บทที่ 220 การตรวจสอบและการปิดระบบ
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสื้อผ้าของคนงานเป็นอย่างแรกแล้วขมวดคิ้ว ถึงแม้พวกคนงานจะทำงานอย่างหนักแต่พวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องปัญหาด้านสุขอนามัยเลย ที่นี่ไม่ได้รับอนุญาตให้แก้ผ้าในการทำงานเหมือนเมื่อกี้ แล้วถ้าเกิดว่าเหงื่อบังเอิญหยดลงไปในสินค้าในขั้นตอนการผลิตล่ะ และภายในก็ไม่มีเครื่องปรับอากาศอีกด้วย
ในระหว่างที่เดินเธอก็ขมวดคิ้วไปด้วยและก็ยิ่งเห็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ มู่หรงเสวี่ยโบกมือไปที่ผู้จัดการเพื่อเป็นเรียกเขาเข้ามา
“คนงานพวกนี้ไม่มีชุดปลอดเชื้องั้นเหรอ?” มู่หรงขมวดคิ้วและถามออกไป
“ชุดปลอดเชื้อสั่งไปแล้วครับ แต่ต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าที่จะเสร็จ…” ผู้จัดการพูดตอบออกมาเสียงเบาลงเรื่อยๆ
“คุณมากับฉัน ไปที่ออฟฟิศของโรงงานก่อน ฉันมีเรื่องที่จะถามหน่อย!” มู่หรงเสวี่ยมองผู้จัดการอย่างเย็นชาแล้วเดินนำออกไปก่อน
หลงอี้และคนอื่นก็เดินตามไป พูดตามตรงถึงแม้หลงอี้จะรู้ว่าบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปจะเป็นธุรกิจของคุณมู่หรง แต่ในหลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็รู้สึกชื่นชมในความเยือกเย็นและความนิ่งในการจัดการกับเรื่องของบริษัท แม้ว่าเธอจะเทียบไม่ได้กับดราก้อนมาสเตอร์ แต่อายุของคุณมู่หรงก็ยังน้อยอยู่เลย!
แต่จู่ๆเขาก็นึกถึงเรื่องที่เสี่ยวเข่อลี่ที่ยังถูกขังอยู่พูดขึ้นมาครั้งที่แล้วได้ การกลับมาเกิดใหม่งั้นเหรอ?!!! เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
“พวกเขาเริ่มการผลิตโดยไม่มีชุดปลอดเชื้อได้ยังไง จะทำยังไงถ้าเกิดปัญหากับเรื่องสินค้าแล้วทำไมข้างในถึงไม่มีเครื่องปรับอากาศ? ใครเป็นหัวหน้าที่นี่?” ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยเดินเข้ามาในออฟฟิศของโรงงาน เธอก็ถามคำถามออกมามากมาย
นี่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ผลิตในชุดแรกได้ จะต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่อลูกค้าด้วย
ทันทีที่ผู้จัดการเข้ามา เขาก็เริ่มที่จะเหงื่อตก สุดท้ายเขาก็พูดออกมาตรงๆ
“เดิมทีงานของฝั่งอาคารโรงงานจะต้องเป็นหน้าที่ของผู้จัดการโรงงาน อย่างไรก็ตามสำนักงานใหญ่ยังไม่ส่งผู้จัดการมาที่บริษัทสาขาเลย ผมแจ้งไปหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งก็จะได้รับการตอบกลับมาว่าคนยังไม่พอ พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะส่งใครมาได้ตอนนี้”
เขาจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยแล้วจึงพูดต่อ “นี่เป็นความผิดของผมเองครับ ผมไม่ควรที่จะปล่อยให้คนงานเริ่มงานโดยไม่มีขั้นตอนที่ถูกต้องเพราะคนงานและเครื่องจักรทั้งหมดก็พร้อมแล้ว ถ้าเราไม่เริ่มงาน บริษัทของเราก็จะต้องสูญเงินจำนวนมาก อีกอย่างบริษัทสาขาก็ถูกโฆษณาไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีสินค้าออกมาเลยจากบริษัทเลย แบบนี้มันก็ไม่ส่งผลดีเหมือนกัน”
มู่หรงเสวี่ยยังมีสีหน้าเย็นชาอยู่ แทนที่จะโทษคำอธิบายของผู้จัดการ เธอก็ถามออกไปอีก “ทำไมโรงงานถึงไม่ติดเครื่องปรับอากาศให้คนงาน…”
