ตอนที่ 76-4 การกลับมาอย่างแข็งแกร่งของซย่าโหวฉิงเทียน

จำนนรักชายาตัวร้าย

ชัดเจน ในหัวของอวี้เฟยเยียนต่อเติมไปไกล ซย่าโหวฉิงเทียนกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของอวี้เฟยเยียน เขากลับหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมาแล้วสวมให้กับอวี้เฟยเยียน

 

 

“นี่เป็นของขวัญที่พี่มอบให้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ห้ามถอดออกเด็ดขาด!”

 

 

อวี้เฟยเยียนจับสร้อยเส้นนั้นและพินิจมองดูอย่างละเอียด จึงพบว่ามันเป็นสร้อยเงินที่บางส่วนเริ่มลอกเป็นรอยดำ ห้อยด้วยจี้มุกสีดำสนิท ดูไม่ออกว่าเป็นไข่มุกทรงหยดน้ำที่มีส่วนประกอบอะไร

 

 

“ซย่าโหวฉิงเทียน น่าเกลียดชะมัด!”

 

 

อวี้เฟยเยียนเบะปากออกมา

 

 

อย่างไรเสียนี่เป็นของขวัญในวันที่นางเป็นผู้ใหญ่ เลือกของน่าเกลียดเช่นนี้ได้อย่างไร

 

 

มันช่างไม่เข้ากับลักษณะนิสัยของซย่าโหวฉิงเทียนเอาเสียเลย!

 

 

“ฮ่าๆ!”

 

 

แตะริมฝีปากสีแดงสดที่บวมเห่อของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ลูบที่จี้ไข่มุกจากนั้นจึงยัดมันเข้าไว้ในเสื้อของอวี้เฟยเยียน กล่าวว่า

 

 

“สร้อยเส้นนี้ติดตัวพี่มาตั้งแต่เกิดไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่สำหรับพี่มัน มันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสุด วันนี้พี่มอบมันให้กับเจ้า ต่อไปเจ้าทั้งสองก็จะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของพี่!”

 

 

“ซย่าโหวฉิงเทียน เข้าใจทำการค้านักนะ! จริงๆแล้วท่านคิดว่าจะใช้สร้อยเส้นเดียวซื้อใจข้าใช่หรือไม่?”

 

 

เมื่ออวี้เฟยเยียนได้รู้ว่าสร้อยเส้นนั้นสำคัญเพียงใด นางก็ไม่รีรอที่จะถอดสร้อยเส้นนั้นคืนเขาในทันที

 

 

หารู้ไม่ ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เพียงไม่ยินยอม ทั้งยังถือโอกาสปิดปากนางด้วยริมฝีปากของเขาอีกด้วย ราวกับว่าเขาได้ตกหลุมรักการจุมพิตอย่างหัวปักหัวปำไปแล้ว ตัวเขาราวกับเด็กน้อยที่หิวโหยตลอดเวลา ไม่ยอมเลิกรา

 

 

 ท้ายที่สุด ก่อนที่อวี้เฟยเยียนจะเป็นลมล้มพับไป นางละเมอออกมาประโยคหนึ่ง“เจ้าสำนักหลิน……”

 

 

ชื่อนี้ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนแทบจะระเบิดออกมา

 

 

มีอย่างที่ไหนอยู่กับพี่ ยังมีแก่ใจคิดถึงเจ้าสำนักหลินอะไรนั่นอีก?ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนตรงเข้าไปด้านใน แล้วมองเห็นเจ้าสำนักหลินหน้าตาดำคล้ำราวกับศพแล้ว ความโกรธเกรี้ยวของเขาก็ลดลงครึ่งหนึ่ง

 

 

ดูแล้ว ที่อวี้เฟยเยียนมาที่นี่ก็เพื่อจะช่วยเหลือเขา

 

 

เรื่องนี้เขาช่วยนางจัดการเสียเลยละกัน!

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนมือซ้ายโอบรั้งอวี้เฟยเยียนเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ลากเจ้าสำนักหลินขึ้นมา ออกไปจากเรือนนั้นทันที

 

 

แต่ว่า บทลงโทษของอวี้เฟยเยียนที่คิดเรื่องชายอื่น ในขณะที่จุมพิตอยู่กับเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงลากเจ้าสำนักหลินไปตามทางตลอดทางที่กลับมา

 

 

รอจนกระทั่งเจ้าสำนักฟื้นขึ้น ใบหน้าเขาก็เขียวช้ำปูดบวมไปหมดจนเกือบเสียโฉมทีเดียว น่าอเนจอนาถจนแทบมิอยากมอง…

 

 

เป็นการพิสูจน์ได้เรื่องหนึ่ง ความคิดเล็กคิดน้อยของผู้ชายบางคนนั้น เล็กเสียยิ่งกว่าเข็มเล่มหนึ่งเสียอีก!

