บทที่ 516 สนับสนุน
ลูเซียนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันหลากหลายซับซ้อนของอาจารย์ของตน เขายื่นปึกกระดาษให้พร้อมกับกล่าวว่า “ไม่มีข้อหักล้างอะไรในนี้ขอรับ ข้าเพียงพยายามอธิบายการทดลองของท่านดักลาสในเรื่องอัตราความเร็วของแสงและสหสัมพันธ์[1] ที่เกี่ยวข้อง มันมีความคล้ายคลึงกับข้อสันนิษฐานทั้งหลายก่อนหน้านี้ที่จอมเวทหลายท่านนำเสนอ”

การแปลงแบบลอเรนตซ์ นั่นคือสิ่งที่ลูเซียนคิดใช้เตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจให้กับอาจารย์เขา

เฟอร์นันโดยังคงรู้สึกไม่ไว้ใจเล็กน้อย แต่ก็รับปึกกระดาษนั้นไปเริ่มอ่านอยู่ดี และยิ่งเขาอ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าเฟอร์นันโดก็ยิ่งแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก

ลูเซียนอดถามออกไปไม่ได้ “อาจารย์ มันใช้ได้หรือไม่ขอรับ”

เฟอร์นันโดแย้มยิ้ม “นี่คือครั้งที่สองในรอบหนึ่งเดือนที่ข้าได้อ่านเกี่ยวกับอะไรแบบนี้”

ลูเซียนประหลาดใจนิดๆ “มีคนส่งรายงานการวิจัยที่คล้ายกันนี้แล้วหรือขอรับ แต่ว่า ข้าไม่เจอหัวข้อที่คล้ายๆ กันเลยนะขอรับตอนที่ข้าค้นจากเอกสารในห้องคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา ข้าคงไม่นำมันมาให้ท่านหากรู้ว่า…”

เฟอร์นันโดเลิกสนใจคำถามเกี่ยวกับปฏิกิริยาฟิวชันและปฏิกิริยาฟิชชันชั่วคราว และตอนนี้ก็มีท่าทางร่าเริงกว่าปกติ “ข้ารู้ เพราะว่าเขายังไม่ได้ส่งมันอย่างไรเล่า เขาไม่กล้า เพียงนำมันมาให้ข้าและถามความเห็นส่วนตัว”

“เขาคือใครหรือขอรับ” ลูเซียนถามด้วยความอยากรู้ ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยประหลาดใจเท่าใดนัก เพราะข้อมูลจากการทดลองอัตราความเร็วของแสงนั้นมีมากว่าสามปีแล้ว และผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่นต่างก็พยายามใช้ข้อมูลนี้ในการสนับสนุนความเชื่อของพวกเขา มันจึงมิใช่ความคืบหน้าแบบก้าวกระโดดอะไรหากจอมเวทสักท่านจะค้นพบการแปลงแบบลอเรนตซ์

แม้ว่าเหล่านักเวทในโลกนี้จะเคยประสบพบเจอกับความผกผันมามากมายเพราะพวกเขายังคงมีหลายสิ่งหลายอย่างให้สำรวจไป แต่เมื่อเป็นเรื่องของความคิดเพียงอย่างเดียว พวกเขานับว่าเก่งกาจทีเดียว

“เป็นโอลิเวอร์ เมื่อสามปีก่อน เขาพนันกับฟลอเรนเซีย และเขาก็เริ่มศึกษาค้นคว้ามานับแต่นั้น แต่โครงการของเขาต้องล่าช้าไปเพราะการออกสำรวจดินแดนใหม่ และในที่สุดเขาก็รวบรวมกลุ่มสมการการแปลงทั้งหมดได้สำเร็จ งานเขียนของเขาบอกว่า จากการใช้อีเธอร์เป็นตัวสังเกตการณ์ การหดตัวของความยาวของวัตถุเคลื่อนที่จะเกิดขึ้นเพื่อชดเชยให้กับความต่างทางอัตราความเร็วของแสงในทุกทิศทาง ซึ่งใช้อธิบายการทดลองของดักลาสได้ ข้าเดาเอาว่างานของเจ้าก็เป็นเรื่องเดียวกันนี้ ใช่หรือไม่”

เฟอร์นันโดเพิ่งจะอ่านบทนำในงานของลูเซียนจบ เขาจึงคาดเดาเอาว่างานของลูเซียนก็คงจะเหมือนกัน

ลูเซียนพยักหน้า “ขอรับ แต่เหตุใดท่านโอลิเวอร์จึงไม่ส่งมันล่ะขอรับ”

แม้ว่าโอลิเวอร์จะกำลังศึกษาวิจัยเจ้ามังกรแห่งความมืดอยู่ เขาก็น่าจะฝากฟลอเรนเซีย ภรรยาเขา หรือลูกศิษย์สักคนมาส่งงานแทนได้

“เพราะเขาเชื่อว่ายังมีบางอย่าง บางอย่างที่สำคัญ ขาดหายไป และเขาก็อธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงมีอยู่ แต่แล้วเขาก็ได้ทิศทางใหม่ในการเจาะลึกลงไป แต่การให้เหตุผลไม่อาจลงลึกต่อไปได้ เขาจึงเหมือนกำลังเจอทางตัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงมาหาข้า” เฟอร์นันโดกล่าว