“เพราะที่นี่ไม่มีเงินทุนครับ…” ผู้จัดการกระซิบ ไม่คิดว่าเขาเองก็อยากจะจัดการเรื่องนี้อย่างดีงั้นเหรอ? เงินทุนมีไม่พอ งบประมาณยังขาดอยู่อีกและมีอีกหลายจุดที่ต้องถูกตัดงบ
“มันเกิดอะไรขึ้น?! พูดให้ชัด!” มู่หรงเสวี่ยถาม เธอจำได้ว่าตัวเองเคยอ่านงบเงินทุนมาแล้วก่อนหน้านี้ มันน่าจะมีส่วนที่เหลือสิ แล้วจะไม่พอได้ยังไง?!!!
“ทางสำนักงานใหญ่แบ่งเงินทุนมาให้สองก้อน ก้อนหนึ่งใช้ไปกับการสร้างบริษัทสาขาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปและอีกส่วนถูกใช้ไปกับการสร้างโรงงานและฐานการเกษตร อย่างไรก็ตามเงินทุนก้อนที่สองก็ยังไม่พอ ผมรายงานเรื่องปัญหานี้ให้หัวหน้าทราบไปตั้งแต่ผมได้รับเงินทุนแล้ว อย่างไรก็ตามแผนกการเงินของสำนักงานใหญ่แจ้งกลับมาว่าเงินทุนที่ให้บริษัทสาขามาตั้งแต่แรกก็มากแล้ว…”
“แล้วเงินทุนพวกนี้ถูกเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง?! ตอนนี้ใครดูแลเรื่องการเงินของบริษัทสาขา?”
“สำนักงานใหญ่ส่งเจ้าหน้าที่แผนกการเงินมาที่บริษัทสาขา แต่ยังไงซะเพราะเป็นเรื่องการเงิน คุณกู่ก็ยืนยันที่จะใช้คนรู้จักใช้มาดูแลแผนกการเงินของสาขา ท่านประธานอยากจะดูตอนนี้เลยไหมครับ?!”
“เอามาเลย!”
“งั้นผมจะแจ้งแผนกการเงินนะครับ!” ผู้จัดการหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและอยากที่จะโทรหาแผนกการเงิน
“ไม่ต้อง!” มู่หรงเสวี่ยห้าม “ฉันอยากจะเข้าไปตรวจแบบเซอร์ไพรส์ซะหน่อย!” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาเสียงเบา
ผู้จัดการเหวินหยานเก็บโทรศัพท์ของเขา ในตอนนี้เขาได้รู้ถึงอำนาจของท่านประธานแล้ว บางคนอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำจริงๆ
“แจ้งคนงานให้หยุดทำงานก่อน สินค้าทั้งหมดที่ถูกผลิตออกมาแล้วจะต้องถูกทำลาย…”
ผู้จัดการตะลึง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีและถามออกไปว่า “ทำลายเหรอครับ?! นั่นจะเป็นการเสียหายมากเลยนะครับ สาขานี้ทำการผลิตออกมาแล้วเยอะมากเลยนะครับ” เขาควรที่จะระวังเรื่องความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย
“ผมเช็กแล้วนะครับและยาต่างๆก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยนะครับ” ผู้จัดการพยายามที่จะโน้มน้าวมู่หรงเสวี่ยให้ยกเลิกคำสั่ง
“ไม่มีปัญหางั้นเหรอ?!! พวกคนงานไม่ได้สวมชุดปลอดเชื้อด้วยซ้ำ นี่ยังไม่พูดถึงว่าไม่รู้ว่าพวกคนงานทำเหงื่อหยดลงไปที่สินค้าหรือเปล่าอีก เราไม่อยากที่จะผลิตสินค้าแบบนั้นออกไปหรอกนะ!” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา
หัวใจของผู้จัดการถึงกับสั่น นี่เป็นความผิดของเขาเอง
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ผู้จัดการที่กำลังยืนหน้าซีดและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เธอพูดออกไปเพื่อเป็นการดุผู้จัดการ ยังไงซะสินค้าก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดและความผิดพลาดก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องที่จะเอาของที่ปนเปื้อนออกไปขายจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้เด็ดขาด
