บทที่ 1953+1954

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1953 แย่งศิษย์

กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นมองคุณชายฝูอีในทันใด

“เนี่ยน…เนี่ยนโม่?”

สายตาคุณชายฝูอีหันกลับมามองนาง

“หืม?”

กู้ซีจิ่วพลั้งปากเอ่ยถาม

“เจ้าเพิ่งอายุหกปี เหตุใดจึงสูงใหญ่ถึงเพียงนี้?! กินสารเร่ง…กินโอสถอะไรเข้าไปนี่?”

แน่นอนว่าคุณชายฝูอีผู้นี้ก็คือเสินเนี่ยนโม่ เขามองประกายที่วาบไหวเล็กน้อยในดวงตากู้ซีจิ่ว

“เจ้ารู้จักข้ามาก่อน?”

ไม่ใช่แค่รู้จัก! ข้าเป็นคนมอบของขวัญวันเกิดครบรอบหนึ่งปีให้เจ้านะ!

ตอนนั้นเขาเพิ่งสูงเท่าต้นถั่วงอกอยู่เลย…

นึกไม่ถึงว่าไม่นานก็เติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว! หลีสาวได้แล้ว!

จะว่าไปพวกศิษย์น้องของเขาเหล่านั้นล้วนอายุมากกว่าเขากระมัง? เหตุใดจึงยินยอมพร้อมใจเรียกขานเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่?

ทำให้เธอไม่ได้คิดถึงเขาไปในทางเสินเนี่ยนโม่เลย!

กู้ซีจิ่วแขวะอยู่เงียบๆ ในใจ

ดินแดนนี้ช่างวิกลจริตเหลือเกิน กู้ซีจิ่วรู้สึกว่ามุมมองทั้งสามของเธอตามไม่ทัน เธอต้องค่อยเป็นค่อยไป…

จะว่าไปรูปลักษณ์กลายเป็นผู้ใหญ่ในระยะเวลาหกปีไม่เป็นอะไรจริงหรือ? จะเป็นไปได้ไหมว่าโดนดัดแปลงพันธุกรรมอะไรทำนองนั้น…

กู้ซีจิ่วเคยถูกตักเตือนไม่ให้มีความสัมพันธ์กับคนของดินแดนนี้มากนัก ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการเปิดเผยฐานะในเวลาเช่นนี้

ส่วนเรื่องคำถามของเสินเนี่ยนโม่ เธอเพียงแค่อมยิ้มเล็กน้อย

“ฝ่าบาทมีชื่อเสียงยิ่งนักในแดนพ้นโศก”

เพราะฉะนั้นเธอรู้ว่าเขาเพิ่งอายุหกปีก็ไม่แปลกอะไร เท่ากับเธอตอบคำถามเสินเนี่ยนโม่ทางอ้อมไปในตัว

เสินเนี่ยนโม่ขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เขามีบิดามารดาที่มีชื่อเสียงมากเกินไป เขาไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชื่อเสียงของพวกเขาไปตลอด ไม่ต้องการอาศัยชื่อเสียงของพวกเขาเพื่อปกครองใต้หล้า ดังนั้นเขาจึงใช้นามแฝงของตัวเองยามออกไปด้านนอกและเป็นชื่อเรียกของเขา

ในสมัยนี้ก็มีชื่อกับชื่อเรียก โดยปกติชื่อเรียกจะตั้งขึ้นตอนอายุยี่สิบปี เสินเนี่ยนโม่เติบใหญ่ตอนอายุสามปี ตอนที่กลับไปเยี่ยมตำหนักนภาลัย เขาเห็นจดหมายที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้เขา

บิดามารดาที่พึ่งพาไม่ได้ของเขาไปทำธุระที่ทวีปอื่น เป็นเวลาอย่างน้อยที่สุดสิบปี ให้เขาดูแลรักษาตัวเอง บิดาของเขายังตั้งชื่อเรียกไว้ให้เขาก็คือ ‘ฝูอี’

บิดาของเขาเป็นผู้รู้แจ้งเหนือธรรมดา ในจดหมายบอกว่าเขาไม่คิดเล็ดคิดน้อยเรื่องชื่อแซ่ เพราะเขาก็ตั้งชื่อแซ่ของเขาขึ้นมาด้วยตัวเองตามอำเภอใจ

ดังนั้นเสินเนี่ยนโม่ไม่จำเป็นต้องใช้แซ่ตามเขาก็ได้ จะใช้แซ่ตี้แซ่หวงอะไรก็ได้ และยังบอกอีกว่าการประกอบกันของเสินฝูอีไม่ค่อยน่ามอง ให้พิจารณาทั้งสองแซ่นี้ได้…

