ตอนที่ 650 ไม่อาจรั้ง / ตอนที่ 651 สำคัญยิ่งกว่าชีวิต

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 650 ไม่อาจรั้ง

 

 

หลิงอวี้จื้อได้แต่พูดประโยคนั้นอยู่ในใจ แล้วแกล้งหมดสติไป

 

 

“อวี้จื้อ”

 

 

เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้อหมดสติไป เฉินม่อฉือก็ตะโกนด้วยความร้อนใจ แม้แต่มือก็สั่นไปหมด เขาอุ้มหลิงอวี้จื้อวิ่งไปที่ห้อง ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ เขากลัวว่าหลิงอวี้จือจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีก กลัวว่าเธอจะตายไปอีก เขาต้องทนทุกข์ทนมานกับการเสียหลิงอวี้จื้อไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่อยากเผชิญกับความรู้สึกนั้นอีกแล้ว

 

 

หรือเขาทำผิดไปแล้วจริงๆ

 

 

เขาแค่อยากให้หลิงอวี้จื้ออยู่กับเขา เป็นสตรีของเขา เขาไม่เคยคิดจะบีบนางให้ตายเลย

 

 

หากมู่หรงกวานเย่ว์รู้ฐานะของหลิงอวี้จื้อ เขารู้ดีว่าเธอจะต้องตกอยู่ในอันตราย ถึงตอนนั้นเขาเองก็อาจจะปกป้องเธอไม่ได้ เล่ห์กลของมู่หรงกวานเย่ว์เป็นเช่นไรเขารับรู้มาตลอด

 

 

แม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ และกักบริเวณมู่หรงกวานเย่ว์ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งมู่หรงกวานเย่ว์ได้ นางเป็นไทเฮามาหลายปี คนของนางมีทุกที่ และที่สำคัญ นางคือมารดาแท้ๆ ของเขา เขไม่อาจตัดขาดกับนางได้

 

 

ถึงเวลานี้ เฉินม่อฉือตัดสินใจได้แล้ว ขอเพียงหลิงอวี้ไม่ตาย เขาจะปล่อยเธอไป เขาคงรั้งเธอไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

 

 

หมอหลวงถือกล่องโอสถรีบร้อนเข้ามา หลังจากตรวจชีพจรให้หลิงอวี้จื้อ เฉินม่อฉือก็อเอ่ยถามขึ้นอย่างรีบร้อนโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปากก่อนด้วยซ้ำ “หยวนเฟยเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ทูลฝ่าบาท หยวนเฟยถูกพิษจริงๆ พะยะค่ะ แต่เป็นพิษอะไรนั้น กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ พะยะค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินหมอหลวงบอกว่าไม่ทราบว่าหลิงอวี้จื้อถูกผิดชนิดใด เฉินม่อฉือก็ร้อนใจอย่างที่สุด จึงตะโกนด่าว่า “ไร้ประโยชน์”

 

 

หมอหลวงตกใจจนต้องลงไปนั่งคุกเข่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ แต่พิษชนิดนี้กระหม่อมไม่เคยพบมาก่อน ชีพจรของหยวนเฟยสับสนยิ่ง กระหม่อมจะจัดยาเพื่อควบคุมพิษไว้ชั่วคราวก่อน ส่วนวิธีถอนพิษ…”

 

 

“ยังไม่รีบไปจัดยาอีก”

 

 

เฉินม่อฉือตะโกนออกมา หมอหลวงจังตรงหน้าเป็นหมอหลวงที่ฝีมือดีที่สุดในวังแล้ว หากแม้แต่เขายังไม่ทราบว่าคือพิษชนิดใด คนอื่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้เรียกหมอหลวงคนอื่นมาอีก

 

 

เมื่อได้ยินหมอหลวงบอกว่าสามารถระงับพิษไว้ชั่วคราวได้ เขาก็รีบให้ไปจัดยามาทันที แค่ไม่อันตรายถึงชีวิตก็พอแล้ว

 

 

หลิงอวี้จื้อมีสติอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ลืมตา เธอยังคงแกล้งหมดสติต่อไป

 

 

ยานี้เจียงสือเป็นคนให้นาง ความจริงไม่นับเป็นยาพิษ เจียงสือรักน้องสาวคนนี้มาก ไม่มีทางเอายาพิษจริงๆ ให้นางกินแน่ แค่ทำให้ดูเหมือนถูกพิษเท่านั้น ความจริงไม่มีผลเสียอันใดกับร่างกายเลย ผ่านไปสักสองสามวันก็หายแล้ว

