บทที่ 503: การทดสอบศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย 4

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

ในวันที่สองของการทดสอบ โหลวหลานจีปรากฏตัวขึ้นเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของพวกเขา

 

“เป็นอย่างไรบ้าง ซูหยาง มีศิษย์มากเท่าไหร่ที่พวกเราได้รับตอนนี้” เธอถามเขาด้วยเสียงตื่นเต้น

 

“สองร้อยกับสิบคน” เขาตอบอย่างใจเย็น

 

“เอ๋…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่าไปชั่วขณะ

 

“ศิษย์สองร้อยสิบคน… เท่านั้นรึ” โหลวหลานจีมองดูคนนับพันที่รวมตัวกันที่นั่น เธอไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถรับศิษย์เพียง 210 คนในเมื่อมีผู้เข้าร่วมการทดสอบนับหมื่นคนที่นั่น

 

“ถูกต้อง และพวกเราก็จักรับศิษย์สูงสุดเพียง 1,000 คนในตอนนี้” เขากล่าวเสริมขึ้น

 

“แต่ทำไมจึงน้อยนัก มิดีกว่าหรือถ้าเรารับศิษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเพิ่มจำนวนของพวกเรา” เธอถามด้วยใบหน้าสงสัย ในเมื่อยิ่งมีศิษย์มากเท่าไหร่ ชื่อเสียงของพวกเขาก็จะดีขึ้นมากเท่านั้น

 

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะถมจำนวนนิกายของพวกเราด้วยขยะเพียงเพื่อที่จะเพิ่มชื่อเสียงของสำนัก ในเมื่อนั่นย่อมเพียงเป็นอันตรายต่อนิกายยามเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่พวกเราต้องการในตอนนี้มิใช่ชื่อเสียงหรือจำนวน แต่เป็นรากฐานอันแข็งแกร่งที่จักอยู่ได้แม้จะผ่านไปนับพันปี และในการที่จะให้ได้สิ่งนี้ พวกเรามิอาจจะยอมให้ใครก็ได้เข้าร่วมกับพวกเรา แต่ทว่าครั้นเมื่อรากฐานของเราแข็งแกร่งพอแล้ว พวกเราสามารถที่จะเริ่มรับศิษย์ให้มากขึ้นได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของพวกเขา”

 

“ข-ข้าเข้าใจ…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเธอถามเขาว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้มาก ราวกับว่าเจ้าได้เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน หรือว่าเจ้ามีสำนักเป็นของตนเองในชีวิตก่อน นั่นย่อมอธิบายได้ถึงความเชี่ยวชาญของเจ้า”

 

“ข้ามิควรเรียกมันว่าสำนัก แต่ก็ควรเป็นอะไรทำนองนั้น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับ

 

จากนั้นโหลวหลานจีก็ดูการทดสอบเป็นเวลาสองสามชั่วโมง ในเมื่อเธอก็อยากรู้เกี่ยวกับวิธีการทดสอบของเขา

 

“เม็ดยาสีแดงนั่นคืออะไร” เธอถามเขาหลังจากที่เห็นผลลัพธ์อันลึกลับ

 

เพราะว่าซูหยางไม่ได้เกริ่นให้เธอฟังถึงการทดสอบ เธอจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

 

“เม็ดยาจิตมาร มันจักเข้าไปค้นหาความกลัวที่แสนเลวร้ายหรือความชอกช้ำที่เลวร้ายที่สุดของคนผู้นั้นที่เคยได้ประสบมาก่อนและสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในใจของจิตใจของพวกเขาและทำให้มันน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่า ราวกับความฝันที่เป็นจริง ในการที่จะผ่านการทดสอบนี้คนผู้นั้นจะต้องมีวิถีจิตที่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะความกลัวที่เลวร้ายที่สุดนี้ มิเช่นนั้นเม็ดยาจิตมารนี้ก็จักมีอิทธิพลเหนือจิตใจและวิญญาณของพวกเขาและทำการครอบงำ”

 

“แล้วอะไรคือการทดสอบที่สาม ข้าได้ดูมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ข้ากลับมิสามารถที่จะเข้าใจว่านี่คือการทดสอบอะไร” โหลวหลานจีถาม

 

“พูดให้ง่ายๆ มันคือการทดสอบพรสวรรค์ในการฝึกวิชา น้ำในชามนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามของ วารีกลืนสวรรค์ และมันมีความสามารถในการดูดซับปราณไร้ลักษณ์ใดๆที่เข้ามาสัมผัสกับมัน ในที่ที่ข้าจากมา มันใช้ในการทดสอบอัตราการดูดซับปราณไร้ลักษณ์ของผู้คนจนเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากว่าวารีกลืนสวรรค์ไม่สามารถที่จะดูดซับเลือดที่บรรจุไปด้วยปราณไร้ลักษณ์ที่ผสมผสานในนั้นได้เต็มที่ นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นมีเลือดที่มีความสามารถในการดูดซับปราณไร้ลักษณ์สูงอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกวิชายุทธที่ยอดเยี่ยม”

