เฉียวเหลียงมองถังซี ใบหน้าเธอเป็นสีระเรื่อราวกับปัดด้วยบลัชออน เธอดูน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ยิ่งเมื่อทำสีหน้าแง่งอนและหลิ่วตามองเขา ยิ่งสวยจนชวนตะลึง เฉียวเหลียงนิ่งงันมึนงงไปด้วยความงามของเธอ เมื่อเห็นว่าเฉียวเหลียงไม่ตอบ ถังซีก็นิ่วหน้า บอกกับเขาเหมือนเด็กๆ ว่า “กอดหน่อยสิ”
เฉียวเหลียงเหลือบมองเธอด้วยสายตาเต็มเปี่ยมด้วยความรัก เขาก้มลงช้อนร่างเธอขึ้นจากเก้าอี้ และเดินออกจากภัตตาคาร ถังซีพิงซบอกเฉียงเหลียง พลางกล่าวอย่างมึนๆ ว่า “อุ้มฉันกลับไปถึงบ้านเลยได้ไหม ฉันอยากกลับบ้านในอ้อมแขนคุณ”
เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว ก้มลงมองถังซี ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนถามว่า “อยากไปเดินเล่นริมแม่น้ำแซนไหม”
ถังซีพยักหน้าอย่างว่าง่ายเมื่อได้ยินคำว่า ‘เดินเล่น’ เธอตอบเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ไปสิ ไปเดินเล่นริมแม่น้ำแซนกัน”
ดวงตาเธอหรี่ลงอย่างน่าเอ็นดู ขณะกล่าวประโยคนั้น เฉียวเหลียงชำเลืองมองเธอ ถามว่า “เดินเองได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้” ถังซีสั่นศีรษะ “ฉันอยากให้คุณอุ้มฉันเดินเล่นริมแม่น้ำแซน อยากไปสูดอากาศสักหน่อย แต่ไม่อยากเดินเอง”
“ไม่เอาน่า อย่าทำตัวเป็นเด็กสิ” เฉียวเหลียงจ้องมองถังซีผู้น่าเอ็นดู และทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่า ให้เธอดื่มเหล้าเมาบ้างก็ไม่เลวนัก ดูสิ เธอช่างน่าเอ็นดูเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย เวลาปกติที่เธอกับเขาอยู่ด้วยกันเธอเอาแต่กลัดกลุ้มกังวลใจ ถ้าไม่เกี่ยวกับตระกูลเซียว ก็เกี่ยวกับสุขภาพของมารดาเขา หรือไม่ก็เรื่องของคนตระกูลถัง เธอไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย ในอดีตที่ผ่านมา แม้ระหว่างเขาทั้งสองจะเต็มไปด้วยความรักความไว้วางใจ แต่ก็ไม่เคยมีช่วงเวลาหวานๆ อย่างที่เขากำลังได้สัมผัสอยู่ในขณะนี้
ถังซีโอบแขนไปรอบคอเฉียวเหลียง ถูไถหน้าผากไปมาตรงซอกคอเขา ขณะกล่าวว่า “ไม่สนหรอก ฉันอยากให้คุณอุ้มฉันไปเดินเล่น เข้าใจไหม” เธอทำปากยื่น พูดกับเขาอย่างน่ารัก…
ทันใดนั้น เฉียวเหลียงก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในอนาคตเขาต้องไม่ให้เธอไปดื่มเหล้าเมากับคนอื่น นอกจากอยู่กับเขาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องคลั่งตายแน่หากมีใครได้เห็นถังซีในสภาพน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ เฉียวเหลียงพยักหน้าตกลง แต่แล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามถังซีว่า “ถ้าผมอุ้มคุณไปเดินเล่น คุณจะรู้ไหมว่าผมคือใคร”
“คุณก็คือเฉียวเหลียง บอดีการ์ดของฉัน บอดีการ์ดของฉันแต่เพียงผู้เดียว และเป็นบอดีการ์ดของฉันไปชั่วชีวิต!” กล่าวจบเธอก็จุมพิตที่ริมฝีปากเขา แล้วบอกว่า “คุณเป็นของฉันได้เพียงคนเดียวเท่านั้น นี่ไง ประทับตราไว้แล้ว”
เฉียวเหลียงอึ้งไป ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล่าวเช่นนั้น เขาจึงรู้สึกประหลาดใจ ถังซีทำปากยื่น มองเฉียวเหลียงอย่างไม่พอใจ เฉียวเหลียงจึงมองหน้าเธอแล้วถามว่า “เป็นอะไรไป”
ถังซีทำเสียงขึ้นจมูก “ไหนตราประทับของคุณล่ะ ฉันอยากให้คุณประทับตราให้ฉันด้วย!”