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน แม้แต่ฝันเธอก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีวันร่วมมือกับเจียงสือได้ ชีวิตคนเราช่างเหมือนฝันจริงๆ

 

 

หมอหลวงจังจัดยาให้หลิงอวี้จื้อ นางจึงฟื้นขึ้นมาได้

 

 

เฉินม่อฉือเฝ่าอยู่ข้างเตียงไม่ห่างไปแม้เพียงครึ่งก้าว เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้อฟื้น ก็พุ่งเข้าไปหาทันที สีหน้ามีความดีใจที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้ “อวี้จื้อ เจ้าฟื้นแล้ว เสี่ยวเตี๋ยไปต้มยาแล้ว แค่ดื่มยา เจ้าก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

 

 

หลิงอวี้จื้อเบี่ยงหน้าไปอีกทาง ท่าทีคล้ายคนหมดอาลัยตายอยาก “ทำไมต้องช่วยหม่อมฉัน”

 

 

“เราจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่า ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้ก็ไม่ควรไปเรียกหาความตาย เจ้าพูดเองลืมแล้วหรือไร”

 

 

“แต่ตอนนี้หม่อมฉันไม่สามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้ ให้หม่อมฉันตายน่าจะมีความสุขกว่า”

 

 

หลิงอวี้จื้อยื่นมือดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้า เฉินม่อฉือนั่งลงข้างเตียง เขาไม่คิดจะปล่อยหลิงอวี้จื้อไปง่ายๆ “อวี้จื้อเจ้าเอายาพิษมาจากไหน”

 

 

“เป็นพิษของสำนักอู๋จี๋ที่หม่อมฉันพกมาด้วย เดิมคิดจะใช้เพื่อป้องกันตัว แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายต้องมาใช้เอง” หลิงอวี้จื้อยังคงเอาผ้าห่มปิดหน้าไว้ เสียงที่เอ่ยก็ดูเหนื่อยหน่าย “ฝ่าบาท ไม่ต้องช่วยหม่อมฉันหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่มีทางยอมเป็นหมากให้ไทเฮาใช้ข่มขู่อาเหยี่ยนแน่”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 651 สำคัญยิ่งกว่าชีวิต

 

 

“เขาสำคัญสำหรับเจ้ามากขนาดนั้นเชียวหรือ?”

 

 

น้ำเสียงของเฉินมั่วฉือขมขื่นยิ่งนัก แต่นอกจากความขมขื่นแล้วกลับเจือไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่ในที ทั้งๆ ที่เขาทำทุกอย่างได้เพื่อหลิงอวี้จื้อ แต่มันก็ไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้

 

 

“ใช่ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของหม่อมฉันด้วยซ้ำ”

 

 

หลิงอวี้จื้อดึงรั้งผ้าห่มเล็กน้อย น้ำเสียงที่กล่าวขึ้นจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

ได้ยินเช่นนั้น เฉินมั่วฉือก็นิ่งเงียบลงไป แม้ว่าเขาจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่ยินยอมที่จะเอ่ยมันออกมาอยู่ดี

 

 

หลิงอวี้จื้อเงยหน้ามองเพดานห้องอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดจา ดูราวกับดอกไม้งามที่สูญเสียแรงขับเคลื่อนในการที่จะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไรอย่างนั้น

 

 

และนางก็มั่นใจในทักษะการแสดงละครของตนมากเสียด้วย

 

 

ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ นางจึงไม่ต้องการที่จะให้ความหวังอันไร้ค่าอะไรกับเฉินมั่วฉืออีก ทั้งยังไม่ต้องการให้เฉินมั่วฉือต้องมาเสียเวลากับนาง เพราะการกระทำเช่นนี้มิได้ส่งผลดีต่อใครทั้งสิ้น นางต้องการให้เฉินมั่วฉือเข้าใจความรู้สึกของนางอย่างถ่องแท้ เข้าใจเสียทีว่านางและเขาอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้

 

 

“ข้าจะปล่อยเจ้าไป”

 

 

คล้ายกับตัดสินใจครั้งใหญ่ได้ในที่สุด จู่ๆ เฉินมั่วฉือก็เอ่ยปากขึ้น

 

 

หลิงอวี้จื้อหันขวับมองมายังเฉินมั่วฉือ ราวกับไม่อยากเชื่อคำพูดของเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ฝ่าบาท เมื่อครู่พระองค์ทรงรับสั่งว่าอะไรนะเพคะ?”

