ตอนที่ 711 ขวางวิถีกระบี่

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 711 ขวางวิถีกระบี่

เมื่อคิดได้ดังนั้นมู่จวินฮานจึงพยายามหลบหลีกลูกธนูที่ยิงเข้ามาพร้อมเร่งฝีเท้าพุ่งไปยังทิศทางที่มือสังหารเหล่านั้นซุ่มอยู่ การเคลื่อนไหวของมู่จวินฮานรวดเร็วยิ่งนัก แต่ตำแหน่งที่มือสังหารหลบซ่อนตัวก็กระจายกันไป

เขาจึงพุ่งตัวไปยังทิศทางที่คาดว่ามีหนึ่งในมือสังหารซุ่มอยู่ แต่กลับทำให้เขาถูกโจมตีจากศัตรูพร้อมกันทุกทิศทุกทางและลูกธนูที่ยิงมาจากด้านหลังก็ทำให้เขาตั้งรับแทบมิทัน

การโดนโจมตีโดยมิทันตั้งตัวนี้ทำให้มู่จวินฮานรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เขาจำต้องละทิ้งแผนการของตน แต่ขณะที่ก้าวไปข้างหน้าได้มิเท่าไรกลับถูกพวกมันไล่ต้อนจนไปถึงริมฝั่งแม่น้ำเสียแล้ว

เนื่องจากมือสังหารเห็นว่ามู่จวินฮานยังมิโดนยิงเสียที อีกทั้งพวกมันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้เปรียบแม้แต่น้อย ลูกธนูในมือเริ่มมีจำกัด พวกมันจึงตัดสินใจออกจากที่ซ่อนเพื่อเผชิญหน้ากับมู่จวินฮาน

เมื่อเห็นพวกมือสังหารพุ่งออกมาจากที่ซ่อนแล้ว มู่จวินฮานก็ถอนหายใจออกมาเพราะการซุ่มโจมตีอย่างลับ ๆ นั้นยากที่จะป้องกัน เวลานี้พวกมันเลือกต่อสู้แบบซึ่งหน้าจึงเป็นการลดแรงกดดันให้เขาได้มากทีเดียว

แต่พอพวกมันออกมาเผชิญหน้าแล้ว มู่จวินฮานกลับพบว่าตนคิดผิด

เพราะมือสังหารเหล่านี้แข็งแกร่งและปราดเปรียวยิ่งนัก เช่นนั้นคงมิกล้าเผชิญหน้ากับเขาอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งการที่เขาเผชิญหน้ากับมือสังหารพร้อมกันถึงสามคนจึงมิง่ายที่จะรับมือ

หลังจากนั้นพวกเขาก็ปะทะกัน มู่จวินฮานที่ต่อสู้กับมือสังหารเพียงลำพังกำลังหมดแรงลงเรื่อย ๆ จึงทำให้พลาดท่าได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ชุดคลุมบนตัวถูกฟันขาดไปหลายแห่ง ช่างน่าอับอายยิ่งนัก

แต่มือสังหารเหล่านั้นยังมิรามือ เห็นได้ชัดว่ามิใช่แค่ต้องการมอบบทเรียนแก่เขาและการโจมตีที่ดุดันขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้มู่จวินฮานยากจะหลบเลี่ยง

ทางด้านอันหลิงเกอที่กลับมาก็เห็นมู่จวินฮานถูกต้อนไปถึงริมแม่น้ำทีละก้าวและเห็นว่าฝีมือของคนเหล่านี้ร้ายกาจยิ่งนัก เมื่อเห็นมู่จวินฮานกำลังจะพลาดท่า อันหลิงเกอจึงรีบวางฟืนในมือลงแล้วชักมีดสั้นที่เอวออกมาพร้อมพุ่งตัวเข้าไปทันที

พวกมือสังหารเห็นว่าอันหลิงเกอโจมตีมาจากด้านหลัง พวกมันจึงเบนความสนใจไปที่นางแทน

เวลานี้มือสังหารมิได้สนใจคำสั่งของฟางหลิงซู่อีก หากไม่ลงมือกับอันหลิงเกอในช่วงเวลาความเป็นความตายเช่นนี้พวกมันจะต้องเสียเปรียบแน่นอน