“แล้วท่านมีความเห็นอย่างไรบ้างขอรับ” ลูเซียนถาม

เฟอร์นันโดส่งเสียงจึ๊กจั๊กก่อนเอ่ยตอบ “ข้าบอกเขาว่าการคิดหาเหตุผลของเขายังไม่ชัดเจนพอ เขายังคงเอนไปทางนั้นทีทางนี้ที แต่ข้าก็ไม่อาจช่วยเขาได้ในเรื่องการอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์ ข้าบอกให้โอลิเวอร์หาเวลามาพูดคุยกับเจ้า เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าเป็นคนเปิดใจกว้างและสร้างสรรค์ เจ้าจึงอาจช่วยได้”

เฟอร์นันโดแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วจดจ้องที่ลูเซียน “ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเจ้าที่นึกใช้คำอธิบายเดียวกันนี้ แต่ข้าจำได้ว่าที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยสนใจอีเธอร์เลยนี่ ไม่มีทางที่จู่ๆ เจ้าจะตัดสินใจใช้อีเธอร์มาอธิบายการทดลองของดักลาสเป็นแน่ อีกอย่าง สมการส่วนหนึ่ง ตรงนี้ การหดตัวของความยาว มันมีปัญหา และข้าก็มั่นใจว่าเจ้ารู้ดี เพราะฉะนั้น ลูเซียน เจ้าโยนงานชิ้นนี้มาให้ข้าเพราะกำลังพยายามจะทำอะไรกันแน่”

ลูเซียนสบตากับอาจารย์ตน แต่ไม่เอ่ยอะไร

“ข้าคิดว่าเจ้าคงขุดคุ้ยลงลึกกว่านี้แล้ว และเจ้าก็กำลังเตรียมความพร้อมให้เราโดยใช้งานชิ้นนี้ เจ้านำมันออกมาเถิด ผลการวิจัยที่แท้จริงของเจ้าน่ะ” เฟอร์นันโดว่า

ลูเซียนเห็นว่าดวงตาสีแดงของอาจารย์ตนฉายชัดถึงความจริงใจและเมตตา เขาต้องยอมรับว่าอาจารย์ของเขารู้จักเขาดีเหลือเกิน

แต่เขาควรจะโยนทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษใส่เฟอร์นันโดไปตรงๆ เลยหรือไม่

เมื่อเห็นว่าลูเซียนยังคงลังเล เฟอร์นันโดจึงถลึงตาใส่เขาพลางเอ่ยว่า “อะไร เจ้ากำลังกังวลว่าข้าอาจรับไม่ไหวอย่างนั้นหรือ ไม่เอาน่า ข้าเคยได้รับบทเรียนจากควอนตัมของแสงและควอนตัมของพลังงานมาแล้วนะ ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะระเบิดสมองข้าได้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้น ข้าจะหลุดจากการควบคุมไปเล็กน้อย แต่ข้าก็ยังอยู่ที่นี่ และปลอดภัยดี”

ลูเซียนยังจำได้ดีว่าเฟอร์นันโดหัวเสียและเดือดดาลมากเพียงใดในคราวก่อน แต่เขาไม่กล้าเอ่ยออกไป

หลังจากช่างใจคิดหาคำพูดเสร็จ ลูเซียนก็เอ่ยตอบ “ข้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของความยาวไม่ได้มาจากการหดตัวของสสาร แต่เป็นการหดตัวของอวกาศขอรับ”

“การหดตัวของอวกาศ… น่าสนใจ บางทีเราควรจะมองอวกาศจากมุมมองอื่น… โอลิเวอร์เองก็เคยพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน” เฟอร์นันโดไม่ได้ประหลาดใจมานักเพราะบนโลกนี้มีทั้งกำแพงอวกาศ มิติพิเศษ และเวทมนตร์เกี่ยวกับอวกาศ

“หากตรงนี้เราเลิกสนใจอีเธอร์ไปก่อน แล้วยึดเพียงการทดลองของท่านดักลาส ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าดั้งเดิม และการศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของวัตถุ เราจะสามารถนำเสนอมูลบทได้หนึ่งบท นั่นคือ แนวคิดที่ว่าอัตราความเร็วของแสงคือแรงเคลื่อนที่สัมพันธ์กันของแหล่งกำเนิดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นอิสระ” ลูเซียนอธิบายเพิ่ม

มือขวาของเฟอร์นันโดกำเข้ามาหากันแน่นก่อนจะนำมาแตะที่ปลายคาง “เข้าใจล่ะ หากยึดจากสิ่งเหล่านั้น จะมีเรื่องให้พูดคุยกันอีกมากมาย เจ้านำผลการวิจัยมาเถิด”

ลูเซียนรีบกล่าวเสริม “ยังมีเงื่อนไขเบื้องต้นอีกอย่างหนึ่ง… กฎแห่งสัมพัทธภาพขอรับ มีรายงานหลายฉบับที่พูดถึงเรื่องนี้ ท่านอาจเคยได้อ่านมาบ้างแล้ว”

