ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดว่า “เถียนเถียน เธอก็อย่าไปฟังเขาพูดจาเพ้อเจ้อเลย เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ อยากแกล้งให้เธอยิ้มเท่านั้นเอง”
“ฉันก็ว่าแล้ว…จินเหลียน เพื่อนเธอนี่ตลกจัง!” เถียนเถียนยิ้มออกทั้งตาและคิ้ว
“นี่เป็นของที่ฉันซื้อตอนเดินเล่นที่ริมชายหาดน่ะ ราคาแค่ห้าหยวนเอง ขายตามถนนโบราณแถวนั้น ถ้าเธออยากซื้อก็ลองไปดูสิ” ซีเหมินจินเหลียนโกหกไปอย่างไหลลื่น เพราะยังไงถนนโบราณแถวนั้นก็มีร้านค้ามากมาย ถ้าเถียนเถียนจะหาไม่เจอ ก็คงจะไม่โทษว่าเธอโกหก
จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนพูดไปอย่างนั้น ก็ได้แต่ส่งยิ้ม ถ้าเธอพูดความจริงออกไปเมื่อไหร่ คงจะไม่มีใครเชื่อแล้วแน่ๆ
“จินเหลียน เพื่อนของเธอชอบเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” เถียนเถียนถามไปในขณะที่มือก็กำลังรินเหล้า
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตามองไปที่จ่านป๋าย ส่งสัญญาณเตือนให้เขาไม่ต้องพูดจาให้มากความ จ่านป๋ายเลยแกล้งทำเป็นหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกรู้สาว่าเธอกำลังพูดอะไร
“จริงสิ จินเหลียน อาทิตย์หน้าเป็นงานเลี้ยงคืนสู่เหย้า ไหนๆ เธอก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้แล้ว งั้นก็มาร่วมงานด้วยกันสิ” จินอ้ายหัวปริปากเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาใหม่
“งานเลี้ยงคืนสู่เหย้า?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วเป็นปม แต่ก่อนถ้าหากมีงานเลี้ยงพบปะกันแบบนี้ ปกติแล้วจะเป็นคนที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้อยู่แล้วที่หลังจากเรียนจบก็จะหาเวลาว่างมานัดเจอกัน หรือไม่ก็เป็นคนที่หลังจากเรียนจบแล้วหางานที่มีหน้ามีตาได้ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เธอเคยถูกจินอ้ายหัวเชิญชวนให้ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เพราะหวังหมิงเหยาคัดค้านจึงไม่ได้ไปร่วมงาน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอจึงพูดว่า “ถ้าไม่มีงานอะไร ฉันจะเข้าไป ว่าแต่ครั้งนี้ใครเป็นคนจัดงานล่ะ?” ทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงแบบนี้ แม้ตอนสุดท้ายจะแชร์ค่าใช้จ่าย แต่ยังไงมันก็จะมีคนต้นคิดอยู่ด้วย!
เถียนเถียนยิ้มแล้วพูด “ในเมื่อฉันเลิกกับแฟนแล้ว ก็ย่อมจะต้องป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้ ยังมีคนหล่อร่ำรวยอีกมากมาย กำลังรอฉันอยู่นะ!”
ครั้งนี้ไม่แค่จ่านป๋ายที่หัวเราะออกมา แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนและจินอ้ายหัวก็หักห้ามตัวเองให้หยุดหัวเราะไม่ได้
“เอาล่ะ ในเมื่อเธอไม่เสียใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มให้น้อยๆ ลงหน่อยเถอะ!” จินอ้ายหัวพูดอย่างห่วงใย “เธอคิดว่าเหล้าเบียร์พวกนี้ไม่คิดเงินเหรอ?”
“อืม ในเมื่อแฟนของซีเหมินจินเหลียนเลี้ยง โอกาสแบบนี้ก็หาได้ยาก ฉันก็ต้องกินให้เต็มที่สิ”
เถียนเถียนยิ้มพลางรินเหล้าใส่แก้วตัวเองจนเกือบล้น ก่อนจะมองไปที่จ่านป๋าย เพราะว่าเธอดื่มไปหลายแก้ว ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยอารมณ์มึนเมา เมื่อสะท้อนกับแสงไฟยิ่งเพิ่มความเย้ายวนมากขึ้น “คุณจ่าน คุณว่าใช่ไหมคะ?”
