? ”
ผู้คนที่นั่งอยู่ต่างไม่พูดสิ่งใด บางคนก็รู้สึกว่าคำพูดของซูจิ่นซีนั้นมีเหตุผล ไร้คำพูดที่จะมาหักล้างได้ บางคนที่เป็นฝ่ายเดียวกับท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้งย่อมรู้ดีว่า หากโต้แย้งคำพูดของซูจิ่นซี ท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้งจะมีความผิดสถานใด จึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไว้
“เป็นเช่นไร? เป็นใบ้กันไปหมดแล้วหรือ? เมื่อครู่พวกเจ้ายังช่วยกันโต้เถียงกับข้า ทั้งยังพูดจากันอย่างเผ็ดร้อนมิใช่หรือ? ตอนนี้เหตุใดจึงกลายเป็นเต่าหดหัวไปแล้วเล่า? ”
คนผู้หนึ่งพูดแทนท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้ง ทว่าติดขัดที่สถานะของซูจิ่นซีกับมู่หรงฉี จึงไม่กล้าเอ่ยปาก
บางคนคิดจะพูดแทนซูจิ่นซี ทว่าติดที่ท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้งเป็นลูกน้องของท่านแม่ทัพใหญ่จงผู้มีอำนาจ พวกเขาจึงไม่กล้าพูดสิ่งใด
ซูจิ่นซีรู้ว่าเมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤติ ผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าย่อมไม่กล้าพูดสิ่งใด นางจึงหันไปถามมู่หรงเฟิงที่อยู่บนที่ประทับ
“มหาอุปราช ผู้อื่นไม่กล้าพูด ทว่าพระองค์คงไม่ลำเอียงใช่หรือไม่? ”
มู่หรงเฟิงเลิกคิ้ว “โอ้? เมื่อครู่เห็นเจ้าแสดงผลงานโดดเด่น ข้ายังนึกว่าเจ้าภาคภูมิใจจนลืมข้าและคนอื่นๆ ไปเสียแล้ว ทำไม? เหตุใดครานี้จึงถึงนึกข้าขึ้นมาได้? ”
คารมของซูจิ่นซีไม่เป็นรองผู้ใดอยู่แล้ว “ท่านอ๋องมีตำแหน่งสูงส่ง พระองค์นั่งมองดูเหตุการณ์ ทว่ากลับลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า ผู้น้อยแซ่ซูไม่บังอาจหาญกล้ารบกวนท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์อย่างพระองค์! เรื่องราวเมื่อครู่ ท่านอ๋องได้ประจักษ์แล้ว ผู้น้อยแซ่ซูได้รับความอับอายทุกรูปแบบ หากท่านอ๋องไม่ตัดสินแทนผู้น้อยแซ่ซู ผู้น้อยแซ่ซูต้องตายอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน! ”
คำพูดของซูจิ่นซีกล่าวได้สะเทือนอารมณ์อย่างมาก ทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนคนหนึ่ง
หากเป็นเมื่อก่อน มู่หรงเฟิงยังอาจพูดจาหยอกล้อกับซูจิ่นซีต่อไปอีกสักสองสามประโยค ทว่าเวลานี้ไม่รู้เป็นอย่างไร เมื่อเห็นซูจิ่นซีมีท่าทางทุกข์ใจเช่นนั้น แววตาของเขากลับปรากฏความซับซ้อนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ทันใดนั้น มู่หรงเฟิงก็โบกมือและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “องครักษ์ ลากตัวคนแซ่เจิ้งออกไปตัดหัว! ”
ตัดหัว?
