ตอนที่ 652 สำคัญยิ่งกว่าชีวิต / ตอนที่ 653 พบมั่วชิง

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 652 สำคัญยิ่งกว่าชีวิต

 

 

ตอนนี้หลิงอวี้จื้อขมคอเป็นอย่างมาก เฉินมั่วฉือเห็นสีหน้าของนางมิสู้ดี ดังนั้นจึงรินน้ำให้นางด้วยตนเอง

 

 

หลิงอวี้ตื้อรับจอกน้ำมาจากเฉินมั่วฉือ ก็กระดกดื่มรวดเดียวจนหมด ความรู้สึกขมในคอถึงได้ถูกน้ำชะล้างจนเจือจางลงไป

 

 

ทันใดนั้น จู่ๆ เฉินมั่วฉือก็เอื้อมมือออกมาโอบกอดหลิงอวี้จื้อ ทำเอาหญิงสาวตกอกตกใจเป็นอย่างมากถึงขนาดทำจอกน้ำหลุดมือจนหล่นแตก

 

 

‘เมื่อครู่เฉินมั่วฉือรับปากจะปล่อยนางไปแล้วนี่นา ตอนนี้เขามิได้จะเปลี่ยนใจกลับคำกระมัง!’

 

 

“อวี้จื้อ อย่าขยับ ให้ข้าได้กอดเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ข้ารู้ดีว่าจากกันครานี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก ต่อไปเจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี หากว่าเซี่ยวเหยี่ยนไม่ดีกับเจ้าละก็ เจ้าสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ ที่นี่จะมีที่ว่างให้กับเจ้าเสมอ”

 

 

หลิงอวี้จื้อทอดถอนใจแผ่วเบา

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…”

 

 

“ไม่ต้องขอโทษ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะปล่อยเจ้าไปเป็นแน่ แต่คำว่าขอโทษ ได้ยินทีไรก็ให้รำคาญใจทุกครั้ง ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าจริงๆ หากว่าข้าใจแข็งอีกสักนิด เจ้าคงจะไม่มีทางหนีไปไหนได้”

 

 

ประโยคสุดท้ายที่เขากล่าวมานั้นถูกต้อง หากว่าเขาใจแข็งอีกสักหน่อย หลิงอวี้จื้อจะไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะหนีด้วยซ้ำ แต่การที่นางใช้ชีวิตอยู่ข้างกายเขามาสักระยะหนึ่ง จึงพอจะทำให้นางรู้จักเฉินมั่วฉือมากขึ้นไม่น้อย

 

 

นางรู้ดีว่าแม้เฉินมั่วฉือจะอารมณ์มิสู้ดีเท่าไหร่นัก ทั้งยังออกจะมุทะลุอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่คนที่เลวทรามต่ำช้าคิดร้ายต่อผู้อื่นแต่อย่างใด เทียบกับเฉินเสี้ยวหรูแล้ว เฉินมั่วฉือยังนิสัยดีกว่าอยู่เล็กน้อย เขามิใช่คนต่ำช้า ไม่ทำทุกวิถีทางโดยไม่เลือกวิธีการ อย่างมากที่สุดก็เพียงแต่ปากแข็งสักหน่อยเท่านั้น

 

 

“หม่อมฉันมิได้จะทูลขอโทษสักหน่อย ฝ่าบาท พระองค์เองก็ทรงรักษาพระองค์ด้วยนะเพคะ”

 

 

หลิงอวี้จื้อมิได้ดิ้นรนขัดขืนอีกต่อไป นางยกมือลูบหลังเฉินมั่วฉือตอบเบาๆ ถือเสียว่าเป็นการกอดลาครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน ยังดีที่นางคือคนในยุคสมัยปัจจุบัน จึงมิได้อ่อนไหวต่อการกอดเท่าไหร่นัก

 

 

ในช่วงเวลานี้เฉินมั่วฉือดูแลนางเป็นอย่างดี ทำให้นางซาบซึ้งใจไม่น้อย แต่การซาบซึ้งใจมิสามารถแทนด้วยสิ่งใดได้

 

 

เฉินมั่วฉือปล่อยหลิงอวี้จื้อให้เป็นอิสระ ทำสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยว่า

 

 

“ต่อไปอย่าได้รนหาที่ตายอีก เพราะข้าจะไม่ช่วยชีวิตเจ้าเป็นครั้งที่สอง”

 

 

“ฝ่าบาทเองก็ทรงทอดพระเนตรคนข้างกายบ้างนะเพคะ บางทีอาจมีใครบางคนเหมาะสมที่จะเคียงข้างพระองค์ก็เป็นได้

 

 

“นี่เจ้ากำลังพูดแทนใครอยู่?”

 

 

หลิงอวี้จื้อยักไหล่เล็กน้อยท่าทางไม่ยี่หระ

 

 

“หม่อมฉันทูลไปอย่างนั้นเอง”

 

 

“เรื่องของข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรอกน่า ว่าแต่เจ้ามียาถอนพิษหรือไม่?”

