ตอนที่ 752 ลงลึก
หลังจากส่งฟานเจี้ยนไปแล้วชูฮันก็สูดลมหายใจลึก พยายามจะปรับความอึดอัดในใจและออกคำสั่งท่ามกลางความเงียบที่มืดมิด “ไปที่สถาบันวิจัย”
เที่ยงคืนเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการลอบเข้าไปในสถาบันวิจัยของค่ายหนานตู้เพราะจุดสำคัญคือมันเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนกะของเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรยามทั้งหลายในสถาบันวิจัย ทุกอย่างด้านในถูกเหมิงชีเหว่ยจัดการไว้หมดแล้ว ชูฮันเพียงแค่ต้องจัดการลอบเข้าไปโดยอาศัยช่วงเวลาเปลี่ยนกะของเวรยามเท่านั้น
มันเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันสูงสุดในค่ายหนานตู้มีคนทำงานและคอยเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเพราะชูฮันที่ไม่ได้มีเส้นสายอะไรที่นี้ ดังนั้นเขาจึงหวังพึ่งคนของเหมิงชีเหว่ยเพียงอย่างเดียว อย่างเช่นในตอนนี้ ไม่ห่างออกไปคนของเหมิงชีเหว่ยกำลังถ่วงเวลาเจ้าหน้าที่เวรยามโดยการส่งบุหรี่ให้ และครึ่งหนึ่งของคนที่ทำหน้าที่ส่งอาหารให้เจ้าหน้าที่ที่สถาบันวิจัยนี้ก็เป็นคนของเหมิงชีเหว่ย
ต้องบอกได้ว่าเหมิงชีเหว่ยได้พัฒนาความสามารถในการสร้างกองกำลังใต้ดินขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
เมื่อมาถึงห้องเรียบๆธรรมดาซึ่งมีคนหนึ่งอยู่ภายในห้องชูฮันก็ก้าวเข้ามาและได้เห็นใบหน้าอ่อนวัย สีหน้ามีความหวาดกลัวฉายอยู่บน ชายหนุ่มภายในห้องผุดลุกขึ้นยืนทันทีขณะผายมือไปทางเสื้อผ้าที่จัดวางไว้ “หัวหน้าครับ นี้คือเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนครับ”
ชูฮันคว้ามาอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆความมืด “การกระทำครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่มั่นใจเถอะว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คนของฉันจะปกป้องคุณออกไปจากเมืองอย่างปลอดภัยเอง”
”ไม่ไม่ ไม่ครับ” นักวิจัยหนุ่มพลันหน้าแดงด้วยความอึดอัด “มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอหัวหน้า ผะ ผม เลยตื่นเต้น ตื่นเต้นมากครับ!”
ชูฮันเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นก็มองนักวิจัยหนุ่มตรงหน้า
”หัวหน้าเอ่อ ผมคือเฉินเจิ้นครับ” นักวิจัยหนุ่มตรงหน้าชูฮันชื่อเฉินเจิ้น พยายามจะดึงความสนใจของชูฮัน “ขณะที่ผมเข้าร่วมกับเหมิงชีเหว่ย ทันทีที่ผมได้ยินชื่อหัวหน้าและผมเองก็ติดตามชื่นชมหัวหน้ามาตลอด ความฉลาดของหัวหน้านั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด แม้กระทั่งเราอยู่หนานตู้หัวหน้ายังสามารถสร้างเครือข่ายของพวกเราขึ้นมาได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ชูฮันก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เขามองอีกฝ่ายที่มองมาที่ตัวเขาด้วยแววตาตะลึง เฉินเจิ้นที่ระบบล่มสลายแสดงให้เขาเห็นถึงระดับความจงรักภักดีที่ค่อนข้างสูงของอีกฝ่ายทำให้ชูฮันไม่ได้เกิดความรู้สึกสงสัยอีกฝ่ายอีก แต่เมื่อนึกถึงกองกำลังใต้ดินของเหมิงชีเหว่ยแล้ว รากฐานสำคัญที่ทำให้กองกำลังสามารถพัฒนาเติบโตได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้มันเป็นเพราะทุกคนร่วมมือร่วมใจต่างหากมากกว่า