 

 

พอถึงที่ที่อวี้เฟยเยียนพักอยู่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็จัดการทิ้งเจ้าสำนักหลินไว้ในห้องของผู้เฒ่าเจ็ด ส่วนตัวเองอุ้มร่างของอวี้เฟยเยียนกลับไปที่ห้องนาง

 

 

เมื่อวางอวี้เฟยเยียนลงบนเตียงแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถือโอกาสพินิจพิจารณานางโดยละเอียด

 

 

เมื่อก่อนเขาเป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง จึงใช้ข้อได้เปรียบในส่วนนี้กระทำสิ่งต่างๆมากมาย สิ่งที่เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ไม่มีโอกาสจะได้ทำอย่างแน่นอน

 

 

ซึ่งประสบการณ์ที่พิเศษเช่นนี้ ราวกับทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้เปิดประตูมิติใหม่อีกบานหนึ่งที่เรียกว่า ประตูไร้ยางอาย’

 

 

“เจ้าแมวน้อย เจ้าคือคนที่ใกล้ชิดพี่ที่สุด!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนใช้นิ้วลูบไล้บริเวณริมฝีปากที่บวมเจ่อของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา แล้วนั่งมองผลงานของตนเองด้วยความพึงพอใจ

 

 

ครั้งนี้มิได้ทำให้ริมฝีปากของนางได้รับบาดเจ็บ!

 

 

จริงดังที่คาดไว้ การจุมพิตที่เร่าร้อนกับการนำทหารไปออกศึกใช้หลักการเดียวกันนั่นก็คือ ครั้งแรกไร้ซึ่งประสบการณ์ใดๆ ครั้งที่สองคลำหาทางไปเรื่อย ครั้งที่สาม คุ้นเคยแล้วทำได้อย่างคล่องแคล่ว…

 

 

เจ้าแมวน้อย พี่ช่างมีพรสวรรค์เสียจริง!

 

 

จวบจนเสียงเคาะประตูของหมอเทวดาฮั่วที่ปลุกอวี้เฟยเยียนให้ตื่นขึ้น นางกระเด้งลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจแล้ว พบว่าตนเองกลับมาอยู่ที่ห้องแล้ว และไม่เห็นแม้แต่เงาของซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

หากนางมิได้คลำที่ลำคอแล้วพบว่ามีสร้อยละก็ อวี้เฟยเยียนก็คงคิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่งเท่านั้น

 

 

คนเลว!

 

 

คลำริมฝีปากที่บวมเจ่อ อวี้เฟยเยียนก็ด่าซย่าโหวฉิงเทียนอย่างสาดเสียเทเสีย

 

 

ไม่รู้ว่าไปเรียนกับสวะที่ไหนมา ถึงได้ใช้ปากประกบไม่ให้คนพูดได้ พากันหลงผิดกันไปหมด!

 

 

อวี้เฟยเยียนรีบหาขี้ผึ้งทาริมฝีปากอย่างรวดเร็วก่อนไปเปิดประตู

 

 

“แม่นางน้อยอวี้ เจ้ารีบไปดูเจ้าสำนักหลินหน่อยเถิด!”

 

 

“พิษในตัวของเขาข้าถอนได้เพียงครึ่ง เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่ข้าถอนไม่ได้”

 

 

หมอเทวดาฮั่วเพิ่งจะหลับตาลง ประตูห้องก็ถูกพังเข้ามา แล้วเจ้าสำนักหลินก็เหินเข้ามาตกลงบนเตียง เกือบจะทับเขาจนขาดอากาศหายใจตายเสียแล้ว หากมิเห็นว่าเป็นเจ้าสำนักหลินละก็ หมอเทวดาฮั่วก็คงไม่รีรอด่ามารดาเขาไปแล้ว!

 

 

เมื่ออวี้เฟยเยียนไปถึง ใช้การฝังเข็มแค่ไม่กี่เล่มก็สามารถควบคุมพิษในร่างของเจ้าสำนักหลินเอาไว้ได้ กระทั่งนางหยิบยาเม็ดหนึ่งขึ้นมา ผู้เฒ่าเจ็ดและหมอเทวดาฮั่วก็ถึงกับตกอกตกใจไม่น้อย

 

 

“แม่นางน้อย นี่มันยาพิษนะ!”ผู้เฒ่าเจ็ดก็พลอยเรียกอวี้เฟยเยียนตามหมอเทวดาฮั่วไปด้วย

 

 

“นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าใช้พิษสยบพิษ!”