เหล่านักเวทมักจะร่ายคาถาเวทมนตร์คลื่นเสียง เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาได้ค้นพบว่ายามศัตรูเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว เสียงจะกลายเป็นสั่นระรัว ยามที่ศัตรูหลบหนีออกห่าง เสียงก็จะยืดยาวออกไป ความเปลี่ยนแปลงในคลื่นเสียงคล้ายจะมีความเกี่ยวข้องแนบแน่นกับความเร็ว ปรากฏการณ์นี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง จึงเกิดเป็นกฎแห่งสัมพัทธภาพ ในขณะเดียวกัน จอมเวทบางท่านก็ยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของคลื่นแสงจากดวงดาวอีกด้วย

ยังมีอีกปรากฏการณ์ทั่วไปที่คนคนหนึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากชีวิตประจำวัน นั่นคือ เมื่อรถไฟเวทมนตร์หัวจักรไอน้ำเคลื่อนเข้ามาจากจุดห่างไกล เสียงหวูดไอน้ำจะแหลมบาดหูมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อมันผ่านผู้สังเกตการณ์ไป เสียงหวูดก็จะต่ำเบาลง

เฟอร์นันโดพยักหน้านิดๆ “เงื่อนไขเบื้องต้นเพียงสองข้องั้นหรือ ดี ก็เป็นรูปแบบที่สมกับเป็นเจ้าดี เริ่มจากสัจพจน์และข้อสันนิษฐานที่น้อยกว่า แล้วใช้การให้เหตุผลที่มีตรรกะมากกว่า เอารายงานมาให้ข้า ข้าพร้อมแล้ว”

“อาจารย์ขอรับ ท่านพัฒนาสมการการแปลงของท่านโอลิเวอร์โดยยึดจากเงื่อนไขเบื้องต้นทั้งสองก่อนดีหรือไม่ ท่านจะเห็นหน่วยต่างๆ ในสมการนั้นจากมุมมองทางอาร์คานาศาสตร์แบบใหม่เอี่ยม หรืออีกนัยหนึ่งคือ พวกมันจะไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์อีกต่อไป”

เฟอร์นันโดหัวเสียเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยอมทำตามคำแนะนำของลูเซียน “ไหนดูสิว่าเจ้ากำลังซ่อนข้อสรุปอะไรเอาไว้!”

เขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วหยิบปากกาขนนกขึ้นมา จากนั้นจึงเขียนเงื่อนไขเบื้องต้นทั้งสองข้อลงไป แล้วเริ่มหาค่าจากสมการทั้งหลาย

ในช่วงแรก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างลื่นไหล องค์ความรู้ของมหาจอมเวทย่อมมีมากเกินพอสำหรับการอนุมานเบื้องต้น

ทว่า ขณะที่เฟอร์นันโดเขียนไปเรื่อยๆ จู่ๆ ปากกาขนนกของเขาก็หยุดอยู่เหนือบรรทัดหนึ่ง

หมึกสีดำไหลย้อยมารวมตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ ตรงปลายปากกา จากนั้นจึงหยดลงไปบนกระดาษ

หมึกไหลซึมกระจายไปช้าๆ

สถานที่ที่ทั้งสองอยู่ในตอนนี้ มิติพิเศษ ‘นรกสายฟ้า’ ของเฟอร์นันโดพลันบังเกิดพายุโหมรุนแรง สายฟ้าและเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น

เฟอร์นันโดเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

ลูเซียนไม่ได้หลบสายตา กลับจ้องสบตากลับไป

เฟอร์นันโดสูดหายใจเข้าลึกแล้วหลับตาลง จากนั้นจึงเริ่มแก้สมการอีกครั้ง

ขณะที่เฟอร์นันโดเขียนสมการและข้อสรุปในแต่ละขั้นเพิ่มลงไป ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็เกิดขึ้นในห้องทำงาน

ไม้บรรทัด ปากกาขนนก ตำราทั้งหมดต่างหดตัวลง และเข็มนาฬิกาก็ขยับช้าลงเรื่อยๆ

ลูเซียนหลับตาลงแล้วแผ่พลังจิตออกจากกาย ความเปลี่ยนแปลงนี้คือความจริง

ทว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เล็กน้อยเสียจนมีเพียงนักเวทระดับสูงหรือระดับสูงกว่านั้นที่จะสังเกตเห็น

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในโลกแห่งปัญญาของเฟอร์นันโดกำลังส่งผลต่อโลกแห่งความเป็นจริง!

นั่นคือพลังของนักเวทระดับตำนาน!