เสินเนี่ยนโม่รู้สึกว่าความจริงแล้วบิดาของเขาไม่อยากให้เขาใช้ฉากหน้าของเขา อย่างไรเสีย ตระกูลแซ่เสินในดินแดนแห่งนี้ก็มีแค่เพียงตระกูลของเขาเท่านั้น ไม่มีตระกูลสาขา

เสินเนี่ยนโม่ใคร่ครวญอยู่นาน รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตี้ฝูอีอหังการและสง่างามยิ่งกว่าหวงฝูอี

ดังนั้น เขาจึงใช้ชื่อตี้ฝูอีเป็นครั้งคราวเมื่อออกไปข้างนอก ขนานนามตนเองว่าคุณชายฝูอี…

สามปีมานี้เขาออกไปทำสิ่งต่างๆ ข้างนอกอย่างเป็นผู้ใหญ่ และไม่มีผู้ใดมองเขาเป็นเด็กน้อยอีกต่อไป

ต่อให้อยู่ในสำนัก แม้เขาจะมีอายุน้อยที่สุด ทว่าทักษะการปฏิบัติตนทรงพลังยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก! ดังนั้นพวกศิษย์หญิงชายที่อายุมากกว่าเขาเหล่านั้นก็ค่อยๆ เคารพนับถือเขาในฐานะผู้ใหญ่

ชื่อเนี่ยนโม่นี้ก็ยังเป็นชื่อที่อาจารย์ของเขายังคงเรียกขานอยู่บ้าง เหล่าศิษย์หญิงชายคนอื่นต่างเรียกขานเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่!

ยามนี้กู้ซีจิ่วกลับคืนรูปลักษณ์เดิมตอนอายุสิบสามสิบสี่ปีแล้ว บอบบางน่าทะนุถนอม ดูอายุไล่เลี่ยกันกับชิงหลัว

ในสายตาของเสินเนี่ยนโม่ นางก็คือเด็กหญิงคนหนึ่ง

แต่ยามนี้สายตาที่เด็กหญิงผู้นี้มองมาทางเขากลับทำให้เขาไร้ซึ่งวาจา ประหนึ่งท่านป้ามองเด็กน้อย…

ซือชิงกับเหิงเชิงต่างเคยเห็นรูปลักษณ์นี้ของกู้ซีจิ่วแล้วจึงไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจ

ทว่าเหล่าศิษย์พี่น้องคนอื่นๆ กลับตื่นตะลึงกันหมด! มองเพียงแวบแรกก็อยากมองแวบที่สอง มองแวบที่สองก็อยากมองแวบที่สามเป็นอาจิณ…

———————————————————————–

บทที่ 1954 แย่งศิษย์ 2

แม้แต่อวี่หังเจินเหรินก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ แทบคาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเยาว์วัยถึงเพียงนี้

“เจ้า…เจ้าคือ?”

เขามองไปที่มนุษย์ครึ่งสัตว์ที่ถูกกู้ซีจิ่วจัดการล้มคว่ำตรงนั้น จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยเยาว์วัยจะสังหารมนุษย์ครึ่งสัตว์ที่พลังวิญญาณสูงส่งขนาดนี้ได้ในกระบวนท่าเดียว ต่อให้เป็นเขาก็อาจจะไม่รวดเร็วถึงเพียงนี้!

เด็กคนนี้มาจากที่ใดกันแน่?

เหตุใดจึงมีพลังยุทธ์ที่สูงส่งลึกล้ำถึงเพียงนี้?

เขาตรวจสอบบาดแผลบนร่างกายของมนุษย์ครึ่งสัตว์เหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่บาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บจากวิชามาร นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าพลังยุทธ์ของสาวน้อยเบื้องหน้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก ไม่ใช่มารนอกรีต…

แต่เขาคิดจนหัวแทบแตกอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าศิษย์หญิงบ้านผู้ใดจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้!

ดวงตาเขาพลันวาบไหว จู่ๆ เขาก็ก้าวไปด้านหน้า ยกมือขึ้นโบกสะบัดโจมตีไปทางกู้ซีจิ่วดุจพายุโหมกระหน่ำ!

ทุกคนร้องอุทาน

ซือชิงกับเหิงชิงต่างตกใจ พูดโพล่งออกมา

“อาจารย์ นางเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพวกข้าไว้ ได้โปรดออมมือ!”