 

 

คำตอบของอวี้เฟยเยียนทำให้ผู้เฒ่าเจ็ดและผู้อาวุโสฮั่วต้องมองสบสายตากัน ใช้พิษสยบพิษ นี่นับว่าเป็นวิธีการแก้พิษแบบใหม่เลยนะนี่ วิเศษจริงเชียว!

 

 

พยายามอยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเจ้าสำนักหลินก็หายใจสม่ำเสมอ สถานการณ์จึงนับว่าคลี่คลายไปได้

 

 

อวี้เฟยเยียนกลับมาพักผ่อนแค่เพียงไม่ถึงสองชั่วยามก็ตื่นแล้ว จึงนอนไม่หลับอีกเลย

 

 

ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น! อวี้เฟยเยียนชันกายลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำล้างหน้า จวบจนประตูห้องเปิดออก พบว่าทุกคนมาพร้อมเพรียงกันแล้ว

 

 

ผู้เฒ่าเจ็ดฟื้นตัวได้เจ็ดแปดส่วน เจ้าสำนักหลินก็ลืมตาได้แล้วทั้งยังสามารถพูดจาโต้ตอบได้ แม้กระทั่งเหลียนจิ่นก็ยิ่งสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ดูแล้วไข่มุกวารีปีศาจมีประโยชน์กับเขาเป็นอย่างมาก ความพยายามของอวี้เฟยเยียนนับว่าไม่สูญเปล่า

 

 

รอจนทุกคนรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติการตามหน้าที่ ที่อวี้เฟยเยียนวางแผนไว้เมื่อวาน

 

 

“ครั้งนี้ข้าก็ไม่ขอร่วมวงด้วยละกัน! ข้ากับมั่วซางอยู่ที่นี่ดูแลเจ้าสำนักหลิน!”

 

 

 เหลียนจิ่นรู้ว่าตนเองไร้ซึ่งวรยุทธ์หากไปก็จะไปเป็นภาระ ดังนั้นจึงเลือกที่จะคอยอยู่ที่นี่

 

 

ขณะที่อวี้เฟยเยียนจะออกไปนั้น เหลียนจิ่นไปส่งนางที่หน้าประตู แล้วแอบกระซิบบอกนางว่า “เฟยเยี่ยน ศึกวันนี้จะประกาศชื่อของเจ้าในทั่วแผ่นดิน!”

 

 

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”

 

 

ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนตอบรับ เงาสีม่วงก็ปรากฏที่ประตูหน้าเรือน

 

 

“เจ้าไม้เท้าเทพ! มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าวางใจได้เลย!”

 

 

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาเสียที!”

 

 

ครั้นเห็นซย่าโหวฉิงเทียนปลอดภัย เหลียนจิ่นก็ผ่อนลมหายใจออกมา

 

 

ถึงแม้ว่าแผนการของอวี้เฟยเยียนจะดีเยี่ยม แต่ก็ยังห่างไกลจากพลังของคนของศัตรูอยู่มาก ตอนนี้ยังมีดาวมรณะดวงนี้เพิ่มมาอีก พลังในการต่อสู้ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ!

 

 

แต่ครั้งนี้ เหลียนจิ่นกลับไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย

 

 

ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขากังวลนั่นก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียนจะเล่นสนุกจนเลยเถิด แล้วทำลายหอราชาโอสถจนราบ…

 

 

แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นก็พิสูจน์การคาดเดาของเหลียนจิ่นได้เป็นอย่างดี

 

 

แน่นอน เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยว่ากัน

 

 

“ปรากฏตัวมาตอนสำคัญ ถึงจะรับรู้ได้ถึงคุณค่าของข้า!”

 

 

เมื่อซย่าโหวฉิงเทียมองเห็นอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีที่เบื้องหลังอวี้เฟยเยียน ก็รีบสำรวมความทะนงตนทันที

 

 

“ท่านลุง! ท่านป้า! อรุณสวัสดิ์”

 

 

คำเอ่ยทักทายของเขา ทำเอามู่เหนี่ยนซีถึงกับหน้าแดงยกใหญ่

 

 

นางเยาว์วัยกว่าซย่าโหวฉิงเทียน ทว่ากลับถูกเขาเรียกขานว่าป้า ไม่ต้องคิดเลย เพราะเขาเรียกอวี้เชียนเสวี่ยว่าท่านลุง แล้วนางก็กลายเป็นภรรยาของอวี้เชียนเสวี่ยไป

 

 

“ข้าไม่ใช่ ข้าจะคู่ควรกับเขาได้อย่างไร…”

 

 

“ท่านป้า เหตุใดถึงได้ดูถูกตัวเองเช่นนั้นเล่า! ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนนี้ท่านลุงนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องของคนบางคนทั้งคืนเลยนะ! หัวใจเป็นที่ประจักษ์!”