“พูดอย่างนี้ก็ถูกครับ!” จ่านป๋ายพยักหน้า “เพียงแต่ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะเจอพวกคุณ ผมยังปรึกษากับจินเหลียนอยู่เลย ว่าจะวิ่งเผ่นด้วยความเร็วสูงออกไปดีไหม”
“อะไรนะ?” เถียนเถียนเบิกตากว้าง ใบหน้ามีแต่ความสงสัย จินอ้ายหัวก็เช่นกัน
“พวกเราทั้งคู่ลืมพาเงินมาน่ะครับ” จ่านป๋ายยิ้มเห็นฟัน เพียงแต่ว่าภายใต้รอยยิ้มมีความชั่วร้ายที่แฝงซ่อนไว้อยู่
“คุณว่าอะไรนะ?” เถียนเถียนตกใจจนลุกขึ้นมา ไม่ได้พาเงินมา? เมื่อกี้ซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่เป็นคนพูดเหรอว่าเธอจะเลี้ยงเอง ถ้าทั้งคู่ไม่ได้พาเงินมา นี่ก็ไม่เท่ากับว่าเธอต้องออกเองเหรอเนี่ย? ตอนที่สั่งอาหารไปเมื่อครู่ เธอก็เลือกแต่อาหารราคาแพงๆ อาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน เพราะว่ามาเจอคนเลี้ยงเข้า ก็ต้องกินอย่างจัดเต็มสักมื้อ แล้วนี่ถ้าจ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนไม่มีเงิน คนที่จะต้องควักเงินออกมาจ่ายก็เห็นจะมีแค่เธอกับจินอ้ายหัวแล้ว
อาหารทั้งโต๊ะราคาน่าจะประมาณสามสี่ร้อยหยวนได้ ถ้าเธอกับจินอ้ายหัวแบ่งกันจ่ายก็คงจะคนละประมาณสองร้อยกว่าหยวน
นี่ก็โดนกับดักซะแล้ว! นี่คือสัญชาตญาณแรกที่เธอรับรู้ เมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งคู่เหมือนจะกินไปไม่น้อยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใบเสร็จที่เขากินเมื่อสักครู่จะมารวมกับของพวกเธอทั้งสองด้วยนะ? ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้
เมื่อคิดอย่างนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะสะกิดจินอ้ายหัวอยู่ใต้โต๊ะ “พวกเราโดนแกล้งให้จ่ายเงิน?” เถียนเถียน กระซิบข้างหูของเธอ
“จินเหลียนไม่ใช่คนแบบนั้น” จินอ้ายหัวขมวดคิ้ว “เธอน่าจะลืมพาเงินมาจริงๆ ใครๆ ก็เคยเจอปัญหาที่อึดอัดใจแบบนี้”
“เหอะ!” เถียนเถียนทำเสียงชิชะ ในเมื่อสั่งอาหารไปแล้ว ถ้าไม่กินก็เสียดาย
ซีเหมินจินเหลียนเห็นเถียนเถียนกับจินอ้ายหัวกระซิบกระซาบกัน ก็พอเดาออกว่าพวกเธอกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่จึงยิ้มแล้วพูดไปว่า “ไม่เป็นไร ฉันพูดเองว่าฉันจะเลี้ยง เมื่อกี้ฉันก็โทรไปหาเพื่อนให้มาหาแล้ว”
“หา?” เถียนเถียนขมวดคิ้วเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว สีหน้ามีแต่ความไม่เชื่อใจ
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ ในเมื่อสั่งอาหารมาแล้วเธอก็รู้สึกว่าเสียดาย ตัวเองก็กินอิ่มแปล้แล้ว…แต่ก็หยิบตะเกียบที่ถูกนำมาเปลี่ยนใหม่ขึ้นมา พร้อมคีบผักฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอยขึ้นมาลองกิน รสชาติอร่อยใช้ได้ ผักฮ่องเต้แสนธรรมดาพอเอามาผัดช่างเกิดเป็นอาหารที่อร่อยขนาดนี้ได้ยังไง
เห็นว่ามีจ่านป๋ายอยู่ จินอ้ายหัวเลยยังนิ่งไม่ขยับอะไร ทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อเห็นเถียนเถียนผ่อนคลายกินเยอะดื่มเยอะ เธอก็คิดเพียงว่าอย่างแรกเธอหิว อย่างที่สองจ่านป๋ายเคยมารักษาตัวอยู่ที่คลินิกของจินอ้ายกั๋วระยะหนึ่ง นับว่าเป็นคนคุ้นเคยกัน ดังนั้นเธอจึงไม่คิดมากหยิบตะเกียบคีบอาหารแล้วกินเข้าไป เมื่อกินอาหารจนเริ่มหมดเกลี้ยงแล้ว เถียนเถียนดื่มไปเยอะจนไม่มีสติแล้ว