 

“แน่นอนว่านั่นก็ยังมีหลายระดับของวารีกลืนสวรรค์ และที่ข้าใช้ในตอนนี้ก็เป็นระดับที่ต่ำที่สุด”

 

“ช่างเป็นสสารที่ลึกล้ำ… เพียงแต่ว่าเจ้าหาสิ่งแบบนี้จากที่ไหนกันรึ” โหลวหลานจีถามเขาหลังจากนั้น

 

ซูหยางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้ามิสามารถที่จะหาสิ่งของประเภทนี้ได้ที่นี่ต่อให้ค้นหาจากทั่วทั้งโลก ดังนั้นข้าจึงสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง”

 

“ข้าจักมิถามเจ้าต่อว่าเจ้าสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร…” โหลวหลานจีถอนหายใจ

 

“จริงๆแล้วมันค่อนข้างง่ายดาย เจ้าเพียงแค่ต้องการน้ำทั่วไปและองค์ประกอบอีกบางอย่าง ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือเทคนิคที่ใช้ ถ้าเจ้าต้องการใช้วารีกลืนสวรรค์ในอนาคต ข้าก็จักให้สูตรไว้ในภายหลัง ไม่ว่าอย่างไรมันก็มิได้เป็นสิ่งมีค่าอะไรมากนัก”

 

“จ-จริงรึ เช่นนั้นข้าก็จักมิเกรงใจแล้ว” เธอรีบรับความใจกว้างของเขาไว้

 

“แล้วอะไรคือความหมายเบื้องหลังการประลอง” เธอถามเขาหลังจากนั้น “เจ้าคาดหวังว่าจะมีใครสักคนสามารถเอาชนะศิษย์ของพวกเราได้จริงงั้นรึ”

 

แต่ทว่าซูหยางกลับส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้ามิได้คาดหวังอะไร เจตนาเพียงอย่างเดียวสำหรับการประลองนี้ก็คือให้ข้าสามารถวิเคราะห์ความสามารถของพวกเขาและให้วิชาการฝึกปรือที่เหมาะสมกับพวกเขา ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อความแข็งแกร่งและแก้ไขจุดอ่อนของพวกเขา”

 

“อะไรกัน อย่างนั้นเป็นไปได้ด้วยรึ ในการเลือกวิชาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับศิษย์แต่ละคน… นั่นปกติแล้วต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือไม่ก็หลายปีในการสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เจ้ากำลังบอกข้าว่าเจ้าสามารถทำสิ่งเช่นเดียวกันนั้นโดยการมองดูพวกเขาต่อสู้เพียงไม่กี่นาที” โหลวหลานจีไม่เคยได้ยินหรือเห็นใครสักคนทำอะไรมากมายสำหรับศิษย์ใหม่มาก่อน แน่นอนว่าซูหยางเป็นคนแรกที่คิดอะไรเช่นนั้นอย่างจริงจัง

 

“แน่นอน เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน ถ้าข้ามิสามารถกระทั่งทำอะไรที่เป็นพื้นฐานมากๆเช่นนี้ ข้าก็มิมีค่ามากพอที่จะเรียกว่าเซียนแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ

 

ในวันที่สามของการทดสอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับศิษย์ใหม่ 510 คน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็ยิ่งมีคนน้อยลงที่สามารถผ่านการทดสอบ

 

“หืออออ คนที่เข้าร่วมการทดสอบที่อยู่ตรงนั้น…” โหลวหลานจีพลันชี้ไปยังผู้เข้าร่วมการทดสอบคนหนึ่งที่ตอนนี้อยู่ที่การทดสอบที่สองและกล่าวว่า “ข้าจำเขาได้ เขาเคยเป็นศิษย์ในของนิกายมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น”

 

“โอ จริงรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว

 

“ข้ามั่นใจ แม้ว่าข้าอาจจะจำศิษย์ทุกคนมิได้ แต่ข้าได้จดจำใบหน้าของศิษย์ในส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดได้”

 

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร” เขาถามเธอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสนใจ

 

“แม้ว่าอาจจะดูข้าใจแคบไปบ้างในตอนนี้ ข้าได้สาบานต่อตนเองว่าข้าจักมิยอมให้คนที่ละทิ้งนิกายในวันนั้นได้ก้าวเท้าเข้าในนิกายอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อเจ้าเป็นคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการทดสอบครั้งนี้ ดังนั้นข้าจักปล่อยให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย” เธอตอบพร้อมกับขมวดคิ้วลึก

 

แม้กระทั่งคนตาบอดที่ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของเธอในตอนนี้ก็ยังสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายถึงความเกลียดชังที่เธอมีต่อคนที่ทอดทิ้งนิกายจากน้ำเสียงของเธอเพียงอย่างเดียวได้

 

“ก็ได้ แต่มาดูกันว่าเขาสามารถผ่านการทดสอบที่สามได้หรือไม่ก่อนก็แล้วกัน” ซูหยางกล่าว