แววตาของชูฮันมีประกายวาบผ่านแม้มันจะเป็นกองกำลังใต้ดินแต่ชูฮันรู้ดีว่าคนพวกนี้ยอมละทิ้งอนาคตอันรุ่งโรจน์ของตัวเองและยินดีจะทำงานเบื้องหลังโดยไม่มีใครรับรู้ ที่จริงเรียกได้ว่าพวกเขาคือสมาชิกของกองทัพเขี้ยวหมาป่า เป็นประชากรของค่ายเขีย้วหมาป่า เป็นหนึ่งในหน่วยงานลับของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่แตกตัวออกมา
ด้วยความคิดนั้นชูฮันจึงตบไหล่เฉินเจิ้นเบาๆ หากไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่มีเสียงใดๆทั้งนั้น
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมันก็ไม่เหลือเวลานานหลังก่อนที่จะถึงเวลาเปลี่ยนกะ เฉินเจิ้นจึงรีบรวบรัดเวลาที่มีบอกข้อมูลทั้งหมดในชูฮันได้รู้ “หัวหน้า จะต้องตะล่อมเดินไปตามทางข้างๆ เวลามองจากทางด้านหลังในตอนกลางคืน ผมกับหัวหน้าเราจะดูเหมือนกัน จะไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหัวหน้าคือใคร ทุกคนจะคิดว่าหัวหน้าคือผม การจะปลดล็อคประตูเข้าไปด้านในจะต้องใช้ลายมือนิ้วในการปลดล็อครหัสผ่าน ดังนั้นผมจึงไม่มีทางอื่นที่จะช่วยหัวหน้าได้เลยครับในส่วนนี้”
ชูฮันพยักหนัารับเขาเข้าใจว่ามันยากที่จะเจาะเข้ามาในสถาบันวิจัยที่มีระบบป้องกันหนาแน่นขนาดนี้
เฉินเจิ้นไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดชั่วร้ายในหัวของชูฮันเลยสักนิดเขายังคงเอ่ยบอกรายละเอียดแก่ชูฮันต่อ “ในหนึ่งกะนี่ หัวหน้าจะต้องเข้าเวรร่วมกับเจ้าหน้าที่อีกสามคน สามคนนี้เป็นคนที่แปลกมาก คนของเราพยายามนับครั้งไม่ถ้วนที่จะเข้าร่วมวงกับพวกเขาแต่ผลลัพธ์คือล้มเหลวเสมอ ผมสงสัยว่าพวกเขาจะเป็นคนของค่ายอื่นที่ส่งมาเป็นสายลับ เพราะงั้นหัวหน้าต้องระวังนะครับ แต่ปกติแล้วพวกเขามักเพิกเฉยและไม่สนใจใคร หัวหน้าแค่เข้าไป พยายามหลีกเลี่ยงพวกเขา แค่อย่าให้พวกเขาได้เห็นหน้าของหัวหน้า มันก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”
ชูฮันสวมหมวกและหน้ากากตามมาตราฐานของสถาบันวิจัยหลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ชูฮันก็เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยในใจออกมา “ชื่อของทั้งสามคนคืออะไร?”
”กวงโถวเสี่ยติง และต้าเหวิน ครับ” เฉินเจิ้นตอบทันที หากถัดมาน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นวิตกกังวลขณะชี้นิ้วบอกชูฮัน “หัวหน้าต้องดึงปีกหมวกให้ต่ำกว่านี้ครับ แววตาของผมไม่ได้ดุดันเหมือนกับหัวหน้า! ทุกคนจะรู้ทันทีที่เห็นดวงตาหัวหน้า แววตาหัวหน้ามันชัดเจนมาก หัวหน้าต้องอย่าสบสายตากับใครนะครับ!”