ซีเหมินจินเหลียนและจินอ้ายหัวได้แต่ทำสีหน้าเอือมระอา จ่านป๋ายไม่รู้สึกรู้สา ขอแค่ซีเหมินจินเหลียนไม่เป็นอะไร ที่เหลือเขาก็ไม่มีอยากเอาตัวเข้าไปยุ่ง
ฉินเฮ่าปรากฏตัวขึ้นในขณะที่ทุกคนอิ่มท้องมึนเมา
ซีเหมินจินเหลียนอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง ฉินเฮ่าไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงเรียกพนักงานแล้วจัดการจ่ายค่าอาหารทั้งหมด จากนั้นก็พูดกำชับกับจ่านป๋ายอย่างไม่เกรงใจว่า “คุณไปส่งพวกเธอทั้งสองกลับไปเถอะ ผมกับจินเหลียนจะไปเดินเล่นต่อ”
“ทำไมต้องเป็นผมที่ไปส่งพวกเธอสองคนกลับ ผมไม่สามารถเดินเล่นกับซีเหมินจินเหลียนเหรอ” จ่านป๋ายไม่ยินยอมในข้อเสนอที่ฉินเฮ่าพูดออกมา นอกเสียจากสมองบวมน้ำเท่านั้น เขาถึงจะเห็นด้วย
“จินเหลียนพวกเราไปเดินเล่นที่ห้างกันเถอะครับ คุณคงไม่อยากไปกับคนที่ลืมพกเงินมาหรอกนะ?” ฉินเฮ่าไม่สนใจจ่านป๋าย ตั้งใจหันหน้าไปคุยกับซีเหมินจินเหลียน
“หือ?” ซีเหมินจินเหลียนสับสน คิดไปแล้วถ้าไปเดินเล่นที่ห้างแต่ไม่พกเงินไป แล้วจะไปเพื่ออะไร? น่าเบื่อแบบนั้น สู้กลับไปนอนดูโทรทัศน์เสียดีกว่า…
เธออยากจะปฏิเสธฉินเฮ่า แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว ตัวเองก็เรียกเขาให้มาจ่ายค่าอาหารให้ ถ้าจะพูดปฏิเสธออกไปมันก็อย่างไรอยู่ไม่ใช่เหรอ? เอาเถอะ เดินเล่นก็เดินเล่น บางทีตนอาจจะหาโอกาสคุยกับเขาให้เข้าใจ
“เสี่ยวป๋าย คุณช่วยไปส่งจินอ้ายหัวกับเถียนเถียนให้ฉันหน่อย เดี๋ยวฉันเดินเล่นเสร็จแล้วกลับมา!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น
จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนปริปากพูดเช่นนั้น เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดออกมา พยักหน้าตอบตกลง ภายในโรงจดรถใต้ดิน เบนซ์ทั้งสองคันถูกจอดไว้ ของฉินเฮ่าคือความเร็วสูงสุดสีบลอนเงิน แต่ของจ่านป๋ายเป็นเบนซ์ธรรรมดาสีดำ ไม่มีลักษณะพิเศษโดดเด่นอะไร
แต่เสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวของรถคันนี้กลับดึงดูดยั่วยวนสายตากลุ่มคนรักรถให้หัวใจเต้นแรง จินอ้ายหัวและเถียนเถียนที่สติเลอะเลือน ลูบสัมผัสไปที่รถสีบลอนเงินของฉินเฮ่า แล้วมีอาการตกหลุมรัก
ฉินเฮ่าเปิดประตูออกมา จูงมือซีเหมินจินเหลียนให้เข้าไปนั่งแล้วปิดประตู เดินไปนั่งยังฝ่ายคนขับแล้วหันไปยิ้มให้กับพวกเธอทั้งสอง
เถียนเถียนรู้สึกลมจากเหล้าตีขึ้นมา ร่างกายอ่อนปวกเปียก เกือบจะยืนไม่นิ่ง ถ้าไม่มีจินอ้ายหัวอยู่ข้างๆ คอยประคองเธอไว้ เธอคงล้มลงไปต่อหน้าแน่ๆ
ซีเหมินจินเหลียนใช้กระจกรถมองดูสถานการณ์อย่างเกาะติด ก่อนจะได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ฉินเฮ่าอาจจะหล่อเหลาไม่เท่าหลินเสวียนหลานที่ยังกับดารา แต่ว่าเกิดในชาติตระกูลที่ร่ำรวย ไหนจะลักษณะนิสัยอ่อนโยนที่ถูกอบรมปลูกปั้นมา สำหรับผู้หญิงแล้วคงจะมีแรงดึงดูดพวกเธอไม่น้อย
