ตอนที่ 77-1 ข้ามาหาเรื่อง ไม่ยินยอมหรือ

จำนนรักชายาตัวร้าย

“จักรพรรดิโอสถอะไรกัน! ในเมื่อไม่เข้าร่วมการประลอง ก็อย่ามาสิ้นเปลืองเวลาของเราอีกเลย!”

 

 

“เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งเป็นจักรพรรดิโอสถบอกใครๆ จะเชื่อ! ใครจะรู้ว่าเจ้ามิได้รับผลประโยชน์ของผู้อื่นมา ถึงได้เปิดประตูให้เขาตามสะดวกกันหา!”

 

 

ขณะที่กล่าว คนผู้นั้นยังเจตนาเหลือบมองมายังอวี้เฟยเยียนด้วยสายตาดูแคลน

 

 

คนของสำนักหมื่นพิษนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แสดงละครให้ใครดูกันหรือ

 

 

อวี้เฟยเยียนยังรักษาสีหน้าและรอยยิ้มที่อ่อนโยนเอาไว้ได้ดี ไม่โกรธเคืองไม่หงุดหงิด แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา

 

 

ตรงกันข้าม เป็นผู้เฒ่าใหญ่ที่ได้ยินคำกล่าวนั้นแล้ว ก็รีบทวงความยุติธรรมให้กับอวี้เฟยเยียนทันที

 

 

“เลี่ยเชวีย เจ้าอย่าพูดจาให้ร้ายผู้อื่น! หอราชาโอสถเรายึดหลักเที่ยงธรรม จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!”

 

 

ได้ฟังคำโต้ตอบของผู้เฒ่าใหญ่แล้ว เลี่ยเชวียก็ยังคงกัดไม่ปล่อย

 

 

“พวกเจ้าทำเป็นพูดจาน่าฟัง ใครจะรู้ว่าข้างในเป็นอย่างไร แม้แต่หมอเทวดาฮั่ว เพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว ยังลงมือสังหารเจ้าสำนักหลินได้ หอราชาโอสถของพวกเจ้ายังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกเล่า!”

 

 

หมอเทวดาฮั่วลอบสังหารเจ้าสำนักหลิน เดิมทีแล้วเป็นเรื่องภายในของหอราชาโอสถ มาตอนนี้กลับถูกเลี่ยเชวียยกมาพูดต่อหน้าธารกำนัล ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ได้แต่โกรธเกรี้ยวหน้าดำหน้าแดง พูดไม่ออกราวกับกลายเป็นใบ้ไป เฉกเช่นว่าถูกเปิดโปงเรื่องจริงเข้าให้แล้ว

 

 

ซึ่งอากัปกิริยาของผู้เฒ่าใหญ่ คล้ายกับเป็นการพิสูจน์ข้อกล่าวหาของเลี่ยเชวียว่าเป็นจริง ทำให้แขกผู้มาร่วมงานเริ่มถกเถียงกันขึ้นมา

 

 

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กัน หมอเทวดาฮั่วที่ใครๆ ต่างก็พากันสรรเสริญว่าเป็นคนดี ไม่เหมือนกับคนที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้!”

 

 

“ก็ใช่นะสิ! หมอเทวดาฮั่วเป็นถึงจักรพรรดิโอสถแล้ว แล้วจะมาสนใจตำแหน่งเจ้าสำนักอีกทำไมกัน!”

 

 

“เรื่องนี้อาจจะมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นก็เป็นได้กระมัง”

 

 

ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็มิเชื่อคำพูดของเลี่ยเชวีย เพราะอย่างไรเสีย หลายปีมานี้หมอเทวดาฮั่วก็ใช้วิชาแพทย์รักษาผู้คนมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งที่ทำก็ล้วนแต่เป็นการทำความดีช่วยชีวิตผู้คน ชาวบ้านทั่วไปต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญว่าสูงส่ง ไหนเลยที่คำพูดเพียงสองสามประโยคของเลี่ยเชวียจะมาทำลายลงได้