ชูฮันยิ้มเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู”หัวล้านใช่มั้ย?”
”โอ้ใช่ครับ หัวหน้าพวกเขามาแล้วครับ” เฉินเจิ้นประหม่าจนหน้าซีด สายตาหลุกหลิกขณะสลับประตูและหน้าต่างไปมา
ชูฮันเพียงแค่ยิ้มบางๆก้าวเท้าออกมา
”ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย?เดี๋ยวทั้งสามคนจะรอเอานะ” ชูฮันพูดเสียงนิ่งและออกเดินนำไปโดยไม่พูดอะไรอีก มุ่งหน้าไปทางสถาบันวิจัยพยายามทำตัวไร้ตัวตน ไม่ให้โดดเด่น ทำตัวเหมือนกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงฝีเท้าที่ดังต่อเนื่องปกติขึ้นตามทางเดิน การกระทำของพวกเขามันไม่มีอะไรโดดเด่นหรือดึงดูสายตา ทั้งสี่คนเดินตามกันไปเพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนกะท่ามกลางความเงีบบ มุ่งหน้าสู่เส้นทางแห่งความมืด
ตลอดทางเพราะเป็นชูฮันที่เดินรั้งด้านหลังเฉินเจิ้นมันจึงทำให้เขามีโอกาสมากมายได้สำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ แต่เป็นเพราะความมืดมันปกคลุมไปทั่วทุกที่ ทั้งยังมีแต่พุ่มไม้เหมือนกันเต็มไปหมด มันจึงยากที่จะบอกเส้นทางและตำแหน่งเจาะจง หากการศึกษาของเขาทำให้เขารู้ว่าแทบทุกค่ายจะตั้งสถาบันวิจัยไว้ในจุดที่หลีกเลี่ยงสายตาของชาวบ้านภายในค่าย เพื่อหลบหนีความวุ่นวาย และเพื่อไม่ให้ใครรับรู้หรือแทรกแซงงานวิจัยได้ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาตำแหน่งและทางเข้าไปด้านในของสถาบันวิจัย
ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาโชคดีที่ได้รับผลพลอยได้จากเหมิงชีเว่ยและต้องขอบคุณกองกำลังใต้ดินที่เคลื่อนไหวและจัดเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้ามันจึงช่วยย่นระยะเวลาให้ชูฮันได้ไปไม่น้อยเลย
ขณะที่กำลังสังเกตการณ์อยู่นั้นทันใดนั้นชูฮันก็บังเอิญเห็นมีคนสองสามคนกำลังเดินมาตรงหน้าเขา เฉินเจิ้นจึงรีบหลบออกไป
ช่างน่าบังเอิญที่คนที่ปรากฏตรงหน้าชูฮันเป็นผู้ชายร่างสูงกำยำและด้วยขนาดตัวที่ใหญ่เขาจึงบังผู้ชายที่ตามหลังมาสองคนจนมิดดูแข็งกร้าวและมีอำนาจ สะดุดสายตาเพราะหัวที่ล้าน ร่างกายใหญ่โตและหัวล้าน!
ชูฮันบิดปากเขารู้สึกว่าชื่อมันคุ้นๆ กลายเป็นว่ามันแปลกมาก เพราะอีกสองคนที่ถูกบังจนมิดก็หัวล้านเหมือกนัน สรุปแล้วว่าทั้งสามคนหัวล้านเหมือนกันหมดและเป็นคนที่เขาคุ้นเคยดี น่าอัศจรรย์จริงๆ!
ขณะที่ชูฮันกำลังคิดอยู่ในหัวชายหัวล้านร่างใหญ่ตรงหน้าชูฮันก็ออกคำสั่งดังลั่น “มาสิ ไปเข้ากะ อย่าลืมว่าต้องรายงานทันที!”
ทันทีที่เสียงหายไปกับสายลม
ประตูทางเข้าสถาบันวิจัยก็เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินที่เต็มไปด้วยแสงสว่างสีขาว