ทุกคนต่างตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบสนองต่อรับสั่งของมหาอุปราชที่ให้ลากตัวแม่ทัพเจิ้งออกไปตัดหัว พวกเขาล้วนเป็นกังวล และไม่กล้าพูดสิ่งใด
แม่ทัพเจิ้งตกใจมากจนทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น เขาเกิดมาเป็นชายชาติทหาร เป็นทหารม้าติดตามจงเนี่ยมาครึ่งชีวิต มียศถาบรรดาศักดิ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรืองราบรื่น จึงไม่เห็นซูจิ่นซีอยู่ในสายตา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะมีวันนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่ทัพเจิ้งจึงคลานไปยังข้างกายของจงเนี่ย เขาดึงเสื้อคลุมของจงเนี่ย พลางร้องไห้อ้อนวอน “ท่านแม่ทัพใหญ่จง ท่าน… ท่านช่วยข้าด้วยเถิด ช่วยข้าด้วย! ข้าตายไม่ได้ ท่านช่วยข้าด้วย ช่วยข้าขอร้องมหาอุปราชด้วยเถิด! ”
โดยปกติ แม่ทัพใหญ่เจิ้งผู้นี้เป็นคนของจงเนี่ย ตามหลักของศาลในแคว้นหนานหลีแล้ว แม้แม่ทัพใหญ่เจิ้งจะทำความผิดมากเพียงใด มู่หรงเฟิงก็จะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชาของจงเนี่ย และจัดการคนของจงเนี่ยอย่างเปิดเผยเช่นนี้
ไม่ว่าอย่างไร ก็ควรเห็นแก่หน้าของจงเนี่ยบ้าง
มู่หรงเฟิงออกคำสั่งให้ตัดหัวคนของจงเนี่ยต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็นับเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ
จงเนี่ยกระชากเสียงเย็นชา ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก “มหาอุปราช กระหม่อมไม่ทราบว่าแม่ทัพเจิ้งทำสิ่งใดผิด? พระองค์จึงได้มีรับสั่งให้ตัดศีรษะเขาเช่นนี้? ”
ขณะนั้น สายตาของทุกคนต่างมองตามจงเนี่ยไปที่มู่หรงเฟิง และรอคอยให้มู่หรงเฟิงตอบคำถาม
ทว่าใบหน้าของมู่หรงเฟิงยังคงมีท่าทีสงบผ่อนคลาย ราวกับไม่เห็นจงเนี่ยอยู่ในสายตา
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ร่างกายจงเนี่ยที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังเป็นการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ทำให้ยืนได้ยากลำบาก ทว่ามู่หรงเฟิงกลับรินสุราด้วยความสบายใจ ทั้งยังยกสุราขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงลืมตาขึ้นเล็กน้อย
“ข้าจะจัดการผู้ใด ต้องรายงานเจ้าตั้งแต่เมื่อใด? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะฆ่าคน ยังต้องมีเหตุผลด้วยหรือ? ”
ร่างกายจงเนี่ยสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง เขาตอบสนองกลับไปว่า “มหาอุปราชทรงจัดการผู้ใด แน่นอนว่าไม่ต้องมีเหตุผล ทว่าแคว้นหนานหลีของกระหม่อมยังมีกฎหมาย มหาอุปราช พระองค์ไม่อาจดูหมิ่นกฎของราชสำนักเราได้กระมัง? ”
‘เพล้ง! ’
จอกสุราในมือของมู่หรงเฟิงถูกบีบจนแตกละเอียด
เสียงนั้นดังชัดเจนดั่งเสียงสัญญาณเตือนภัยในยามค่ำคืน เป็นการประกาศด้วยวิธีพิเศษว่า มหาอุปราชผู้มีอุปนิสัยซับซ้อนยากคาดเดา และน่ากลัวที่สุดของแคว้นหนานหลี ในที่สุดก็ทรงพิโรธแล้ว
เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ในแคว้นหนานหลีต่างคุกเข่าลงกับพื้นทันที พวกเขาก้มหน้าลงต่ำ ปิดปากเงียบสนิท ไม่กล้าแม้แต่จะสูดลมหายใจ