 

 

ถูกซย่าโหวฉิงเทียนเปิดเผยเรื่องจริง ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยทำหน้ามิถูก

 

 

เดิมทีแล้วเขาเพียงแค่ต้องการตักเตือนซย่าโหวฉิงเทียนสักหน่อย ว่าให้อยู่ให้ไกลจากหลานสาวของเขา แต่กลับถูกอีกฝ่ายเปิดโปงเช่นนี้ มันช่างยากจะรับไหวจริงๆ!

 

 

“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง!”

 

 

อวี้เฟยเยียนใช้การที่ซย่าโหวฉิงเทียนแพร่งพรายเรื่องราวนี้ให้เป็นประโยชน์ นางรีบก้าวแล้วจับแขนของมู่เหนี่ยนซี ทำสีหน้าอมยิ้มล้อเลียนพร้อมกับกล่าวว่า

 

 

“พี่สาว พวกท่านคืนดีกันแล้วหรือ”

 

 

มู่เหนี่ยนซีจ้องมองมือที่จับแขนของตนเองอยู่โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

 

 

อวี้เฟยเยียนรู้ว่าในใจของนางกำลังเข้าใจผิด จึงลากมู่เหนี่ยนซีไปอีกด้าน แล้วเข้าไปกระซิบประโยคหนึ่งที่ข้างหูของนาง

 

 

และแล้ว มู่เหนี่ยนซีก็เบิ่งตากว้าง สีหน้าตกตะลึง

 

 

“เจ้า คือหลานสาวของเสวี่ย?”

 

 

“จริงแท้แน่นอน! ดังนั้น ท่านป้าสาม ท่านยกโทษให้กับลุงสามเถอะ อย่าได้โกรธเคืองเขาอีกเลย! พี่ไม่เห็นหรือคะว่าท่านลุงเสมือนคนไร้วิญญาณก็ไม่ปาน น่าสงสารจะแย่อยู่แล้ว!”

 

 

อวี้เฟยเยียนคำก็ท่านป้าสาม สองคำก็ท่านป้าสาม ทำเอามู่เหนี่ยนซีที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก นางเหลือบมองอวี้เชียนเสวี่ยจึงพบว่าเขาก็กำลังมองตนเองอยู่เช่นกัน สายตาเขาช่างอ่อนโยน มู่เหนี่ยนซียิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่

 

 

นี่นางเป็นอะไรไป!

 

 

หึงหวงโดยไร้ซึ่งเหตุผล!

 

 

พวกเขาเป็นลุงหลานกันนะ!

 

 

ครั้งนี้ขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูล!

 

 

ตลอดทางที่มาจวบจนกระทั่งถึงสถานที่จัดงานประลอง มู่เหนี่ยนซีไม่ยอมพูดคุยกับอวี้เชียนเสวี่ยเลยเนื่องด้วยความมิกล้า จึงได้แต่ยึดอวี้เฟยเยียนไว้กับตน

 

 

ครานี้ มิเพียงแต่ลำบากอวี้เชียนเสวี่ย แม้กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนก็พลอยอึดอัดไปด้วย

 

 

ท่านป้าสาม ท่านอย่าตอบแทนผู้ที่หวังดีกับท่านด้วยการยึดแมวน้อยเอาไว้ผู้เดียวเช่นนี้เลย ได้หรือไม่

 

 

นี่มันจะไม่ใจแคบไปหน่อยหรอกหรือ

 

 

บรรยากาศชวนอึดอัดเช่นนี้แผ่ซ่านปกคลุมไปตลอดทาง จวบจนถึงสถานที่จัดงานประลองจึงสิ้นสุดลง

 

 

สถานที่จัดงานประลองปรุงโอสถดูราวกับสนามกีฬาขนาดย่อม พื้นที่สี่เหลี่ยมตรงกลางมิถือว่าใหญ่ แต่ก็กว้างขวาง ทั้งสี่ด้านล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐ ส่วนที่นั่งของผู้ชมมีทั้งหมดหกชั้น

 

 