เฉียวเหลียงหัวเราะอยู่ในลำคอ ก้มศีรษะลงจูบแก้มเธอ แล้วมองหน้าเธอด้วยสายตาเปี่ยมความรัก ถามว่า “ใช้ได้ไหม”
ถังซีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตอบเขาว่า “ใช้ได้ ทีนี้เราก็ไปเดินเล่นกัน” ถังซีชี้นิ้วไปทางลิฟต์แล้วร้องว่า “ไปขึ้นไทม์มะชีนกัน แล้วเดินทางข้ามเวลาไปแม่น้ำแซน!”
เฉียวเหลียงอุ้มถังซีเข้าไปในลิฟต์ เมื่อทั้งสองออกมาจากหอไอเฟล สายลมเย็นเยือกพัดมาวูบหนึ่ง ถังซีไม่ได้สวมเสื้อโค้ต เฉียวเหลียงนิ่วหน้าแล้ววางถังซีลงเพื่อถอดเสื้อโค้ตของเขาสวมให้ถังซี แต่ถังซีส่งเสียงงอแงเบาๆ ส่ายศีรษะไปมา กล่าวว่า “ฉันไม่อยากใส่เสื้อโค้ต!”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว ดุเธอว่า “ทำตัวดีๆ ใส่เสื้อผมเถอะ”
ถังซีสั่นศีรษะแรงๆ เบียดร่างเข้าหาอ้อมแขนเขา แล้วกอดเขาไว้แน่นเพื่อไม่ให้เขาขยับตัว เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา กัดฟันบอกว่า “ฉันอยากให้คุณกอดฉันไว้ ไม่ได้อยากใส่โค้ตของคุณ”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วมองถังซี แต่ถังซียังคงดื้อดึง ในที่สุดเฉียวเหลียงก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้เสื้อโค้ตห่อตัวเธอไว้ แต่ร่างถังซีก็ยังโดนลมพัดจนสั่นสะท้าน เขาขมวดคิ้วขู่เธอว่า “ผมจะไม่กอดคุณไว้ ถ้าคุณไม่ยอมสวมเสื้อดีๆ”
ถังซีผลักเฉียวเหลียงออกห่าง แล้วเน้นเสียงว่า “ฉันไม่ใส่เสื้อของคุณ! ถ้าคุณไม่กอดฉันไว้ ฉันจะเดินไปเอง!”
เฉียวเหลียงอึ้ง “…” เด็กผู้หญิงอะไรดื้อขนาดนี้! อยากจะเขกกะโหลกสักทีให้ได้สติขึ้นมาบ้าง! ถึงแม้เวลาเมาจะน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน แต่ก็ดื้อกว่าปกติยิ่งขึ้นไปอีก!
ถังซีตัวสั่นสะท้านเพราะลมหนาว แต่ยังคงเชิดใบหน้าเล็กๆ ที่น่ารักนั้นขึ้น จ้องเฉียวเหลียวด้วยสีหน้าเอาจริง ทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากันนิ่งอยู่ราวสิบวินาที ในที่สุดเฉียวเหลียงก็ยอมแพ้ เขากางแขนออก กล่าวว่า “มานี่ เร็วสิ”
เมื่อเห็นดังนั้น ถังซีก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงรีบโอบร่างเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างถังซีเย็นเฉียบ เขาก็ยิ่งรัดวงแขนแน่นขึ้น “เด็กอะไรดื้อจริงๆ!”