แววตาของมู่หรงเฟิงเหมือนดั่งอินทรี จอกสุราในมือที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นผงฝุ่น หลังจากคลายมือออก ผงฝุ่นนั้นก็ลอยตามสายลมราวกับเกล็ดหิมะ
เสียงของเขาแผ่วเบายิ่งนัก ทว่าท่ามกลางความเงียบสงัดที่น่าสะพรึงกลัว เสียงนั้นกลับมีอำนาจและความกดดันอย่างน่าประหลาด
“จงเนี่ย กฎหมายคืออันใด? หากเจ้าไม่เข้าใจ วันนี้ข้าจะบอกเจ้าเอง ข้าคือกฎหมายของแคว้นหนานหลี! ”
มู่หรงเฟิงพูดพลางหรี่ดวงตาที่เย็นชาราวกับเหยี่ยว
เดิมทีจงเนี่ยยังมีความมั่นใจอยู่บ้าง ทว่าหลังจากเห็นแววตาของมู่หรงเฟิงแล้ว ทันใดนั้น เขาก็พูดไม่ออก ทั้งยังไม่กล้าทำสิ่งใด ทำได้เพียงเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเองอย่างเชื่องช้า
เนื่องจากยืนเป็นเวลานาน ทำให้จงเนี่ยปวดบริเวณบาดแผล เขาเจ็บจนเหงื่อไหลท่วมตัว
สามอำนาจหลักแห่งแคว้นหนานหลี จริงอยู่ที่มีมังกรสามตัวยืนคานอำนาจกัน ทว่ามีเพียงมู่หรงเฟิงและมู่หรงฉีเท่านั้นที่เป็นทายาทกษัตริย์สายตรง ส่วนท่านแม่ทัพใหญ่จงผู้นี้ พูดให้เกียรติสักหน่อยก็เป็นเพียงขุนนางนอกเมืองผู้หนึ่งที่มีอำนาจทหารอยู่ในมือ เขาอาศัยกองทัพสี่แสนนายที่อยู่ในมือ และความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ของน้องสาวและหลานสาวที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องทั้งสอง หากพูดให้น่าเกลียดสักหน่อย สกุลจงเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของสกุลมู่หรงเท่านั้น เขาเป็นเพียงสุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม กระทั่งวันนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่จงที่ขัดขวางและต่อกรกับราชสำนัก ก็เพิ่งรับรู้ถึงหลักเหตุผลข้อนี้
เขาเพิ่งเข้าใจว่ากองกำลังทหารที่อยู่ในมือของเขานั้น สามารถคุกคามลุงและหลานอย่าง มู่หรงเฟิงและมู่หรงฉีได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถคุกคามได้ตลอดไป
แม่ทัพเจิ้งหวาดกลัวจนทนไม่ไหว
เมื่อเห็นว่าจงเนี่ยเลิกขอร้องและข่มขู่มู่หรงเฟิงแล้ว เขาก็แทบจะร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่ง
“ท่านแม่ทัพใหญ่จง ท่านแม่ทัพ ท่านไม่อาจละเลยลูกน้องได้! ”
“ข้าจงรักภักดีต่อท่านอย่างจริงใจ!
“หากไม่ใช่เพื่อท่าน ข้าคงไม่ดูหมิ่นอำนาจของฉีอ๋อง และยั่วยุคนของฉีอ๋องเช่นนี้”
“ท่านแม่ทัพใหญ่จง ข้าทำทุกอย่างเพื่อท่าน! ”
ก่อนตายเขายังดึงอีกฝ่ายเข้ามาร่วมด้วย จากความคิดของมู่หรงเฟิงในตอนนี้ หากท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้งยังคงพูดต่อไป เขาคงไม่อาจรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่ดึงจงเนี่ยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกคน
จงเนี่ยกัดฟันกรอด พยายามออกแรงยกฝ่ามือตบแม่ทัพเจิ้งจนหมดสติ
ขณะที่องครักษ์ของมู่หรงเฟิงลากแม่ทัพเจิ้งไกลออกไปเรื่อยๆ มือทั้งคู่ของจงเนี่ยจับขอบเก้าอี้แน่น เขาก้มหน้าหลับตาลงด้วยความอ่อนแรง
ผ่านไปครู่หนึ่ง องครักษ์ก็กลับเข้ามาพร้อมศีรษะเปื้อนเลือดตามคำสั่ง จงเนี่ยอดลืมตามองพี่น้องของตนเองไม่ได้
ใบหน้าของมู่หรงเฟิงยังคงสงบนิ่ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะถามซูจิ่นซีว่า “ท่านหมอซู นี่คือคำตอบที่ข้ามอบให้เจ้า ทั้งยังเป็นของขวัญที่มอบให้เจ้าอีกด้วย เจ้าพอใจหรือไม่? ”