ทั้งสามสบตากันครู่หนึ่งแล้วหันไปลงมือกับอันหลิงเกอซึ่งกระบวนท่าพิฆาตของพวกมันทำให้อันหลิงเกอตกใจจนตัวเย็นเฉียบ

เมื่อมือสังหารหันไปโจมตีอันหลิงเกอ ด้านมู่จวินฮานก็กำลังหอบเหนื่อยอยู่ริมแม่น้ำและพอเห็นว่าอันหลิงเกอถูกโจมตี อีกทั้งคนเหล่านี้ยังโจมตีแบบมิยั้งมือก็อดขมวดคิ้วขึ้นมามิได้

เดิมทีเขาคิดว่ามือสังหารเหล่านี้เป็นอันหลิงเกอส่งมา แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะการโจมตีใส่อันหลิงเกอโดยมิยั้งมือเช่นนี้ดูไม่เหมือนการแสดงแม้แต่น้อย อีกอย่างเมื่อครู่หากมิใช่เพราะอันหลิงเกอเข้ามาขวางได้ทันเวลาก็เกรงว่าเขาคงตายภายใต้คมกระบี่ของมือสังหารไปแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้นมู่จวินฮานก็รีบพยุงกายขึ้นแล้วพุ่งไปหาคนทั้งสี่ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ก่อนจะให้อันหลิงเกอมาหลบอยู่ด้านหลังแทน เขาเป็นถึงอ๋องมู่และแม้ต้องตายก็มิอาจหลบอยู่หลังสตรีได้ !

“เจ้ารีบไปเถิด” เสียงทุ้มต่ำของมู่จวินฮานดังที่ข้างหูของอันหลิงเกอ นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถูกมู่จวินฮานผลักออกอย่างแรงจนต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

ส่วนมือสังหารเหล่านั้นเมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอถอยออกไปแล้วจึงพุ่งเป้าไปที่มู่จวินฮานตามคำสั่งที่ได้รับอีกครั้งและทั้งสามลงมือโจมตีมู่จวินฮานพร้อมกันจากสามทิศทาง

มู่จวินฮานที่โดนโจมตีรอบด้านแม้จะหลบกระบี่สองเล่มตรงหน้าได้ก็ถูกบีบจนต้องถอยไปเรื่อย ๆ จึงหลบมือสังหารที่โจมตีด้านหลังมิทัน ในตอนที่มู่จวินฮานคิดว่าวันนี้ต้องตายแน่แล้วก็ได้ยินเสียงกระบี่แทงทะลุเนื้อดังขึ้น

แต่เขามิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่คาดเอาไว้ กลับพบว่ามีร่างผอมบางร่างหนึ่งกำลังพิงร่างของตนอยู่แล้วค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้น

มู่จวินฮานมองอย่างมิอยากเชื่อสายตาตนเอง ก่อนจะได้สติคืนมาอีกครั้ง เมื่อครู่เป็นอันหลิงเกอที่เข้ามาขวางกระบี่เล่มนั้นเอาไว้

อันหลิงเกอล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น มือสังหารทั้งสามเห็นอันหลิงเกอได้รับบาดเจ็บและหมดสติ ภายในใจของพวกมันก็ตื่นตระหนกขึ้นมา

ทั้งสามสบตากันเหมือนกำลังใช้สายตาในการสื่อสาร แต่มู่จวินฮานหาได้สนใจไม่และมิได้หันไปมองด้วยเช่นกัน เขาเอาแต่กอดร่างของอันหลิงเกอไว้และก้มหน้าลงโดยมิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

ตอนนี้มือสังหารทั้งสามก็มีแววตาที่เข้มขึ้นอย่างชัดเจนราวกับได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะลงมือโจมตีมู่จวินฮานอีกครั้ง เมื่อครู่พวกมันได้ตัดสินใจแล้วว่าเกิดเรื่องถึงเพียงนี้ก็สังหารมู่จวินฮานตามไปเสีย จักไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีก

มู่จวินฮานที่ตอนนี้กำลังตกอยู่ในภวังค์ความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุดก็มิหลบหลีกแต่อย่างใด เขาแค่นั่งกอดอันหลิงเกอเอาไว้เช่นนั้น แต่พอมือสังหารกำลังจะเข้าไปใกล้ มู่จวินฮานก็อุ้มอันหลิงเกอขึ้นมาแล้วกระโดดลงในแม่น้ำสายนั้นทันที เพียงพริบตาเดียวทั้งคู่ก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นก็เห็นแม่น้ำถูกย้อมจนเป็นสีแดงตามทิศทางที่คนทั้งสองจมหายไป มือสังหารทั้งสามก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจจากไปเพราะรู้ว่าตอนล่างของแม่น้ำสายนี้มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย เชื่อว่ามู่จวินฮานและอันหลิงเกอไม่มีทางผ่านคืนนี้ไปได้แน่นอน

เนื่องจากตอนนี้อันหลิงเกอถูกแทงมิรู้ว่าเป็นหรือตาย ส่วนมู่จวินฮานก็ใช้พลังไปค่อนข้างมาก ดังนั้นพวกมันจึงวางใจ

ทว่าทันทีที่พวกมันจากไป มู่จวินฮานก็อุ้มอันหลิงเกอออกมาจากพงหญ้าที่อยู่ริมแม่น้ำ เขารู้ว่าพวกมันต้องการเห็นทั้งสองคนตายก่อนจึงจะจากไป ดังนั้นจึงมีเพียงวิธีนี้ที่จะสามารถทำให้พวกมันตายใจและยอมรามือ

ทำให้เมื่อครู่ตอนที่กระโดดลงไป เขาได้โยนเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดของอันหลิงเกอไปด้วย ภายใต้กระแสน้ำที่ไหลเชียวจึงไม่มีผู้ใดมองออกว่านั่นเป็นเพียงเสื้อคลุม

มู่จวินฮานจึงอาศัยจังหวะนั้นพาอันหลิงเกอไปซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าที่มีความสูงมากอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อมือสังหารทั้งสามมองจากเหนือริมฝั่งลงไปจึงมิพบความผิดปกติใดและยอมถอยกลับไป

ในตอนนั้นเองเมื่อเห็นบาดแผลที่ค่อนข้างใหญ่ทั้งยังมีเลือดไหลออกมามิหยุดของอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานก็รีบอุ้มนางขึ้นไปเหนือฝั่งทันที

ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมาถึงช่วงค่ำแล้ว เขามิรู้ว่าควรจะไปที่ไหนดี ยังมิรู้ว่าคนลอบโจมตีเป็นผู้ใดและแสงสว่างก็เริ่มเลือนหายแล้ว ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมแทนที่ ช่วงเวลาเช่นนี้อันตรายยิ่งนักสำหรับทั้งคู่

พรุ่งนี้ก็จะถึงวันกลับเข้าเมืองหลวง ส่วนคืนนี้มิว่าอย่างไรเขาก็มิอาจกลับไปที่ค่ายได้

เมื่อได้ไตร่ตรองแล้วก็คาดเดาได้ว่าคนที่ต้องการสังหารตนจะต้องอยู่ในค่ายเป็นแน่ หรืออาจเป็นฮ่องเต้เองก็ได้

อย่างไรฮ่องเต้ก็มิอยากทำร้ายอันหลิงเกอจึงออกคำสั่งให้รออันหลิงเกอออกไปก่อนค่อยลงมือ

คิดไปคิดมามู่จวินฮานก็รู้สึกว่ามีหลากหลายความคิดตีกันวุ่นวายไปหมด เขาจึงหยุดคิดและอุ้มอันหลิงเกอเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนไม่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่จึงเป็นที่หลบภัยเหมาะสมมากในตอนนี้

ส่วนอันหลิงเกอยังมิได้สติ โชคดีที่เวลาออกข้างนอกมู่จวินฮานมักพกยาห้ามเลือดมาด้วยตลอด ตอนนี้จึงได้โอกาสนำมาใช้

อันหลิงเกอได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอก เวลานี้มู่จวินฮานจึงปลดเสื้อของนางออกแล้วพบว่าบาดแผลนั้นฉกรรจ์มิน้อย

เดิมทีอันหลิงเกอมีผิวขาวเนียนอยู่แล้วทำให้รอยแผลที่สะดุดตานี้ดูน่ากลัวยิ่งนักเมื่ออยู่บนอกของนาง มู่จวินฮานจึงมือสั่นเพราะกลัวว่าจะทำให้นางเจ็บ