“แจ้งคนงานให้หยุดทำงาน แล้วกลับไปที่ออฟฟิศสาขาก่อน…” มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและไม่มองไปที่ผู้จัดการอีก
มู่หรงเสวี่ยเดินขึ้นรถไปพร้อมกับหลงอี้และคนอื่นๆทันที เธอกำลังคิดถึงเรื่องช่องโหว่ของแผนนี้ อย่างแรกเลยเธอตั้งสาขาทั่วประเทศในเวลาพร้อมๆกัน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องความรับผิดชอบที่มากเกินไปและที่สำนักงานใหญ่ก็มีพนักงานยังไม่มากพอด้วย เดาว่าแบบนี้สาขาอื่นๆก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไร
หลงอี้ไม่กล้าที่จะพูดอะไร เขาคิดว่าวันนี้คุณมู่หรงดูเหมือนจะโกรธอย่างมาก
ที่จริงแล้วความคิดของหลงอี้ก็ไม่ผิดเพราะความผิดปกติของมู่หรงทำให้เขาเป็นห่วงเธออย่างมาก ตอนนี้เขาอยากที่จะเข้าไปหาเธอแต่ก็รู้สึกว่าเขาไม่รู้จักเธอเลยสักนิด แต่ในเรื่องการจัดการเรื่องของบริษัท เธอไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย
ผู้จัดการเดินตรงเข้าไปที่ห้องเครื่องจักรทันทีแล้วจึงแจ้งพนักงานทุกคนให้หยุดทำงาน พวกเขาต่างก็ถามกันไปมาว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่า…ผุ้จัดการทำได้เพียงยิ้มอย่างเกร็งๆและบอกทุกคนไปว่าทุกอย่างโอเคดี แล้วจึงรีบเดินตามมู่หรงเสวี่ยไปที่รถ
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยและผู้จัดการมาถึงบริษัท พวกเขาก็เข้าไปที่แผนกการเงินทันที พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตรวจสอบบัญชีของบริษัท แน่นอนหลงอี้เองก็ถูกดึงเข้ามาช่วยงานด้วย สำหรับหลงอี้ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเชื่อใจอย่างมาก
เวลาผ่านไปสักพัก แผนกการเงินก็เริ่มที่จะตื่นตระหนก ในเรื่องของการเงิน ทุกคนก็จะมีเรื่องโกงกันนิดหน่อย เช่นเรื่องความแตกต่างระหว่างบัญชีและใบเสร็จ
มู่หรงเสวี่ยอ่านบัญชีบริษัทด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น ในช่วงเวลานี้พนักงานคนอื่น ๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้บัญชีนี้ พนักงานหลายคนต่างก็คาดเดากันอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้น?! หลังจากผ่านไปสักพัก สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
หลักๆมู่หรงเสวี่ยจะตรวจยอดที่จำนวนเยอะๆ ตอนนี้เธอจะไม่สนใจความผิดพลาดเล็กน้อย เหตุผลหลักก็เพราะเธอไม่มีเวลาเหลือมากขนาดนั้น ถ้าเธอต้องมานั่งดูยอดเล็กๆทีละยอดๆ เดาว่าแบบนั้นเธอคงจะตายซะก่อนแน่ๆ
ผู้จัดการเองก็ยืนเงียบๆอยู่ข้างๆ หายใจด้วยเสียงเบาเพราะไม่กล้าที่จะรบกวนแม้สักนิด
เมื่อเวลาผ่านไป ในแผนกการเงินก็ไม่มีใครกล้าที่จะออกไปไหนเลย พวกเขาทุกคนต่างก็ยืนกันอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปและไม่มีใครกล้าที่จะเตือนออกมาว่าถึงเวลากินข้าวแล้ว
จนกระทั่งสองทุ่มมู่หรงเสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร เธอยืดร่างกายและมองไปทั่วห้อง เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงถามออกไป “ทำไมยังไม่เลิกงานกันอีกล่ะ…”
กลุ่มพนักงานต่างก็มองหน้ากันเอง ในหัวใจรู้สึกกลัวเล็กน้อย ก็หัวหน้าอยู่ที่นี่แล้วใครจะกล้ากลับกันล่ะ!!!
