เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าขอจ่ายด้วยหินวิญญาณ 10,000 ก้อน!”

 

ในตอนที่การประมูลกำลังดุเดือดนั้น เฉินเฉินก็ตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน และจากนั้นก็เดินตรงเข้ามาเก็บเห็ดหลินจือม่วงกลับไป

 

ทุกคนพากันตกตะลึง จ่ายหินวิญญาณ 10,000 ก้อนเพื่อเห็ดหลินจือม่วงชิ้นเดียวเป็นอะไรที่เกินจินตนาการของพวกเขาอย่างสมบูรณ์

 

เฉินเฉินไม่สนใจสายตาที่ตื่นตกใจของฝูงชน แล้วหันหลังเดินจากไป ในขณะที่โยวหลานชินเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ

 

“พี่ใหญ่เฉิน นี่ทำอะไรของพี่คะ?”

 

“ข้าก็แค่นึกเสียดายขึ้นมาหน่ะ”

 

“ข้าบอกแล้ว ขายของดีๆแบบนั้นมันน่าเสียดายจะตาย แถมพี่ใหญ่เฉิน ท่านก็ดูไม่ใช่คนที่ขาดหินวิญญาณด้วย” โยวหลานชินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“ข้าชอบที่ได้ยินแบบนั้นจากเจ้านะ”

 

 

ในตอนที่เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมหยี่หลาน สิ่งแรกที่เฉินเฉินทำก็คือขอให้จางจีและซุนเทียนกังออกไปข้างนอกเพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับสมบัติสวรรค์ต่างๆ

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนก็กลับมาในเวลาไม่นาน

 

เป็นไปตามที่เฉินเฉินคิดไว้ ร้านขายยาและโรงประมูลของเมืองได้ถอนสมบัติสวรรค์ที่ช่วยในการรักษาออกจากหน้าร้านทั้งหมด

 

ผู้สืบทอดของ 36 สำนักสามารถส่งคนออกไปและลองเสี่ยงโชคเพื่อให้ได้สมบัติสวรรค์มา หรือไม่ก็ซื้อพวกมันจากพวกผู้สืบทอดที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

 

เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้สืบทอด พวกเขาจะต้องมีของพวกนั้นอยู่ไม่ใช่น้อยในแหวนเก็บของของพวกเขาอย่างแน่นอนแต่มันเป็นเรื่องที่ยากเกินไปในการฟื้นคืนพละกำลังและความแข็งแกร่งของพวกเขาให้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ในระยะเวลาอันสั้น

 

ซึ่งพวกเขาต้องดูดซับสมบัติสวรรค์จำนวนมากเพื่อทำสิ่งนั้น

 

แต่ว่าพวกเขาไม่มีสมบัติสวรรค์ที่แข็งแกร่ง

 

มันไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้!

 

แล้วพวกเขาจะทำยังไงหล่ะ? พวกเขาทำได้แค่ส่งคนไปขอผู้สืบทอดคนอื่น

 

อย่างไรก็ตาม ผู้สืบทอดพวกนั้นจะกล้าขายสมบัติสวรรค์ของพวกเขาทั้งที่รู้ว่าการต่อสู้จัดอันดับยังเหลืออีกสองวันได้ยังไงหล่ะ? ถ้าเกิดหลังจากนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง?

 

ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาคงจะไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ!

 

“น่าสมเพชจังเลยนะ”

 

ในขณะที่ยืนอยู่บนหลังคาของโรงเตี๊ยมหยี่หลาน เฉินเฉินก็มองเหล่าผู้คนที่กำลังยุ่งเหมือนกับผึ้งงาน และถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

ในตอนนี้เอง เสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยก็ดังมาจากข้างหน้าโรงเตี๊ยมหยี่หลาน

 

“สำนักวิหคสีชาดมาที่นี่เพื่อขอซื้อยาค่ะ!”

 

ในทันทีที่เธอพูดแบบนั้น ศิษย์สำนักวิหคสีชาดก็เข้ามาในโรงเตี๊ยมหยี่หลาน

 

“ผู้สืบทอดแห่งสำนักเทียนหยุน ท่านเซียนหญิงของข้าบอกว่าเธอยอมจ่ายด้วยหินวิญญาณ 5,000 ก้อนค่ะ…”

 

ศิษย์หญิงแห่งสำนักวิหคสีชาดโค้งคำนับด้วยท่าทีที่ถ่อมตัว

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอก็ถูกเฉินเฉินพูดขัด

 

“ข้าไม่ได้ขัดสนหินวิญญาณซะหน่อย”

 

ในทันทีที่เขาพูดแบบนั้น ศิษย์ของสำนักวิหคสีชาดก็มีสีหน้าสิ้นหวัง

 

นี่คือสิ่งแรกที่ผู้สืบทอดหลายคนพูด แต่ว่าในโลกนี้จะไม่มีคนที่ขลาดแคลนหินวิญญาณอยู่ได้ยังไงกัน?

 

สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นแค่วิธีปฏิเสธอย่างสุภาพ

 

ในขณะที่เธอกำลังจะออกไปหวังพึ่งดวงกับผู้สืบทอดคนอื่น เฉินเฉินก็พูดอีกครั้ง

 

“เจ้าสามารถขอยาจากข้าได้แต่ให้เซียนหญิงของเจ้ามาที่นี่ พวกที่อยู่ข้างนอกก็เหมือนกัน เลิกแอบฟังได้แล้ว ถ้าอยากได้ยาก็ให้มาด้วยตัวเอง”

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินเฉิน ศิษย์หญิงของสำนักวิหคสีชาดก็มองออกไปข้างนอกประตูด้วยความหวาดหวั่น

 

‘ให้ตายสิ มีคู่แข่งเยอะขนาดนี้ แต่ข้ากลับไม่รู้ตัวเลยหรอเนี่ย!’

 

ฟิ้ว ฟิ้ว!

 

เสียงสายลมพัดผ่าน และคนพวกนี้ก็หายตัวไปในความมืดเหมือนกับศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว

 

เนื่องจากผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนยอมมอบสมบัติสวรรค์ให้กับพวกเขา พวกเขาจึงต้องรีบกลับไปแจ้งผู้สืบทอดของพวกเขา เพราะเกรงว่ายาของพวกเขาจะถูกคนอื่นชิงไป!

 

เมื่อเห็นแบบนี้ ศิษย์สำนักวิหคสีชาดก็กัดฟังของเธอแล้วรีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ในตอนนี้เอง จางจีก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัย “พี่ชาย ท่านจะยอมยกสมบัติสวรรค์ให้ผู้สืบทอดพวกนี้ไปรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาจริงๆหรอครับ?”

 

“แน่นอนว่าต้องให้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะตกเป็นเป้าหมายของพวกเขาในวันพรุ่งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักอู๋ซินผนึกกำลังกัน พวกเรายังต้องพึ่งพาผู้สืบทอดพวกนี้อยู่ แต่ถ้าพวกเขาอยากได้สมบัติของข้า พวกเขาก็ต้องจ่ายอะไรมาให้ซักหน่อย”

 

เฉินเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

 

จางจีครุ่นคิดอยู่ข้างๆเป็นเวลาพักใหญ่ๆและเข้าใจได้ในที่สุด มีความประทับใจอยู่ในดวงตาของเขา ‘พี่ใหญ่ช่างเป็นคนที่ฉลาดจริงๆ!’

 

ไม่นานนัก…

 

เซียนหญิงของสำนักวิหคสีชาดเซียวฮวงเป็นคนแรกที่มาถึงแต่ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนน่ากลัว เธอเข้ามาอย่างเงียบๆเหมือนกับผี จนแทบจะทำให้ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมหยี่หลานขวัญผวา

 

“ข้าอับอายตัวเองจริงๆ น้องเล็ก ข้าได้รับบาดเจ็บในระหว่างการต่อสู้กับนังร่านนั่นในวันนี้”

 

เซียวฮวงฝืนยิ้มออกมา นังร่านที่เธอพูดถึงนั้นเห็นได้ชัดว่าคือเซียนหญิงของสำนักซวนปิ่ง

 

เฉินเฉินอึ้งไปเล็กน้อย ถึงยังไงเซียวฮวงก็เป็นเซียนหญิง แต่เธอก็ยังเรียกคนอื่นว่านังร่าน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังโมโหอยู่

 

ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ประตูของโรงเตี๊ยมหยี่หลานก็เปิดออกอีกครั้ง หลังจากนั้นในทันที ผู้สืบทอดก็แห่เข้ามากันทีละคน

 

หลินจินแห่งสำนักมังกรมรกต เย่หวู่เชิงแห่งสำนักพยัคฆ์ขาว ซวนฮงจากสำนักซวนวู… พวกเขาทุกคนมาอยู่ที่นี่แล้ว

 

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้สืบทอดสิบเอ็ดคนก็ได้มารวมตัวกันในโรงเตี๊ยมหยี่หลาน

 

สีหน้าของผู้สืบทอดพวกนี้ไม่ได้ต่างจากเซียวฮวงมากนัก เพราะพวกเขาต่างก็หน้าซีดเหมือนกับกระดาษ ถ้าเฉินเฉินไม่เคยเจอพวกเขามาก่อน เขาอาจจะคิดว่ามีกลุ่มผีดิบแห่เข้ามาที่นี่ก็ได้

 

“นี่มันเลวร้ายเลยนะเนี่ย!”

 

เฉินเฉินถอนหายใจ เมื่อวาน ผู้สืบทอดพวกนี้ต่างก็เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงแต่ตอนนี้ พวกเขาอยู่ในสภาพที่เลวร้ายจนถึงขนาดที่พวกเขาดูน่ากลัวเลยหล่ะ ความตรงข้ามโดยสิ้นเชิงนี้มันคืออะไรกัน!

 

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินยังคงชื่นชมพวกเขา

 

ในช่วงการประลอง พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนักหรือไม่ก็โดนทำให้หมดสติ อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปช่วงสั้นๆ พวกเขาก็เริ่มเดินได้เองแล้ว

 

เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีพื้นฐานที่ดี

 

“น้องเฉิน เจ้ามีสมบัติสวรรค์มากแค่ไหน? แล้วเจ้าจะยอมยกให้มากแค่ไหน?”

 

หลินจินผู้สืบทอดของสำนักมังกรมรกตเป็นคนแรกที่พูดขึ้น มีความอ่อนโยนและความน่าเอ็นดูแสดงอยู่บนใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา ทำให้เขาดูน่าสงสาร

 

เขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ ในเมื่อเขาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น เขาก็ต้องกล้ำกลืนศักดิ์ศรีของตัวเอง แม้จะเป็นยอดฝีมือที่อยู่อันดับสองเขาก็ต้องฝืนยิ้มและทักทายด้วยความเป็นมิตร

 

“ไม่มากเท่าไหร่”

 

เฉินเฉินพูดอย่างเฉยเมย หลังจากนั้นผู้สืบทอดที่อยู่ในที่นี้ก็ดูตึงเครียดขึ้นมาในทันที ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บรรยากาศที่ดูไม่เป็นมิตรก็แผ่ออกมา

 

เนื่องจากมีสมบัติสวรรค์อยู่ไม่มาก พวกเขาจึงต้องแข่งกัน ซึ่งทุกคนที่อยู่รอบตัวพวกเขาก็คือคู่แข่ง

 

“ระบบ ของที่มีค่ามากที่สุดในรัศมี 30 เมตรอยู่ตรงไหน?”

 

“ชุดเกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์ที่ระยะสามเมตรทางซ้ายของท่านค่ะ”

 

“ของที่มีค่าเป็นอันดับสองหล่ะ?”

 

“สร้อยคอดอกไม้เลือดฟีนิกซ์ที่ระยะสองเมตรทางขวาของท่านค่ะ”

 

 

เมื่อได้ฟังคำตอบ เฉินเฉินก็รู้สึกประหลาดใจ

 

ผู้สืบทอดพวกนี้รวยใช้ได้เลยทีเดียว แค่ของที่อยู่นอกแหวนเก็บของก็มีจำนวนไม่น้อยแล้วที่มีค่ามากกว่าอุปกรณ์ที่เขาสวมใส่

 

อย่างที่คิดเอาไว้ ของที่สามารถซื้อได้นั้นไม่ใช่ของที่ดีที่สุด

 

ของที่ดีที่สุดคือของที่ซื้อไม่ได้ต่างหาก

 

อย่างไรก็ตาม ของพวกนี้จะต้องถูกเปลี่ยนเจ้าของในวันนี้แหล่ะ

 

แต่ว่าก่อนหน้านั้นเขาต้องลองหยั่งเชิงดูซะก่อน

 

ด้วยความคิดนี้เอง เฉินเฉินก็หยิบโสมแดงอายุ 10,000 ปีออกมาจากแหวนเก็บของของเขา

 

“ข้ามีโสมแดงอายุ 10,000 ปีอยู่ที่นี่ซึ่งมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการของหนึ่งในพวกเจ้าให้หายเป็นปลิดทิ้ง พวกเจ้าบอกสิ่งที่จะนำมาแลกได้เลย แต่ข้าขอพูดให้ชัดเจนเอาไว้ก่อนนะ ข้าไม่อยากได้ของต่ำต้อยอย่างหินวิญญาณ”

 

ในขณะที่มองโสมแดง ดวงตาของผู้สืบทอดก็เป็นประกายขึ้นมา ด้วยใบหน้าที่เหมือนกับผีดิบของพวกเขา

 

แม้ว่าพวกเขาเองก็เคยมีของแบบนี้มาก่อน แต่สิ่งที่พวกเขามีก็คือชิ้นส่วนโสม อย่างไรก็ตามผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนนั้นได้เอาโสมแดงทั้งต้นออกมา

 

“พี่ใหญ่เฉิน ข้ามีขนนกวิหคสีชาดอยู่ที่นี่ มันมีคุณสมบัติศักดิ์สิทธิ์ค่ะ!”

 

ในตอนนี้เองเซียวฮวงเรียกเขาว่า ‘น้องเล็ก’ ต่อไปไม่ได้แล้วและเปลี่ยนไปเรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ แทน อย่างไรก็ตามเขาเองก็หยิบขนนกที่เป็นประกายออกมาจากแหวนเก็บของของเขา

 

เมื่อเห็นขนนกนั่น เหล่าผู้สืบทอดก็พากันหวาดหวั่น

 

‘บ้าจริง นี่มันเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ มันคือขนนกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์!’

 

“เฉิน… อะแฮ่ม ข้ามีไข่อยู่ทีนี่! มันมีโอกาสที่จะฟักออกมาเป็นเต่าดำ

 

ในจุดนี้เอง ซวนฮงก็ไม่มีความเย่อหยิ่งอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากในการที่จะกล้ำกลืนศักดิ์ศรีของเขาและเรียกเฉินเฉินว่า ‘พี่ใหญ่’ อย่างไรก็ตาม ของที่เขานำออกมานั้นมันทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจได้จริงๆ!

 

‘มีโอกาสฟักออกมาเป็นเต่าดำหรอ!’

 

‘นี่มันสุดยอดไปเลย!’