 

 

ผู้เฒ่าใหญ่และเลี่ยเชวียนึกมิถึงเลยว่า พวกเขาถึงกับสร้างข่าวลือที่น่าเชื่อถือเช่นนี้ขึ้นมา ทว่าแขกเหรื่อกลับมิเชื่อ ผู้เฒ่าใหญ่และเลี่ยเชวียสบสายตากัน แล้วก็เป็นเลี่ยเชวีย ที่เอ่ยขึ้น

 

 

“สิบปากว่ามิเท่าตาเห็น”

 

 

“หากว่าสิ่งที่ข้ากล่าวเมื่อครู่เป็นเท็จละก็ เหตุใดเจ้าสำนักหลินมิออกมาควบคุมการจัดงานในครั้งนี้กันเล่า หมอเทวาฮั่วไปจากหอราชาโอสถสิบกว่าปี หากว่าเขากลับมาเข้าร่วมงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเลยเล่า”

 

 

“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านเชิญเจ้าสำนักหลินและหมอเทวดาฮั่วออกมา คำกล่าวหาของข้าก็จะเป็นเท็จไปโดยปริยาย! แต่หากว่าท่านเชิญบุคคลทั้งสองออกมามิได้ นั่นก็แสดงว่าคำกล่าวของข้าเป็นเรื่องจริง!”

 

 

“หอราชาโอสถของพวกท่านเป็นที่ที่ปิดบังอำพรางเรื่องชั่วร้ายเอาไว้ ยังมีหน้าเรียกตนเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะ ถุย!”

 

 

เลี่ยเชวียยิ่งพูดสถานการณ์ยิ่งกดดัน แม้กระทั่งศิษย์สำนักหมื่นพิษที่อยู่เบื้องหลังเขา ก็โบกธงสำนักหมื่นพิษปลิวไสวไปมาด้วยความฮึกเหิม โบกธงกู่ร้อง สนับสนุนเลี่ยเชวียกันยกใหญ่

 

 

“ผู้เฒ่าใหญ่ หยิบหลักฐานขึ้นมาแสดงสิ แสดงว่าพวกเราคือสำนักฝ่ายธรรมะ”

 

 

“หลักฐานเล่า”

 

 

เพียงชั่วครู่ พลังอำนาจสำนักหมื่นพิษก็ดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่าหอราชาโอสถมากนัก อีกทั้งเมื่อผู้เฒ่าคนอื่นๆ ต้องการออกหน้า ก็ถูกผู้เฒ่าใหญ่ยับยั้งไว้ด้วยประโยคเพียงประโยคเดียว ‘คราวเคราะห์ของสำนักเรา’ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่เลี่ยเชวียกล่าวมา

 

 

คราวนี้ แขกเหรื่อผู้ร่วมงานตกใจไม่น้อย พวกเขาแทบมิกล้าจะยอมรับความจริงนี้

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร หมอเทวดาฮั่วมิใช่คนเช่นนั้น!”

 

 

“ใช่ ข้าเชื่อหมอเทวดาฮั่ว! ท่านเคยช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้ ท่านเป็นคนดี”

 

 

“เรื่องนี้ต้องเป็นการใส่ร้าย!”

 

 

“ใส่ร้ายหรือไม่ ผู้เฒ่าใหญ่ของหอราชาโอสถก็ยอมรับแล้ว”

 

 

เลี่ยเชวียยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ที่สุดท้ายก็กล่าวพาดพิงไปที่อวี้เฟยเยียนอีกว่า

 

 

“ในเมื่อหอราชาโอสถมีผู้ที่ชั่วร้ายฆ่าได้แม้กระทั่งศิษย์สำนักเดียวกันเช่นนี้ จึงยากที่จะรับรองว่ารุ่นต่อไปจะมิมีใจที่ละโมบในผลประโยชน์เช่นเขาได้ เพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิดแล้ว ยินยอมรับใครเป็นจักรพรรดิโอสถก็ได้เช่นนี้ มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้! มิฉะนั้น เหตุใดจักรพรรดิโอสถหนึ่งเดียวในแผ่นดินของเราจึงมิยอมเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถกันเล่า เป็นเพราะว่าคนบางคน แท้ที่จริงแล้วมิมีความสามารถจริงน่ะสิ!”