ถังซีหัวเราะในลำคอ “ไม่ได้ดื้อ น่ารักต่างหาก”
เฉียวเหลียงหัวเราะ แตะปลายจมูกเธอเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าเล่ห์น่ะสิ!”
ถึงตอนนี้ทั้งคู่จะรู้สึกอบอุ่นสบาย แต่เดินไม่สะดวก… เฉียวเหลียงมองหน้าถังซี แล้วอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา “อยากให้เรายืนกันอยู่แบบนี้หรือ”
ถังซีก้มลงมองตัวเอง “คือ…” หลังจากโดนลมเย็นยะเยือกไปแล้ว เธอก็สร่างเมาลงบ้าง เธอแอบชำเลืองมองเฉียวเหลียง ยิ้มอายๆ บอกเขาว่า “เอาอย่างนี้ไหม… ฉันจะอยู่ข้างหน้าคุณ แล้วคุณก็โอบฉันเดินจากด้านหลัง”
“แล้วคุณจะไม่อายใครๆ เหรอ” เฉียวเหลียงก้มลงมองหน้าถังซี เมื่อถามเธอว่า “ผมเห็นมีคนถ่ายรูปเราไว้ตั้งหลายคน พรุ่งนี้คงจะมีข่าวพาดหัวว่า ‘ท่านประธานเอ็มไพร์กรุปแอบไปออกเดตกับบอดีการ์ดที่หอไอเฟล’ หรือ ‘ประธานบริษัทบ้าอำนาจกับบอดีการ์ดของหล่อน’ หรือไม่ก็ ‘เรื่องรักลับๆ ที่หอไอเฟล ระหว่างประธานเอ็มไพร์กรุปกับบอดีการ์ดของเธอ’ …”
“เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณปู่ ฉันว่าฉันเดินเองจะดีกว่า” ถังซีถอยออกมาจากอ้อมแขนเฉียวเหลียง ยิ้มให้เขาขณะถามขึ้นว่า “อาหกไปอยู่เสียที่ไหนล่ะคะ”
“พวกมันอยู่นั่นไง! ไปจับตัวมา!” ทันใดนั้นก็มีเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นทางเบื้องหลังถังซี เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว ดึงถังซีให้ไปหลบด้านหลังเขา สายตาจ้องไปที่ชายวัยกลางคนตรงหน้า ถังซีก็จ้องมองชายคนนั้นเช่นกัน เธอแสดงสีหน้าไม่พอใจ ถามขึ้นเสียงเยือกเย็นว่า “ยังเจ็บตัวไม่พออีกหรือไง”
เฉียวเหลียงมองหน้าถังซี เธอยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ รีบเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับชายคนนี้ หลังจากเฉียวเหลียงได้ฟังเรื่องที่เธอเล่า สีหน้าเขาก็เครียดเคร่งขึ้นอย่างน่ากลัว เขาจ้องหน้าชายผู้นั้น ซึ่งมีผู้ติดตามมาด้วยประมาณแปดเก้าคน แล้วกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รนหาที่ตายซะแล้ว”
เมื่อจบประโยค ก่อนที่ชายคนนั้นจะทันไหวตัว เฉียวเหลียงก็เอาเสื้อโค้ตคลุมให้ถังซี แล้วหันไปจัดการกับสมุนของชายคนนั้นร่วงไปจนหมดภายในเวลาเพียงหนึ่งนาที เหล่าผู้ติดตามของเฉียวเหลียงที่แอบอยู่ในเงามืดตามคำสั่งของเจ้านาย ต่างก็มึนงงกันไปหมด เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า
“…”
นายน้อยเรียกพวกเขามาติดตามเพื่อให้มาดูการแสดงนี้หรือ ไม่น่าเลย นายน้อยช่างเป็นคนหลงตัวเองเสียเหลือเกิน นี่คงจะเรียกพวกเราให้มาชมฝีมือการต่อสู้ของเขาสินะ! โธ่ นายน้อย เรารู้ดีอยู่แล้วว่าคุณเก่งกาจแค่ไหน ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย!