ตอนนี้เฉินเฉินประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่ได้ประหลาดใจที่ผู้สืบทอดสำนักอู๋ซินฉงเย่กำลังท้าประลองกับเย่หวู่เชิงแต่เขาประหลาดใจเกี่ยวกับหยวนฉิงเทียนแห่งสำนักวายุซ่อนเร้น
เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของ 18 สำนักที่ระบบตรวจจับได้ เขามีหน้าตาธรรมดาและสวมชุดฝึกสีดำ ที่ภายนอกเขาดูไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเลยและไม่ค่อยมีตัวตนด้วย
บทบาทของเขาใน 18 สำนักดูเหมือนจะช่วยเน้นย้ำตัวตนของเขา
เขาก็เป็นแค่เบี้ยตัวนึง
18 สำนักคงไม่ปล่อยให้ยอดฝีมือท้าประลองคนอื่นหรอก
ซึ่งมันเป็นเพราะคนที่อยู่อันดับหนึ่งนั้นไม่สามารถท้าประลองใครได้และทำได้แค่ถูกท้าเท่านั้น
แต่ว่าตั้งแต่แรกแล้วใครจะไปกล้าท้าอันดับหนึ่งหล่ะ?
พวกเขาต้องทำตามคำสั่งของสำนักอู๋ซินและถ้าพวกเขาถือวิสาสะท้าทายคนอื่น พวกเขาก็จะตกเป็นเป้าของฉงเย่
ดังนั้น หลังจากที่หยวนฉิงเทียนนั่งตำแหน่งที่หนึ่งที่เขาเลือก มันก็หมายความว่าเขาจะต้องนั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกสองวัน เขาคงจะได้รับอนุญาตให้ลงมาหลังจากที่ฉงเย่จัดการกับคนอื่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
‘นี่ก็หมายความว่าผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดใน 18 สำนักจะต้องนั่งเป็นมาสคอตโชว์ไปสองวันหรอ?’
‘เสียดายพรสวรรค์ชะมัด!’
เฉินเฉินงุนงงอย่างถึงที่สุดและเขาก็ไม่เข้าใจแผนการของสำนักอู๋ซินเลย
ในตอนนี้ เย่หวู่เชิงได้เดินไปที่สังเวียนแล้ว เนื่องจากความจริงที่ว่าเขาสวมชุดเกราะทั้งตัว ฝีเท้าของเขาจึงหนักหน่วงและเสียงที่เกิดขึ้นในทุกก้าวเดินก็ดูเหมือนกับกำลังกระทุ้งหัวใจของพวกเขาและทำให้พวกเขารู้สึกถูกกดดัน
ในอีกด้านนึง ฉงเย่ได้บินตรงไปที่กลางสังเวียน และดูมีท่าทีผ่อนคลาย
ในขณะที่มองฉงเย่ที่อยู่ไม่ไกลนัก หน้ากากเหล็กของเย่หวู่เชิงก็สั่นเล็กน้อย
“ข้ารู้ว่าข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่สำนักพยัคฆ์ขาวจะไม่มีวันยอมแพ้ก่อนที่จะได้ต่อสู้”
“หึ”
ฉงเย่เย้ยหยันอย่างไร้อารมณ์
พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ในสังเวียนและกำลังจ้องหน้ากัน ในจังหวะต่อมา ออร่าที่รุนแรงและเต็มไปด้วยจิตสังหารก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่หวู่เชิงอย่างกระทันหัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าจิตสังหารนี้ ผู้อาวุโสแก่นทองคำที่เป็นกรรมการก็ได้รับผลกระทบและถอยหลังไปสองก้าว
“นี่เจ้าตั้งใจจะใส่พลังทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเลยรึไง?” ฉงเย่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เย่หวู่เชิงไม่ตอบ ชุดเกราะเต็มตัวของเขาสั่นไหวด้วยแสงจากพลังปราณ หลังจากนั้นเสือขาวตัวใหญ่ที่มีลำตัวยาวเกือบ 10 เมตรและสูงสี่เมตรก็ปรากฎขึ้นข้างหลังเขา
เงาเสือขาวตัวนี้คำรามแล้วทะยานขึ้นไปบนฟ้าในขณะที่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นกระจายไปทุกทิศทาง
ผู้สืบทอดของ 36 สำนักที่กำลังนั่งอยู่บนแท่นสูง ต่างก็พากันหน้าซีดในตอนที่พวกเขาถูกครอบงำด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นเพราะในความคิดของพวกเขา มันไม่ใช่เสือขาวแต่เป็นทะเลแห่งซากศพและเลือด!
คงมีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าเย่หวู่เชิงฆ่าพวกสำนักปีศาจไปมากแค่ไหนจึงได้รับตำแหน่งที่สี่ในกลุ่มยอดฝีมือ!
“ฆ่า!”
เมื่อเห็นว่าเสือขาวก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เย่หวู่เชิงก็คำราม แล้วประเคนหมัดใส่ฉงเย่ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เงาเสือขาวตัวใหญ่ยักษ์ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง!
ในตอนนี้ ฉงเย่กำลังหลับตาอยู่ เขาสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด และพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่ปะติดปะต่อกันใต้ลมจมูกของเขา
ในวินาทีต่อมา คลื่นความหนาวเย็นที่ดูมืดมนก็ปกคลุมทั้งสังเวียน และเงาเสือขาวก็สลายไปอย่างกระทันหันในขณะที่พลังปราณในหมัดของเย่หวู่เชิงหายไปในทันที
ก่อนที่ฝูงชนจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ฉงเย่ก็ไปถึงตัวเย่หวู่เชิงแล้วด้วยความผิดหวังเล็กน้อยในดวงตาของเขา
“เย่หวู่เชิง หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเจ้าก็ดูเหมือนถูกอะไรบางอย่างครอบงำอยู่ ถ้าขืนเจ้ายังเป็นแบบนี้ เจ้าก็ไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้หรอก”
หลังจากที่พูดจบ ฉงเย่ก็กระแทกฝ่ามือใส่ร่างกายของเย่หวู่เชิง
ผัวะ!
ด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น เย่หวู่เชิงก็กระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่และกระแทกเข้ากับรั้วของสนามประลองที่อยู่ไกลๆ
รั้วนั้นพังลงในทันทีและชุดเกราะของเย่หวู่เชิงก็ถูกย้อมด้วยสีแดงของเลือดอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ตายหรอก”
ฉงเย่พูดออกมาอย่างเรียบเฉยก่อนที่จะบินไปทางวัง
แน่นอนว่าเขาจะไม่นั่งที่ของเย่หวู่เชิง
การนั่งตรงนั้นก็เหมือนกับการเหยียดหยามเขา
หลังจากที่ฉงเย่ไปแล้ว สนามประลองก็ตกอยู่ในความเงียบ
เย่หวู่เชิงที่อยู่อันดับสามในกลุ่มยอดฝีมือพ่ายแพ้แล้ว นี่คือพลังของราชาองค์ใหม่แห่งรัฐจินที่อยู่อันดับหนึ่ง
ในสองวันกับอีกครึ่งวัน ฉงเย่สามารถท้าประลองได้อีกห้าคน ไม่รวมคนไม่สำคัญอย่างหยวนฉิงเทียน ยังมีคนอีกสี่คนจาก 36 สำนักที่ต้องสู้กับฉงเย่
แล้วสี่คนที่ว่านี้จะเป็นใครบ้างหล่ะ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของผู้สืบทอดสิบอันดับแรกของ 36 สำนักก็ตกอยู่ในความหนักอึ้ง
“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ความแข็งแกร่งที่พี่แสดงก่อนหน้านี้มันน่าประทับใจมากจริงๆค่ะ ข้าคิดว่าท่านจะต้องตกเป็นเป้าหมายของฉงเย่แน่ ๆเลย!”
โยวหลานชินพูดด้วยสีหน้ากังวล
“ก็คงจะใช่ ข้าจะไปทำอะไรได้หล่ะ? อย่างมากที่สุด ข้าก็แค่ได้รับบาดเจ็บหนัก และพวกเราก็จะกลับบ้านกันทั้งคู่” เฉินเฉินตอบอย่างไม่สนใจ
โยวหลานชินมองเย่หวู่เชิงที่โชกไปด้วยเลือดและพึมพำออกมาด้วยความกลัวในดวงตาของเธอ “อะไรกันคะ… นี่พี่ไม่กลัวความเจ็บปวดหรอ?”
เฉินเฉินพูดไม่ออกเล็กน้อย
‘เซียนหญิงคนนี้กลัวความเจ็บปวดหรอ?’
อย่างไรก็ตาม พอมาคิดดูดีๆ เขาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างน่ากลัวเหมือนกัน
…
เมื่อเย่หวู่เชิงแพ้ไปแล้ว ขวัญกำลังใจของผู้สืบทอดก็เพิ่มขึ้น
หลังจากนั้นในทันที เซียนหญิงแห่งสำนักซวนปิ่งก็ท้าทายเซียวฮวง เซียนหญิงแห่งสำนักวิหคสีชาด เพื่อที่จะถอดถอนเธอออกจากตำแหน่งที่สี่
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้นั้นโหดร้ายและน่าเศร้าเป็นอย่างมากซึ่งจบลงที่ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนัก
ตอนนี้การต่อสู้จัดอันดับกำลังอยู่ในช่วงคูลดาวน์
หลังจากช่วงเช้าของวันแรก 15 จาก 36 สำนักได้ถูกแทนที่ด้วย 18 สำนัก
มีแค่ฉีปู่ฝานและหมากอีกสองคนที่ยังไม่ได้ลุย
ในช่วงบ่ายนั้น 36 สำนักเองก็เริ่มตอบโต้
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการตอบโต้ของพวกเขาคือพวกที่อ่อนแอกว่าใน 36 สำนัก ซึ่งยอมศิโรราบให้สำนักอู๋ซินไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ไร้ความสามารถขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครท้าประลองพวกเขา
ดังนั้น ในช่วงบ่าย คนกลุ่มนี้จึงตกเป็นเป้าหมายให้อีกฝ่ายระบายความโกรธ แต่ว่าพวกเขานั้นรู้ถึงความสามารถตัวเองดีก็เลยยอมรับความพ่ายแพ้โดยที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ฉงเย่ก็ขึ้นสังเวียนอีกครั้งและท้าประลองกับหลินจิน ผู้สืบทอดสำนักมังกรมรกต
และก็เป็นอีกครั้งนึง เขาจัดการหลินจินได้ด้วยการโจมตีเดียวและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรงก่อนที่จะจากไปโดยที่แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย
จากนั้นการต่อสู้จัดอันดับในวันแรกก็จบลงไปทั้งแบบนี้
รายชื่อของ 36 สำนักดั้งเดิมของรัฐจินได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ และสิบอันดับแรกของรัฐจินก็ไม่มีใครรักษาตำแหน่งดั้งเดิมของพวกเขาเอาไว้ได้เลย
อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด
เรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็คือนอกจากฉงเย่แล้ว ผู้สืบทอดคนอื่นของ 10 อันดับแรกต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนักกันหมดและไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
ถ้าพวกเขาไม่พบวิธีการพิเศษ พวกเขาก็คงจะถูกตัดออกจาก 36 สำนักในที่สุด
เมื่อเทียบกันแล้ว เฉินเฉินและโยวหลานชินนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นตัวเต็งที่สุดในกลุ่มสิบห้าอันดับแรกของสำนัก เพราะพวกเขาแค่สลับตำแหน่งกันและไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเลย
“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ข้าจะนวดหลังให้นะคะ!”