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ในที่สุดเฟอร์นันโดก็วางปากกาขนนกในมือลงและจ้องมองบทสรุปสุดท้ายอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาหัวเราะเยาะหยันตนเอง “ข้านึกว่าข้าพอจะรู้อะไรบ้างแล้วเกี่ยวกับความจริงของโลก แต่ข้ากลับคิดผิดถนัด ความจริงแล้วอวกาศและเวลาแตกต่างจากสิ่งที่เรารู้สึกได้อย่างมาก สมการนี้แสดงให้เห็นว่าเวลาคือบทบาทหน้าที่หนึ่งของความเร็ว โดยขึ้นอยู่กับสสาร หากมิใช่เพราะข้าเป็นผู้ได้ข้อสรุปนี้มาเอง ข้าคงจะตะคอกเจ้าให้หนักไปแล้ว”

จากนั้นเฟอร์นันโดก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ข้อสรุปนี้ยึดจากมูลบทเพียงบทเดียว และเราก็ต้องการสิ่งที่ชัดเจนกว่านี้ แม้ว่ามันจะใช้อธิบายได้ว่าทำไมแสงดาวส่วนหนึ่งจึงทำให้มองเห็นการเปลี่ยนความยาวคลื่นของคลื่นแสงทางสเปกโทรสโกปี[2] ก็เถอะ”

เฟอร์นันโดยังไม่ยอมรับเสียทั้งหมด ข้อสรุปนี้ต้องได้รับการพิสูจน์ด้วยหลักฐานเพิ่มเติม มิเช่นนั้นมันก็จะยังคงเป็นของเล่นในจินตนาการเท่านั้น

“ก็… เราอาจใช้มันอธิบายบางปัญหาที่เราพบเจอจากโครงการดาวฤกษ์จำลองก็ได้นะขอรับ แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ยังไม่สมบูรณ์ แรงโน้มถ่วงยังไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นมันจึงยังมีปัญหาอยู่” ลูเซียนบอก

จากนั้นลูเซียนก็อ้างอิงถึงข้อมูลที่ลูกศิษย์เขารวบรวมมาและคำถามต่างๆ ที่มีตามมา “…ดังนั้นเมื่อเราเร่งความเร็วอนุภาค จะเกิดความต่างระหว่างผลลัพธ์และสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ และทฤษฎีสัมพัทธภาพก็จะสามารถนำมาใช้อธิบายได้ นั่นคือ มวลจะเพิ่มขึ้นเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ดังนั้นระยะเวลาในการโคจรจึงเปลี่ยนไปด้วย เรายังใช้สูตรนี้ในการหาตัวแปรและปรับความถี่ที่เปลี่ยนไปมาของสนามไฟฟ้าได้ หากว่าอนุภาคสามารถเร่งความเร็วขึ้นได้โดยไม่หลุดออกจากสนามไฟฟ้า ทฤษฎีสัมพัทธภาพจะสามารถพิสูจน์ได้โดยอ้อมขอรับ”

เฟอร์นันโดตัดสินใจลงมือในทันที ภายในห้องทดลองเวทมนตร์ เฟอร์นันโดทำตามที่ลูเซียนว่ามาทุกขั้นตอน

จากนั้นเฟอร์นันโดก็ได้รับอนุภาคที่บรรจุพลังงานอยู่เยอะที่สุดเท่าที่เคยมีมา แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา

“ลูเซียน ในรายการเสียงแห่งอาร์คานา เจ้าได้พูดเกี่ยวกับภาพอนาคตของโลก ชีวิต และคุณค่า ในความเข้าใจของข้า ภาพอนาคตของโลกคือวิธีการที่แต่ละบุคคลมองโลกใบนี้ นอกเหนือจากมนุษยชาติและประวัติศาสตร์แล้ว มันก็เท่ากับโลกแห่งปัญญาของคนคนนั้นนั่นแหละ”

ลูเซียนไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเฟอร์นันโดจึงอยากพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้

เฟอร์นันโดแย้มยิ้ม “แต่เมื่อเป็นเรื่องของวิธีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับอวกาศ มันก็ยังเกี่ยวข้องกับภาพอนาคตของชีวิตและคุณค่าอีกด้วย ข้าจึงกำลังคิดว่า… ทำไมเราไม่เรียกเจ้าว่า ‘ผู้ทำลายภาพอนาคตทั้งสาม’ ดีเล่า”

ใบหน้าลูเซียนกระตุกเล็กน้อย เขาไม่รู้สึกเลยว่ามุกตลกของเฟอร์นันโดจะน่าขบขัน

เฟอร์นันโดมองลูเซียนจากบนลงล่างด้วยรอยยิ้มแฝงนัย

“ข้าได้รับบทเรียนจากเจ้าแล้ว ลูเซียน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าจึงยังอยู่ที่นี่หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้ ในตอนนี้ข้านึกสงสัยในระบบทางทฤษฎีทั้งหมดไม่มากก็น้อย แต่สำหรับคนอื่นๆ ลูเซียน เจ้าต้องเปิดเผยทฤษฎีสัมพัทธภาพของเจ้าทีละนิดๆ โดยเฉพาะกับดักลาส ทฤษฎีของเจ้าคือจุดพลิกผันใหญ่หลวงสำหรับเขา และเขาก็ต้องผ่านเรื่องเหล่านี้มามากมายมาตลอดหนึ่งถึงสองร้อยปีที่ผ่านมา ทั้งทฤษฎีแห่งแสง ทฤษฎีควอนตัม… ข้าเกรงว่านี่อาจมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว ข้าหมายถึง ข้าไม่คิดว่าศีรษะของดักลาสจะระเบิดหรือมิติพิเศษของเขาจะพังทลายลงหรอกนะ ไม่แย่ถึงขั้นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับบรูคอาจเกิดขึ้นกับเขาอีกครา การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน”