ชิงหลัวกลับส่งเสียเฮอะคราหนึ่ง

“นางช่วยเหลือพวกเจ้าอาจไม่ได้มีเจตนาดีก็ได้…”

สายตาเสินเนี่ยนโม่พลันวาบไหว มองดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน

กู้ซีจิ่วย่อมไม่มีทางถูกโจมตี ขณะที่หันเรือนกายก็ต่อสู้ด้วยกันกับอวี่หังเจินเหรินแล้ว

ตอนแรกอวี่หังเจินเหรินเกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ ไม่กล้าแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ทว่าหลังจากผ่านไปสามถึงสี่กระบวนท่า เขากลับค่อยๆ ใช้พละกำลังออกมาเก้าส่วน จนท้ายที่สุดจึงใช้พละกำลังทั้งหมด…

ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างรวดเร็วทั้งหมดสิบกว่ากระบวนท่า จู่ๆ อวี่หังเจินเหรินก็รับกระบวนท่าหนึ่งแล้วถอยหลังไป จ้องมองกู้ซีจิ่วด้วยความประหลาดใจ

“แม่นางเป็นศิษย์ของผู้ใดกันแน่?”

เขาขึ้นชื่อว่ารู้จักพลังยุทธ์ทั้งหมดของยอดฝีมือใต้หล้านี้ ทว่าเขาเพิ่งเคยเห็นกระบวนท่าที่กู้ซีจิ่วใช้ออกมาเป็นครั้งแรก…

ความจริงกู้ซีจิ่วค่อนข้างลำบากใจอยู่บ้าง เดิมทีเธอไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกอวี่หังเจินเหรินมากนัก ต้องการจะจากไปเช่นนี้

นึกไม่ถึงว่าเสียงลึกลับที่ไม่ได้แว่วดังขึ้นในหัวของเธอมานานจู่ๆ ก็มอบหมายภารกิจใหม่ให้เธอ

‘เจ้าหาทางติดตามอยู่ข้างกายเสินเนี่ยนโม่ ฟื้นฟูพลังยุทธ์ของเขาให้ได้โดยเร็ว’

กู้ซีจิ่วงงงวย

‘ฟื้นฟู? พลังยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งมากแล้วนะ! เพิ่งจะอายุหกปีก็ฝึกฝนจนถึงขั้นจินเซียนแล้ว! หากเป็นเด็กคนอื่น ตอนอายุเท่านี้เพิ่งจะเลิกใส่กางเกงเปิดเป้าเอง…’

‘เขาคือเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์…’

กู้ซีจิ่วพลันตกตะลึง

‘เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าติดตามอยู่ข้างกายเขาจนกระทั่งเขาฟื้นฟูพลังยุทธ์ของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์เลยหรือ?!’

เช่นนั้นเธอไม่ต้องติดตามเขาไปถึงกาลหน้าเลยหรอกหรือ?!

‘ไม่จำเป็นต้องฟื้นฟูทั้งหมด จนกระทั่งเขาฝึกฝนจนถึงขั้นซ่างเซียนได้ก็พอแล้ว’

กู้ซีจิ่วนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

‘หากข้าไม่ยอมรับภารกิจนี้เล่า?’

‘ถ้าเช่นนั้น หวงถูก็ไม่มีทางฟื้นคืนชีพไปตลอดกาล!’

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว

‘ความหมายของเจ้าคือหวงถูยังอาจจะฟื้นคืนชีพได้?’

‘จะพูดเช่นนั้นก็ได้’

‘เอาเถอะ ข้ายอมรับ!’ ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ยินยอมตอบรับแล้ว

ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะใช้ฐานะอะไรติดตามข้างกายเสินเนี่ยนโม่ดี อวี่หังเจินเหรินก็โจมตีเธอแล้ว…

บัดนี้เมื่ออวี่หังเจินเหรินเอ่ยถาม อันที่จริงเธอยังคงงุนงงอยู่บ้าง จึงตอบอย่างขอไปที

“ข้าไม่มีอาจารย์…”

แววตาอวี่หังเจินเหรินวาบไหว!

เด็กคนนี้กลับเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยไร้อาจารย์!

ทารกมหัศจรรย์นี่!

เป็นทารกมหัศจรรย์ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสินเนี่ยนโม่เลย!

หากรับทารกมหัศจรรย์เช่นนี้เป็นศิษย์ของตัวเองแล้วล่ะก็…

ต่อให้หลับฝันก็คงละเมอยิ้ม! ทำให้ทุกคนในแดนพ้นโศกต่างอิจฉาตาร้อน!

อวี่หังเจินเหรินกระหายศิษย์ดุจกระหายน้ำ มองกู้ซีจิ่วด้วยความจริงใจและอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พยายามจะควานหากระดูกในไข่ไก่

“แม่นางน้อย วรยุทธ์ของเจ้าไม่เลวทีเดียว แต่ยังขาดความชำนาญเล็กน้อยในบางจุด โดยเฉพาะด้านวิชา มีข้อบกพร่องเพียงแค่นิดเดียว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่มีอาจารย์ หากเจ้ากราบอาจารย์ดีๆ สักคนได้ ให้อาจารย์แนะนำอีกสักหน่อย จะต้องรุ่งโรจน์เจิดจรัสในแดนพ้นโศกแห่งนี้เป็นแน่…”

———————-