ในระหว่างทางกลับ โยวหลานชินทำดีกับเขาอย่างมากและเธอก็ไม่ต่างไปจากเด็กสาวธรรมดาคนนึง
“เห้อ ข้าไม่ได้พยายามจะวิจารณ์เจ้าหรอกนะแต่เจ้าขี้ขลาดเกินไปสำหรับเซียนหญิง ดูอย่างเซียวฮวงสิ เธออาจจะเจอวิชาที่แพ้ทางแต่เธอก็มีความกล้าที่จะสู้ และในท้ายที่สุด เธอก็จัดการเซียนหญิงของสำนักซวนปิ่งได้อย่างสาหัสด้วย”
เฉินเฉินเดินในขณะที่กำลังสั่งสอนโยวหลานชิน
“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ก็ข้ายังมีท่านอยู่ไม่ใช่หรอคะ? ถ้าสถานการณ์บังคับให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ข้าเองก็กล้าที่จะต่อสู้จนตัวตายเหมือนกันค่ะ!” โยวหลานชินกำหมัดเล็กๆของเธอแน่นและสาบาน
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงตะโกนก็ดังมาจากข้างถนนไกลๆอย่างกระทันหัน
“ข้าจะจ่ายเพิ่มให้ 30% จากราคาเดิมขอซื้อสมบัติสวรรค์ด้วย!”
ในทันทีที่คนๆนั้นพูด อีกคนก็พูดขึ้นมาแบบเดียวกัน
“ข้าให้สองเท่าเลยสำหรับสมบัติสวรรค์ในการรักษา!”
“สี่เท่า!”
…
“ขอเพิ่มเป็นสิบเท่า!”
เฉินเฉินตกตะลึง
‘ซื้อสมบัติสวรรค์ในการรักษาด้วยราคาสิบเท่าหรอ… นี่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนั้นเลย?’
อย่างไรก็ตาม เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
พวกที่กำลังแข่งราคากันอยู่น่าจะเป็นศิษย์ที่ติดตามผู้สืบทอดมาสินะ
พวกเขาจะไม่กังวลเกี่ยวกับการต่อสู้จัดอันดับได้ยังไงหล่ะ?
สมบัติสวรรค์ที่ช่วยเร่งการรักษานั้นไม่ใช่พืชพันธุ์ทั่วๆไปที่สามารถพบได้ทุกที่และเป็นของขาดแคลนในเมืองหลวง ถ้าถูกคนอื่นซื้อไป พวกเขาก็อาจจะตายและถูกเตะออกจาก 36 สำนักได้!
พวกเขาต้องซื้อสมบัติพวกนี้แม้ว่าจะต้องยอมหมดตัวก็ตาม!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉินเฉินก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตสำหรับเขา!
หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เฉินเฉินก็หยิบเห็ดหลินจือม่วงออกมาจากแหวนเก็บของของเขาแล้วส่งมันให้โยวหลานชิน
“เอาเจ้านี่ไปขายให้ข้าหน่อยสิ”
โยวหลานชินมองเห็ดหลินจือม่วงด้วยความรู้สึกเจ็บแสบ “พวกเรามีสมบัติสวรรค์ที่เอาไว้รักษาแทบจะไม่พออยู่แล้ว ท่านพี่ยอมขายมันให้คนอื่นได้ยังไงคะ?”
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เธอเห็นความมุ่งมั่นของเฉินเฉิน เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามและเดินไปหาคนกลุ่มนั้นพร้อมกับเห็ดหลินจือม่วง
“ข้ามีเห็ดหลินจือม่วงอยู่ชิ้นนึง ข้าไม่รู้ว่ามันมีอายุเท่าไหร่…”
ก่อนที่โยวหลานชินจะพูดจบ กลุ่มคนก็แห่กันมาล้อมเธอ!
“ข้าให้หินวิญญาณ 400 ก้อนเลย!”
“800 ก้อน!”
“1,000 ก้อน!”