“อาจารย์ ข้าไม่เคยคิดโยนสิ่งเหล่านี้ใส่ผู้คนโดยตรง แต่ท่านยืนกราน…” ลูเซียนอดบ่นไม่ได้

ลูเซียนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงต่อหน้าเฟอร์นันโด

ทว่า เฟอร์นันโดกลับเมินเฉยลูเซียนไปเสีย “ข้าจะเริ่มจากโอลิเวอร์ก่อน เขาน่าจะเป็นคนที่รับมันได้เพราะเขาได้เห็นปัญหาด้วยตนเองแล้ว จากนั้นข้าก็จะให้เขาส่งงานเขียนของเขาไปพิจารณาเพื่อให้พวกระดับสูงๆ ได้ครุ่นคิด”

“ทำไมถึงต้องเป็นคนในระดับสูงๆ หรือขอรับ” ลูเซียนถาม

“เพราะพวกที่อยู่ต่ำกว่านั้นคงไม่เข้าใจ” เฟอร์นันโดตอบอย่างรวบรัด

แล้วเฟอร์นันโดก็เดินกลับไปยังห้องทำงานช้าๆ พลางเอ่ยว่า

“เจ้าถือว่าอยู่ในระดับเจ็ดแล้วหากดูจากค่าชื่อเสียงอาร์คานา ข้อโต้แย้งระหว่างทฤษฎีคลื่นกับทฤษฎีอนุภาคยังคงดำเนินไป และจำนวนงานเขียนเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยของเจ้าก็กำลังจะเพิ่มขึ้นมากในเร็ววันนี้ จากทั้งหมดนั้น งานชิ้นนี้คงจะทำให้เจ้าเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับแปดได้ แต่ตอนนี้เจ้าควรจะเร่งพัฒนาระดับเวทมนตร์ เพราะอีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นมหาจอมเวทแล้ว เจ้าคงจะได้รับประโยชน์จากการมีคนในระดับตำนานถึงสองคนอาศัยอยู่ในร่างกายเจ้าชั่วคราว และข้าก็มั่นใจว่าทางสภาจะต้องช่วยเหลือเจ้าจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน”

ปัจจุบัน ลูเซียนมีค่าชื่อเสียงอาร์คานาอยู่หมื่นห้าคะแนน ซึ่งหมายความว่าอีกเพียงครึ่งทางเขาก็จะเลื่อนขึ้นสู่ระดับแปด และเขาก็คิดว่ารางวัลค่าชื่อเสียงจากการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยย่อมต้องมหาศาลเป็นแน่

ภายในห้องทำงาน เฟอร์นันโดยื่นปึกกระดาษให้ลูเซียน “ลองดูว่าในนี้มีอะไรตกหล่นหรือไม่ หากไม่มี ข้าก็จะไม่อ่านงานของเจ้า”

ลูเซียนเหลือบมอง แล้วก็พบว่าอาจารย์ของเขาเองก็พลาดสมการมวลสาร-พลังงานไปเหมือนดั่งไอน์สไตน์ เขายิ้มนิดๆ แล้วหยิบปากกาขนนกขึ้นมา

“อาจารย์ มีเพียงสิ่งเดียวที่ตกหล่นไปขอรับ”

ลูเซียนเริ่มเขียนลงบนกระดาษ ปลายปากกาที่ครูดไปบนพื้นผิวส่งเสียงแผ่วเบา เฟอร์นันโดเฝ้ามองกระบวนการการแปลงทั้งหมด แล้วสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปมาหลายครา มันมีทั้งความเคร่งขรึม ตกตะลึง แล้วจากนั้นก็ฉายชัดถึงความตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ลูเซียนยังคงเขียนต่อไป จนสุดท้าย สูตรก็ปรากฏออกมาว่า ‘E=mc^2’

สายฟ้าเส้นหนาวูบผ่านท้องนภาด้านนอกหน้าต่าง ทั้งมิติพิเศษสว่างวาบไปชั่วขณะหนึ่ง

จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง มันทรงพลังมากเสียจนขอบหน้าต่างสั่นสะเทือน

“เป็นเช่นนี้! นั่นคือความหมายของโครงสร้างในส่วนนั้น! การแปลงที่เหมือนกันระหว่างมวลสารกับพลังงาน! ไม่แปลกเลยที่อุณหภูมิสูงอย่างผิดปกติจะเกิดขึ้นได้ในการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย!” เฟอร์นันโดเอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงดังด้วยความตื่นเต้นเบิกบาน

เขาตื่นเต้นมากเสียจนเหมือนกับว่าเขากำลังคำรามอยู่ ในที่สุด เขาก็ได้เห็นทิศทางในการสร้างความคืบหน้าเพื่อเลื่อนระดับขั้นขึ้นอีกโดยใช้การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยและด้วยการผสมผสานทุกศาสตร์แขนงที่เขาเชี่ยวชาญเข้าด้วยกัน!