“พวกคุณทั้งสอง ขึ้นรถเถอะครับ!” จ่านป๋ายส่ายหัว ผู้ชายเจ้าชู้กับผู้หญิงบ้า เป็นเรื่องที่ทนไม่ได้จริงๆ
จินอ้ายหัวยังพอมีสติ เธอใช้พละกำลังทั้งหมดลากเถียนเถียนให้ขึ้นรถของจ่านป๋าย จ่านป๋ายสตาร์ทรถและถามว่า “ไปไหนครับ”
“คลินิคของพี่ฉัน คุณรู้จักใช่ไหม” จินอ้ายหัวพูด
“โอเค!” จ่านป๋ายพยักหน้า คลินิกของพี่เธอเขาย่อมรู้จัก
“ผู้ชายที่ขับเบนซ์ได้…” เถียนเถียนที่นั่งอยู่บนเบาะรถ แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณมีแฟนแล้วหรือยังคะ”
“ครับ?” จ่านป๋ายสับสน ผู้หญิงคนนี้เมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าสนใจในตัวของฉินเฮ่า แต่เวลานี้กลับมาถามเขาว่ามีแฟนหรือยัง “ทำไมเหรอครับคุณผู้หญิง คุณอยากจะแนะนำแฟนให้ผมเหรอ?”
จินอ้ายหัวได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา จ่านป๋ายตอนที่อยู่ที่คลินิคของพวกเขาได้แต่นอนเป็นเวลาครึ่งเดือน ไม่เคยพูดอะไรเลยสักประโยคเดียว ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีมุมที่ตลกขี้เล่นอยู่ด้วย
“หรือ…หรือคุณไม่คิดว่าผู้หญิงสวยๆ ที่อยู่ตรงนี้ก็เหมาะสมเหรอ?” เถียนเถียนถามแล้วยิ้มแห้ง
“พูดตามตรงนะครับ คุณไม่ใช่คนสวย!” จ่านป๋ายตอบ
“เหอะ!” เถียนเถียนเหอะออกมา ถูกคำพูดของเขาทิ่มแทงเข้าไปในใจ เธอก็ได้แต่พิงตัวไปที่จินอ้ายหัว
ในขณะที่ฉินเฮ่ากำลังขับรถ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามว่า “คุณจะพาฉันไปที่ไหนคะ?”
“ไปที่ที่เยี่ยมสุดยอดไปเลยครับ” ฉินเฮ่ายิ้ม
“ฉันไม่อยากไปที่ที่มีคนวุ่นวายมากนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ที่วุ่นวายอะไรกันครับ” ฉินเฮ่าพูด “ผมจะพาคุณไปที่ร้านขายเสื้อผ้าในเมืองเซี่ยงไฮ้ต่างหาก”
“ฉันไม่ได้สนใจในการซื้อของเท่าไหร่ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าพูดจาที่สวนทางกับใจของเธอ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชอบการซื้อของช้อปปิ้งหรอก
“ลองไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะครับ” ฉินเฮ่ายิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจ แต่ไหนๆ ก็ออกมากับเขาแล้ว เธอก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงแต่สถานที่นั้นก็ผิดไปจากที่เธอคาดคิด สิ่งที่เขาพูดว่าร้านขายเสื้อผ้า แต่ไม่ได้เปิดในแวดวงเมืองที่วุ่นวาย พูดได้ว่าไปเปิดในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลจากผู้คน ป้ายร้านก็ไม่เหมือนร้านขายเสื้อผ้า แต่เขียนอยู่สองคำว่า ‘ซิ่วฟาง’
ตัวอักษรโบราณ ป้ายโบราณ แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ยังสงสัยว่า แผ่นป้ายสีดำตัวอักษรสีเขียวนั่น เป็นของโบราณไหม?
จ่านป๋ายจอดรถเสร็จเรียบร้อย จูงมือเธอเดินไปพร้อมกัน แต่ประตูร้านปิดอยู่
“พี่ฉิน ไม่ใช่ว่าเขาปิดร้านแล้วหรอกนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ร้านนี้ก็เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงครับ ไปกันเถอะ!” ฉินเฮ่าพูดพลางจูงมือเธอเข้าไปข้างใน