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะไปหาเซียวเหยี่ยน ข้าจะปล่อยเจ้าไป”

 

 

“อวี้จื้อ แม้ว่าข้าอยากที่จะรั้งเจ้าเอาไว้ข้างกาย แต่ข้าก็ไม่ต้องการจะหลอกใช้เจ้า ระหว่างข้ากับเซียวเหยี่ยนจะต้องสะสางให้จบสิ้นกันไปข้างหนึ่ง เรื่องระหว่างลูกผู้ชาย ข้าไม่อยากที่จะดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังไม่ต้องการใช้เจ้ามาข่มขู่เซียวเหยี่ยนด้วย นี่คือความในใจที่ข้ามีต่อเจ้า”

 

 

“ข้าต้องสยบเซียวเหยี่ยนด้วยวิธีการที่ถูกต้อง หากว่าเซียวเหยี่ยนตกอยู่ในกำมือของข้าละก็ อวี้จื้อ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่ต้องมาขอร้องข้าละ เพราะอย่างไรข้าก็ต้องฆ่าเขาให้จงได้”

 

 

“หม่อมฉันจะไม่มาขอร้องแทนเขา และเขาก็มิได้คาดหวังให้หม่อมฉันมาขอร้องแทนเช่นกัน เมื่อพ่ายแพ้ก็ต้องยอมรับในผลของมัน ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร หม่อมฉันต้องการแค่เพียงอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้นเพคะ”

 

 

หลิงอวี้จื้อเผยความในใจออกมาจนหมดเปลือก

 

 

เสือสองตัวต่อสู้กันย่อมต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบาดเจ็บ นี่คือผลลัพธ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือขัดขวางได้ และสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนต้องทำนั่นก็คือเดินหน้าต่อไป

 

 

เซียวเหยี่ยนคือผู้ที่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเฉินมั่วฉือที่อายุยังน้อยกลับมีความเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้

 

 

พวกเขามิใช่คนต่ำช้า แม้นางจะไม่ต้องการจะเจอกันในสนามรบในวันใดวันหนึ่งก็ตาม แต่หลิงอวี้จื้อก็ไม่มีหนทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ ทำได้เพียงแค่ยืนเคียงข้างเซียวเหยี่ยนและเดินหน้าต่อไป

 

 

ในตอนนั้นเองเสี่ยวเตี๋ยยกยาชามหนึ่งเข้ามา เฉินมั่วฉือหยิบชามยาจากมือของเสี่ยวเตี๋ย ใช้ช้อนคนเบาๆ แล้วจึงเอ่ยปากว่า

 

 

“ข้าไม่เคยป้อนยาใครมาก่อน อวี้จื้อ ข้าอยากป้อนเจ้า”

 

 

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไหนเลยจะต้องลำบากฝ่าบาท หม่อมฉันกินเองได้เพคะ”

 

 

หลิงอวี้จื้อกล่าวจบก็รั้งมือของเฉินมั่วฉือเข้ามาใกล้แล้วกระดกดื่มยาจนหมดในครั้งเดียว โดยมีเฉินมั่วฉือถือชามยาเอาไว้

 

 

‘ยานี่ขมจริงเชียว’

 

 

หลิงอวี้จื้อเกือบจะอาเจียนออกมา นางยกมือปิดปากตนเองเอาไว้ แล้วฝืนบังคับตนเองให้กลืนยาทั้งหมดลงไป

 

 

“ขมหรือ?”

 

 

น้ำเสียงของเฉินมั่วฉืออ่อนโยนยิ่งนัก เดิมทีหลิงอวี้จื้อเตรียมที่จะเอ่ยปากบอกออกไปว่าขม แต่ก็เกรงว่าเฉินมั่วฉือจะกระทำการอันน่าตกใจอะไรออกมาอีก ดังนั้นจึงฝืนใจเอ่ยตอบกลับว่า

 

 

“ไม่ขมเลยสักนิด”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี ยังมีอีกชาม”

 

 

“……”

 

 

หลิงอวี้จื้อหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เฉินมั่วฉือก็เล่นไม้นี้กับนางเช่นกัน ถึงได้ยังมีอีกชามรอนางอยู่

 

 

คำพูดที่ตนเองกล่าวออกไป ต่อให้ต้องกลั้นหายใจก็ต้องดื่มยานี่เข้าไปให้หมด คิดได้ดังนั้นหลิงอวี้จึงอดกลั้นต่ออาการพะอืดพะอมฝืนดื่มยาอีกชามลงไปจนหมด

 

 

เห็นหลิงอวี้จื้อดื่มยาทั้งสองถ้วยลงไปเรียบร้อย เฉินมั่วฉือถึงได้วางใจ