แม้ว่าโครงสร้างเวทมนตร์ทั้งสอง อย่างปฏิกิริยาฟิวชันกับปฏิกิริยาฟิชชัน จะยังซับซ้อนเกินไปสำหรับเขา และเขาคงต้องใช้เวลานานโขหากจะทำความเข้าใจมันทีละนิดๆ แต่ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวังในการเลื่อนระดับ!

ภายในหอประชุมแสงพิสุทธิ์ แลนซ์ นครศักดิ์สิทธิ์ เหล่าพระคาร์ดินัลหลวงกำลังถกกันถึงรายงานล่าสุดที่ซาร์ดส่งมา

“พวกนักบวชและผู้พิทักษ์ราตรีในสังฆมณฑลโฮล์มเชื่อถือมิได้” นักบุญเมลแม็กซ์ ผู้นำกองอัศวินของวิหาร กล่าว

คนที่เหลือต่างนิ่งเงียบ พวกเขารู้ดีว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เหล่านักบวชจิตใจสั่นคลอน ส่วนหนึ่งก็เพราะพระสันตะปาปาคอยปรับปรุงแก้ไขทฤษฎีพื้นฐานของศาสนศาสตร์ หากพวกเขาพูดอะไรไม่เข้าหู พระสันตะปาปาก็อาจโมโหได้

“หากเราเลือกที่จะก่อสงครามในตอนนี้ นักบวชและผู้พิทักษ์ราตรีส่วนใหญ่ในสังฆมณฑลโฮล์มก็คงพร้อมสู้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี แต่บัดนี้ เรายังไม่พร้อมสำหรับสงคราม เราต้องแบ่งกำลังส่วนใหญ่ไปที่มิติใหม่ซึ่งมีประชากรและทรัพยากรอยู่มากมายล้นเหลือ” เบเนดิกต์ที่สองเอ่ยเสียงเรียบเย็น “เพราะฉะนั้นจงทำตามที่ซาร์ดเสนอมา ลงโทษผู้พิทักษ์ราตรีกลุ่มนั้นและเรียกรวมพลพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดง รวมถึงอะเมลตัน”

ฟิลิเบลพยักหน้าระรัว “ตามบัญชาขอรับ ท่านผู้ทรงศีลสูงสุด ข้าจะส่งพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงคนใหม่ไปประจำในคณะไต่สวนขอรับ”

มิมีผู้ใดเอ่ยคัดค้านเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย

ภายในคริสตจักรแห่งอาภา ซาร์ดได้รับสารที่เขียนตอบกลับมาแล้ว เขาลูบแผ่นกระดาษแผ่วเบาพลางยิ้มเยือน

เมื่อปลายนิ้วของเขาลูบผ่าน ตรงส่วนท้ายของรายนามผู้ถูกลงโทษก็ปรากฏชื่อใหม่ขึ้น… จูเลียนา

แต่บทลงโทษของนางนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับโทษทัณฑ์ของผู้พิทักษ์ราตรีอีกสองคนที่ทำร้ายบารอนออสติน นางจะถูกกุมขังอยู่ในคุกเป็นเวลาหนึ่งปี แต่อีกสองคนจะได้รับโทษตาย

“เรียกอ็อกเทฟมาที” ซาร์ดกล่าวกับพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงที่อยู่ด้านนอกผ่านทางวงแหวนศักดิ์สิทธิ์

ครู่ถัดมา อ็อกเทฟก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของซาร์ด สีหน้าเขาดูหม่นหมองและเศร้าซึมอย่างยิ่ง เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า เขาเพิ่งจะถูกกระชากลงจากตำแหน่งและหน้าที่ในฐานะหัวหน้าคณะไต่สวน!

ตำแหน่งนั้นเป็นรองเพียงหัวหน้าสังฆมณฑลเท่านั้น

อ็อกเทฟรู้สึกว่ามันหาใช่ความผิดของเขา พวกผู้พิทักษ์ราตรีหัวรุนแรงมักจะปรากฏกายทุกๆ ปีอยู่แล้ว

การสังหารขุนนางที่ฟังเสียงแห่งอาร์คานาจะนับเป็นอะไรได้

หรือพวกเขาควรจะเฝ้ามองความชั่วร้ายแพร่ขยายไปโดยไม่ทำอะไรกันเล่า

ศาสนจักรชักจะขลาดเขลามากขึ้นทุกวันๆ!

ขณะเดินเข้ามาในคริสตจักรอาภา อ็อกเทฟสัมผัสได้ถึงสายตาเห็นใจจากเหล่านักบวช เขาคิดในใจกับตนเองว่า

‘ท่านผู้ทรงศีลสูงสุด ท่านเห็นหรือไม่ พวกเขาคิดว่าข้ามิได้ทำผิด! การตัดสินใจของท่านหาได้เหมาะสมไม่!’