จู่ๆดูเหมือนมู่หรงจะเริ่มเข้าใจขึ้นมา จึงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดออกไปว่า “ทุกคนทำงานอย่างหนัก งั้นฉันจะเลี้ยงข้าวเอง จะกินอะไรก็ได้นะถือซะว่าเป็นการฉลองเปิดบริษัทสาขาแล้วกัน!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าพนักงานก็รู้สึกเบาใจและเริ่มที่จะพูดคุย ทุกคนต่างก็เผยรอยยิ้มและร้องดีใจกันออกมา
“ผู้จัดการ คุณคุ้นเคยกับแถวนี้ งั้นเลือกร้านดีๆหน่อยแล้วกัน ไปกันเถอะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาเสียงเบา เธอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ในใจเธอรู้เรื่องนี้แล้ว ที่สาขาไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร มีเพียงเลขทศนิยมที่ผิดไปเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อกี้เธอก็อยากที่จะพูดเรื่องนี้แต่ก็พบว่าทุกคนกำลังรอเธออยู่ หลังจากวันที่ยุ่งๆ เธอเดาว่าทุกคนก็คงจะเหนื่อยแล้ว ดังนั้นเธอจึงคิดว่าจะให้ผู้จัดการเป็นคนจัดการเรื่องผิดพลาดเล็กๆน้อยๆนี้แทนทีหลัง
ผู้จัดการเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ พูดตามตรง วันนี้เขารู้สึกว่าท่านประธานไม่พอใจกับทุกเรื่องจนเขาเริ่มที่จะสงสัยในความสามารถของตัวเองแล้ว
มู่หรงเสวี่ยตบไหล่ผู้จัดการ “พยายามหน่อยนะ ตั้งใจทำงาน ออฟฟิศสาขามีงานหนักที่ยังต้องทำอีกมาก ถ้าคุณคิดว่ามีใครที่เก่งๆ คุณก็ชวนให้มาเป็นผู้ช่วยคุณได้นะ…” สิ่งที่เธอพูดออกไปทำให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด เธอรู้ดีว่าลูกน้องของเธอจะทำงานมั่วๆไม่ได้
ผู้จัดการรู้สึกหัวใจสั่นเล็กน้อย ในฐานะพนักงาน สิ่งที่เขาต้องการก็แค่ประโยคสั้นๆนี้เอง เขาพยักหน้าอย่างแรง “ท่านประธาน ผมจะพยายามอย่างดีที่สุด ผมจะรับผิดชอบความเสียหายของโรงงานเอง…” ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเองที่ทำให้บริษัทต้องเสียหายขนาดนี้ ถึงแม้ท่านประธานจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่ตัวเขาเองจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปไม่ได้
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาและพูดพร้อมรอยยิ้ม “โอเค ฉันจะรอดูความสำเร็จของคุณนะ…” มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง พี่กู่มีสายตาที่หลักแหลมจริงๆที่เลือกผู้สมัครคนนี้ให้มาอยู่ที่ออฟฟิศสาขา