แขกที่ถูกเชิญมาเข้างานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีหน้าตาชื่อเสียงในสังคม หนึ่งในนั้นที่ขาดมิได้เลยนั่นก็คือราชนิกุลในราชสำนัก ครอบครัวขุนนางเก่าแก่ชนชั้นสูง ตระกูลที่มีชื่อเสียง ต่างก็ส่งตัวแทนมาเข้าร่วมงาน โดยมีศิษย์ของตำหนักโอสถและเด็กบดยาคอยดูแลรักษาความเรียบร้อยของงาน

 

 

เมื่อผู้เฒ่าใหญ่ในชุดดำเดินเข้ามายังกลางลาน ทั้งสนามก็ค่อยๆเงียบลง

 

 

ในครั้งนี้ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็ได้เห็นใบหน้าของผู้เฒ่าใหญ่

 

 

ใบหน้าเขาดำคล้ำเล็กน้อย นัยน์ตาฉายสีแดงเล็กน้อย แลดูเ**้ยมโหดดุดัน ซึ่งแตกต่างจากที่ก่อนหน้านี้เซวียจื่ออี๋เคยกล่าวว่ามีเป็นธรรมและใจดีอย่างสิ้นเชิง

 

 

คนนี้ผู้นี้เป็นตัวปลอมจริงๆ ด้วย!

 

 

“เนื่องจากเจ้าสำนักหลินสุขภาพไม่อำนวย งานชุมนุมประลองโอสถในวันนี้จึงมีข้าเป็นผู้ดำเนินการ”

 

 

ขณะที่กล่าวนั้น ก็คอยมองสำรวจไปรอบๆ จนกระทั่งสายตาของเขามาหยุดลงที่อวี้เฟยเยียน แววตาเขาสว่างวาบขึ้นมา

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อาณาจักรหลัวอวี่ได้ถือกำเนิดจักรพรรดิยาคนแรก นางก็คือ อวี้หลัวช่า……”

 

 

ผู้เฒ่าใหญ่กล่าวแล้วก็ชี้นิ้วมาที่อวี้เฟยเยียน

 

 

“อวี้หลัวช่ามาร่วมงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ นับว่าเป็นเกียรติแก่หอราชาโอสถเรา!”

 

 

วาจาผู้อาวุโสใหญ่ทำให้สายตาทุกคู่พุ่งตรงมาที่อวี้เฟยเยียน

 

 

ถูกขานชื่อเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนจึงชันกายลุกขึ้นยิ้มเล็กน้อย พร้อมทั้งโค้งกายทำความเคารพแก่ทุกๆ คน

 

 

“ผู้เฒ่าใหญ่ ข้าเพียงแต่มาชมความสนุกสนานเท่านั้น มิได้บอกว่าจะมาเข้าร่วมการประลองเสียหน่อย” คำกล่าวของอวี้เฟยเยียนทำเอาผู้ใหญ่หน้าเปลี่ยนสี

 

 

นางมิเข้าร่วม?

 

 

เช่นนั้นจะดำเนินการตามแผนของข้าได้อย่างไรกัน?

 

 

“อวี้หลัวช่า เมื่อมาถึงหอราชาโอสถ แล้วมิเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถ มิรู้สึกน่าเสียดายไปหน่อยหรือ รางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศลำดับที่หนึ่งในครั้งนี้ล้ำค่ายิ่งนัก!”

 

 

เมื่อผู้เฒ่าใหญ่ปรบมือ ศิษย์หอราชาโอสถสองคนก็แบกถาดใบหนึ่งเข้ามา ด้านในคือดอกบัวเจ็ดสีที่ส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่ว

 

 

“ดอกบัวเจ็ดสีอายุกว่าร้อยปี ถอนพิษได้นับร้อย นี่คือรางวัลผู้ชนะการประลองจากหอราชาโอสถเรา”

 

 

ผู้เฒ่าใหญ่กล่าวจบ ก็เกิดเสียงอื้ออึงจากผู้ชมทั่วทั้งสารทิศ

 

 

“ผู้เฒ่าใหญ่ อย่าพูดมากอีกเลย อย่างไรเสียดอกบัวเจ็ดสีก็ต้องเป็นของสำนักหมื่นพิษของเรา!”

 

 

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนของสำนักหมื่นพิษ?

 

 

อวี้เฟยเยียนมองไปยังผู้ที่กล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมา ชายผู้นั้นรูปร่างผอมสูง ราวกับหน่อไผ่ที่ลีบผอม แต่ทว่าสองมือเขาเป็นสีดำ เพียงมองก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นยอดฝีมือในการใช้พิษ