20 มิถุนายน หลังจากจบพิธีฝังพระบรมศพของราชาเฟลติสและเจ้าชายแพทริก

นาตาชาในชุดกระโปรงยาวสีดำมีนัดพูดคุยกับเคานต์เจมส์ รัสเซล และเฮ็นสัน

“ทางศาสนจักรได้ตัดสินโทษแล้ว ผู้พิทักษ์ราตรีสองคนที่นำขบวนการนี้จะถูกประหาร และผู้พิทักษ์ราตรีที่เกี่ยวข้องจะได้รับโทษที่แตกต่างกันไป ท่านไปบอกครอบครัวของบารอนออสตินได้เลย และช่วยบอกด้วยว่าข้าขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” นาตาชากล่าวขณะกอดอก

เคานต์เจมส์มิใคร่จะพอใจนัก “เพียงผู้พิทักษ์ราตรีอย่างนั้นหรือพะยะค่ะ พวกคนบ้าย่อมไม่เข็ดหลาบ! เราไม่อาจอยู่อย่างหวาดกลัวไปได้ตลอดนะพะยะค่ะ! หัวหน้าคณะไต่สวนควรจะต้องได้รับโทษ และผู้พิทักษ์ราตรีคนใดก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะมีความคิดรุนแรงสุดโต่งก็ควรจะถูกควบคุมและสังหารเสีย! นั่นคือสิ่งที่เหล่าขุนนางเชื่อพะยะค่ะ อย่างน้อยก็พวกเราส่วนใหญ่ และนี่ก็เพื่อความปลอดภัยของพระองค์เองด้วยพะยะค่ะฝ่าบาท!”

ความจริงแล้ว บทลงโทษถือว่าพอรับได้แล้วสำหรับเขา เขารู้ดีว่าทางศาสนจักรได้ทำการประนีประนอมให้มากแล้ว เขาเพียงแต่พูดเช่นนี้ก็เพื่อดูทัศนคติของนาตาชา

เคานต์เฮ็นสันและรัสเซลพยักหน้า

นาตาชาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แน่นอนว่าทางศาสนจักรเป็นฝ่ายผิด เพราะพวกเขาไม่ได้จับตามองพวกผู้พิทักษ์ราตรีหัวรุนแรงเอาไว้ แต่พวกเขาก็ได้ขออภัยและตัดสินโทษที่พอรับได้แล้ว การตายของฆาตกรย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่บารอนออสตินอยากจะให้เกิดขึ้น อีกอย่าง อ็อกเทฟเองก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่งแล้ว ข้าเชื่อว่านักบุญซาร์ดจะต้องคอยดูแลให้พวกคนบ้าอยู่กับร่องกับรอยเป็นแน่ ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน แต่สิ่งที่ท่านร้องขอนั้นต้องใช้เวลา”

เคานต์เจมส์ผิดหวังนิดๆ “เราเคารพในพระวินิจฉัยของฝ่าบาทพะยะค่ะ”

หลังออกมาจากพระราชวังเนคโซ ทั้งรัสเซลและเฮ็นสันต่างกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถม้าของเจมส์ แต่พวกเขากลับไม่พูดอะไรเลยระหว่างทาง

ในตอนที่พวกเขาเกือบจะไปถึงคฤหาสน์ รัสเซลก็ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยทำลายความเงียบ “ฝ่าบาทเป็นผู้ศรัทธาในศาสนจักรมานับแต่ยังเยาว์วัย และพระองค์ก็เติบโตมาในอัลโต้ ที่ที่ศาสนจักรเรืองอำนาจและแข็งแกร่งมากที่สุด มันก็สมเหตุสมผลที่พระองค์จะเอียงไปทางศาสนจักรเล็กน้อย เราอย่าคิดในแง่ร้ายจนเกินไปจะดีกว่า”

“แต่ข้าเกรงว่านี่อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น อาจารย์ของพระองค์คือเบลเลีย พระสิริแห่งพระเจ้าเชียวนะ” เจมส์เอ่ยด้วยใบหน้างอง้ำ

เคานต์เฮ็นสันพยักหน้า แล้วพูดเสียงแผ่วเบาลง “เราต้องเตรียมพร้อม เผื่อว่า…”

ในตอนนั้นเอง ม้าเกล็ดมังกรก็ขยับเข้ามาใกล้ห้องโดยสาร เป็นหนึ่งในอัศวินของเจมส์

“เกิดอะไรขึ้น” เจมส์ถาม

สีหน้าของอัศวินดูจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างไรมิทราบ “ฝ่าบาทไปเยี่ยมเยือนหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์มเพื่อพบกับผู้อาวุโสขอรับ”

“อะไรนะ” เคานต์เฮ็นสันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง โลกใบนี้คล้ายกับจะคลุ้มคลั่งไปแล้วในสายตาเขา

ในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ภายในหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม นาตาชากำลังรอเข้าพบสมาชิกในราชวงศ์ที่เป็นนักเวท นางกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าต้องขอบคุณผู้พิทักษ์ราตรีหัวรุนแรงพวกนั้นจริงๆ มิเช่นนั้นข้าคงจะหาโอกาสมาที่นี่ไม่ได้ หากดยุกเร็กซ์ถาม ข้าก็จะบอกว่าข้ามาที่นี่เพื่อให้ความมั่นใจกับกลุ่มเสรีนิยม ศาสนจักรสร้างปัญหาเหล่านี้ขึ้น พวกเขาย่อมไม่พูดอะไรถึงเรื่องนี้แน่”