 

 

“สามหาว! “

 

 

มู่เหนี่ยนซีก้าวออกมา ชี้นิ้วไปที่เลี่ยเชวียพร้อมกับตะโกนด่า

 

 

“น้องอวี้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถแท้จริง ไม่เหมือนกับคนบางจำพวกที่เป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง รู้จักแต่การสาดโคลนใส่ผู้อื่น ต่อให้เจ้าอิจฉาริษยาแค้นเคืองผู้อื่นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแม้กระทั่งให้พวกเจ้าผูกเชือกรองเท้าให้กับน้องอวี้ก็ยังมิคู่ควร!”

 

 

เมื่อเห็นมู่เหนี่ยนซี ใบหน้าเลี่ยเชวียก็มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มก็ยิ่งชั่วร้ายมากขึ้น

 

 

“ข้ายังคิดว่าใคร ที่แท้ก็คือแม่พริกน้อยนั่นเอง!”

 

 

“เมื่อก่อนข้าเคยเห็นเจ้าเพียงครู่เดียว จากระยะไกลเท่านั้น วันนี้ได้เห็นชัดๆ ข้าพึ่งจะเข้าใจ เหตุใดถึงได้มีคนอาลัยอาวรณ์เจ้านักหนา! ผิวพรรณเนียนละเอียด หากเป็นข้า ก็คงรักหัวปักหัวปำทีเดียว เนื้อตัวเต็มไม้เต็มมือเช่นนี้ เป็นผู้ชายคนไหนก็ต้องชอบ!”

 

 

คำพูดเลี่ยเชวีย ทำให้มู่เหนี่ยนซีหน้าซีดเผือด

 

 

ในวาจาเขาบ่งบอกชัดเจนว่า เขารู้ว่าใครที่คิดทำมิดีมิร้ายมู่เหนี่ยนซีเมื่อคืนวาน

 

 

“มันเป็นใคร”

 

 

มู่เหนี่ยนซีกัดริมฝีปากแน่น แววตาฉายแววโหดเ**้ยม

 

 

“เป็นใครงั้นหรือ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”

 

 

“ทว่า ข้าให้เขายืมผงหอมเล็กน้อย คิดว่าเมื่อคืนเจ้าคงจะใช้ชีวิตด้วยความสนุกตื่นเต้นมากล่ะสิ  ฮ่าๆ หากรู้ว่าเจ้าคือสิ่งพิเศษแต่กำเนิดละก็ ข้าคงออกโรงเองแล้ว!  เสียดายจริงๆ…”

 

 

“เจ้ามันสมควรตาย!”

 

 

มู่เหนี่ยนซีทนไม่ไหวชักกระบี่ออกมา หันไปทางเลี่ยเชวีย

 

 

“โอ้โห อารมณ์ร้ายไม่เบาเลยนะ แม้จะเป็นรองเท้าที่ผุพังแล้ว แต่ข้าก็มิถือสา! ข้าชอบนักแม่นางที่ยั่วยวนเผ็ดร้อนเช่นนี้!”

 

 

เลี่ยเชวียยิ้มชั่วร้ายออกมา นิ้วมือทั้งสิบนิ้วของเขาคลายออก เล็บทั้งสิบที่ยาวและเป็นสีดำสนิท กลายร่างเป็นอาวุธ โจมตีไปที่มู่เหนี่ยนซี

 

 

รังแกท่านป้าสามงั้นหรือ

 

 

รนหาที่ตาย!

 

 

อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าคนที่ชั่วร้ายต่ำช้าเช่นเลี่ยเชวียมักจะใช้พิษเป็นอาวุธ นางจึงรีบเหาะทะยานออกไป ดึงให้มู่เหนี่ยนซีไปอยู่ที่ด้านหลังตนเพื่อบังนางเอาไว้ แล้วยกมือขึ้นโปรยผงสีฟ้าชมพูออกไป แก้พิษของเลี่ยเชวียเชวีย

 

 

“แค่กๆ!”