แต่นาตาชาก็ตระหนักดีว่าการมาเยี่ยมเยียนหอคอยเวทมนตร์คือที่ที่นางไปได้ไกลที่สุดแล้ว นางไม่อาจไปเยือนอัลลินได้ โฮล์มยังพอทำเนาเพราะมีตระกูลขุนนางหลายตระกูลมารวมตัวกันที่นี่

“พระองค์คงมิได้มาที่นี่เพื่อเรื่องนั้นใช่ไหมเพคะ” คามิลถาม นางรู้จักนาตาชาเป็นอย่างดี

บัดนี้นาตาชามีสีหน้าจริงจังขึ้น “ข้าทำตามคำแนะนำของลูเซียนแล้วเก็บเส้นผมกับชิ้นเนื้อบางส่วนมาจากท่านลุง หลังจากตรวจสอบพวกมัน เราจะรู้ได้ถึงอายุที่แท้จริงของท่านลุงยามที่ท่านเสียชีวิต เพื่อดูว่าท่านได้รับผลจากพลังของ ‘เจ้าแห่งกาล’ หรือไม่ นี่นับเป็นหลักฐานที่หนักแน่นอย่างยิ่ง เพราะเวลาจะทิ้งร่องรอยไว้เสมอ!”

“เจ้าแห่งกาลอาจปรับเปลี่ยนเวลาหลังจากที่เจ้าชายสิ้นพระชนม์ก็ได้เพคะ” คามิลกล่าว นางไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับข้อจำกัดทางด้านความสามารถของคริโทเนีย

นาตาชาส่ายหน้า “เขาย้อนเวลากลับไม่ได้ อีกอย่าง ลูเซียนบอกข้าว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะต้องเกิดขึ้นในขณะที่ผู้คนยังมีชีวิตอยู่ เว้นแต่ว่าเขาจะเคยทำให้ท่านลุงฟื้นคืนชีพมาแล้วครั้งหนึ่ง”

“พวกนักเวทมีลูกไม้แพรวพราวเสมอ” คามิลตอบ แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม

นาตาชาเหม่อมองออกไปยังนครเรนทาโตจากหอคอยสูง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ร่าเริงขึ้นมาเล็กน้อย “ข้ารู้จักกับลูเซียนมาหลายปีแล้ว แต่ข้าไม่เคยมีโอกาสได้ฉลองวันเกิดของเขากับเขาเลย ช่วงก่อนข้ารู้สึกหัวเสียไม่น้อยที่ข้าคงจะต้องพลาดวันเกิดในครานี้เช่นกัน แต่ในเมื่อตอนนี้ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์และเขตการปกครองของดยุกเร็กซ์ช่วงกลางวันแล้วกลับมาที่นี่ช่วงเย็นเพื่อฉลองวันเกิดกับลูเซียน!”

นาตาชาครุ่นคิดกับตนเองว่านางควรจะมอบของขวัญแบบใดให้ลูเซียนดี

นางเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องนั่งเล่น แต่แล้วก็สังเกตเห็นว่าคามิลกำลังจ้องมองนางอยู่

“อะไรหรือ ท่านน้าคามิล”

“ทอดพระเนตรไปที่กระจกดูสิเพคะ” คามิลตอบ พลางพยักพะเยิดคางไปทางกระจกตรงมุมห้อง

นาตาชามึนงงสับสัน แต่ก็ทำตามที่คามิลว่า ในกระจกนั้น นางเห็นสตรีผมสีม่วงที่พวงแก้มแดงปลั่งด้วยความปิติและตื่นเต้น ใบหน้าของนางเปล่งประกายเพราะรอยยิ้มหวานหยดที่ฉายชัดบนริมฝีปากและดวงตาของนาง

“ข้าดู… ต่างออกไป” นาตาชาพึมพำด้วยความประหลาดใจ

นาตาชาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่นางเป็นเช่นนี้ก็เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นางยังอยู่กับซิลเวีย

คามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พระองค์ตกหลุมรักกับลูเซียน อีวานส์ แล้วเพคะ”

นางมิได้ถามไถ่ แต่เป็นการพูดความจริงออกมา

“อะไรนะ!” ดวงตาของนาตาชาเบิกโพลงราวกับนางเพิ่งจะถูกสายฟ้าฟาดใส่

……………………………………

[1] ความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างตัวแปรสุ่มตั้งแต่สองตัวแปรขึ้นไป

[2] สเปกโทรสโกปีคือ การศึกษาปฏิกิริยาระหว่างการแผ่รังสีกับสสารในรูปของฟังก์ชันความยาวคลื่น จะอ้างถึงการกระเจิงของแสงที่ตามองเห็นตามขนาดความยาวคลื่นของมัน เช่น การกระเจิงของแสงผ่านปริซึม นอกจากนี้ยังเป็นการวัดปริมาณใดๆ ที่อยู่ในรูปฟังก์ชันของทั้งความยาวคลื่นและความถี่ และยังครอบคลุมเรื่องของพลังงานในฐานะตัวแปร