 

 

เลี่ยเชวียเซถลาไปด้านหลังสองสามก้าว ดวงตาราวนกเหยี่ยวจ้องมองมาที่อวี้เฟยเยียน

 

 

ในฐานะที่เป็นทูตขวาสำนักหมื่นพิษ เลี่ยเชวียจึงคิดว่าตนเองเชี่ยวชาญการใช้พิษมาโดยตลอด

 

 

ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ พิษที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดถูกอวี้เฟยเยียนขจัดได้ ทำให้เขาอับอายขายหน้าเป็นที่สุด

 

 

“พี่ซี อย่าวู่วาม!”

 

 

อวี้เฟยเยียนจับมือมู่เหนี่ยนซีเอาไว้

 

 

“มันใช้วิธียั่วยุ พี่อย่าหลงกลมัน ทุกสิ่งที่มันติดค้างพวกเรา ข้าจะต้องทวงมันคืนกลับมาให้จงได้ หากว่าพี่ตอบโต้คำมัน ก็เท่ากับยอมรับคำใส่ร้ายป้ายสีที่มันกล่าวอ้างก็จะติดกับดักมันทันที!”

 

 

ได้ฟังคำเตือนสติของอวี้เฟยเยียนแล้ว มู่เหนี่ยนซีถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้ นางเหลือบมองเลี่ยเชวียด้วยสายตาแค้นเคืองครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับไปที่นั่งตนเอง

 

 

“เป็นอะไรไป อวี้หลัวช่า เจ้าคิดที่จะเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถแล้วหรือยัง หากเจ้ามีความกล้า ก็เข้าร่วมการประลองตัดสินแพ้ชนะกับข้าในงานชุมนุมนี้สิ ข้ามิเชื่อหรอกว่าจักรพรรดิโอสถเช่นเจ้าจะมีความสามารถจริง!”

 

 

“เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับข้าเล่า”

 

 

อวี้เฟยเยียนอมยิ้มขณะนั่งลงบนรั้วกั้น เท้าทั้งสองข้างของนางแกว่งไปมาเป็นจังหวะ เผยให้เห็นความขี้เล่นที่เป็นวิสัยของเด็กสาวแรกรุ่นออกมา

 

 

“เจ้าเชื่อข้าก็ไม่ได้เนื้อเพิ่มขึ้นมา เจ้าไม่เชื่อ เนื้อข้าก็มิได้ลดลงไป”

 

 

“สำหรับข้าแล้ว เรื่องที่ไม่มีประโยชน์กับข้า เหตุใดข้าต้องเข้าร่วมด้วยเล่า”

 

 

ยังมีอีกนะ อย่าได้คิดที่จะใช้บัวเจ็ดสีมาหลอกล่อข้าเสียให้ยาก! ข้ารึก็มิใช่คนบ้านนอกคอกนาที่มิเคยเจอโลกภายนอกเสียหน่อย แค่ดอกไม้เ**่ยวๆ ดอกหนึ่ง ยังกล้านำมาเป็นของรางวัลให้กับผู้ชนะในการประลองโอสถ ช่างน่าขำให้ฟันหลุดเสียจริง หอราชาโอสถของพวกท่านนี่ช่างยากจนข้นแค้นเสียจริงนะ!”

 

 

“เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร”

 

 

เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตาม ผู้เฒ่าใหญ่รีบออกปากถามขึ้นทันที

 

 

“ข้าหรือ”

 

 

อวี้เฟยเยียนยิ้มเริงร่าในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

“คนอย่างข้าชอบเล่นการละเล่นเป็นหรือตายมากที่สุด หากว่าข้าชนะ พวกท่านตัดหัวมาให้ข้าทำเป็นลูกยางเล่น เป็นไงเล่า”