 

 

“ตอนนี้ในตัวข้าไม่มียาถอนพิษ แต่เจียงสือมี เมื่อหม่มอมฉันไปจากวังหลวงแล้วจะไปหานางเอง ฝ่าบาทมิต้องทรงเป็นกังวลพระทัยนะเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร”

 

 

“ข้าจะเป็นห่วงเจ้าทำไมกัน เจ้าก็แค่หญิงอวดดีคนหนึ่ง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงก็นับว่าสมน้ำหน้าแล้ว ข้ากลับก่อนละ เจ้าพักผ่อนให้มากๆ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าออกนอกวัง”

 

 

เฉินมั่วฉือกล่าวจบก็ชันกายลุกขึ้น ทว่าเขาก้าวออกไปได้เพียงสองสามก็กลับหลังหันเดินกลับมาหาหลิงอวี้จื้ออีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบเอาปิ่นปักผมออกมาจากในเสื้อยัดใส่มือหลิงอวี้จื้อ

 

 

“ข้าให้เจ้า เจ้ายินดีที่จะใช้มันก็ใช้ ไม่ยินดีก็ทิ้งมันไปเสียเถิด!”

 

 

กล่าวจบเฉินมั่วฉือก็หมุนกายเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา

 

 

ปิ่นปักผมหยกขาวเล่มนี้เขาสั่งทำขึ้นให้กับหลิงอวื้จื้อโดยเฉพาะ ซึ่งหลังจากที่ได้มันมา เขาก็หาโอกาสเหมาะเพื่อมอบมันให้กับนางมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นของขวัญอำลา เขาไม่รู้ว่าหลิงอวี้จื้อจะใช้มันหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรถือว่าได้ให้ของขวัญชิ้นนี้ไปแล้ว

 

 

หลิงอวี้จื้อแบมือออกก็เห็นปิ่นปักผมหยกขาววางอยู่บนฝ่ามือของตน ที่ปลายสุดของปิ่นประดับด้วยไข่มุกสีชมพูที่แกะสลักเป็นรูปดอกเบญจมาศอย่างประณีตงดงาม เพียงแค่มองก็รู้ได้นทันทีว่าเป็นของล้ำค่า

 

 

หญิงสาวกำปิ่นปักผมในมือแน่น ไปจากวังหลวงในครั้งนี้ได้ด้วยการหลอกลวงเฉินมั่วฉือ ทำให้หลิงอวี้จื้อรู้สึกผิดในใจอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ นางเสียเวลามามากแล้ว จึงมิอาจรอได้อีกต่อไป

 

 

คิดได้ดังนั้น หลิงอวี้จื้อจึงเก็บปิ่นปักผมลงให้เรียบร้อย รอคอยเวลาที่เฉินมั่วฉือจะส่งนางออกจากวัง นางไม่รู้สึกกังวลแม้แต่น้อยว่าเขาจะกลับคำ เพราะเขามิใช่คนพูดอย่างทำอย่าง บัดนี้หากนางยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปแม้เพียงแค่วันเดียวก็จะยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น เพราะฉะนั้นยิ่งออกไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 653 พบมั่วชิง

 

 

เมื่อดื่มยาเข้าไปทำให้หลิงอวี้จื้อง่วงหงาวหาวนอน นางจึงเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

 

 

และการหลับใหลในครั้งนี้ หลิงอวี้จื้อหลับลึกจนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีคนแตะต้องตัวนาง หญิงสาวลืมตาโพลงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงว่าจะเป็นคนที่ฮองเฮาส่งมา แต่หลังจากที่อาศัยแสงจันทร์มองเห็นผู้ที่มาแตะต้องตัวนางได้ชัดเจนแล้ว หลิงอวี้จื้อก็ถึงกับร้องออกมาด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง

 

 

“มั่วชิง”

 

 

“เจ้ารู้จักข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

 

มั่วชิงในชุดไปรเวทยามราตรีสีดำสนิท มีผ้าสีดำคาดปิดบังใบหน้า คงเหลือไว้เพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้างเท่านั้นที่เล็ดลอดออกมา หากมิใช่ผู้ที่สนิทสนมคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างมากละก็ ย่อมไม่มีทางจดจำนางได้โดยอาศัยเพียงแค่ดวงตาของนางเป็นแน่

 

 

มั่วชิงเองก็ได้รับคำสั่งให้มาสืบข่าวภายในวัง ว่าสนมหยวนผู้ซึ่งได้รับการโปรดปรานนั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่ เดิมทีคิดที่จะปลุกสนมหยวนให้ตื่นเพื่อจะได้สอบถามให้ชัดเจนสักครั้ง นึกไม่ถึงว่าสนมหยวนกลับเป็นฝ่ายเรียกขานชื่อของนางออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึงเสียนี่

 

 

“ข้าต้องรู้จักเจ้าอยู่แล้ว มั่วชิง ข้าเปลี่ยนโฉมหน้าหน่อยเดียว เจ้าก็ถึงกับจำข้าไม่ได้เชียวหรือ?”

 

 

เมื่อเห็นว่าเป็นมั่วชิง หลิงอวี้จื้อก็ถึงกับถอนหายใจอย่างคลายกังวล นางยิ้มจนยาหยีขณะที่มองไปยังโมชิงอย่างอารมณ์ดี

 

 

มั่วชิงผงะไปเป็นนานกว่าที่จะระลึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร ทว่านางก็ยังแสดงอาการไม่กล้าที่จะเชื่อออกมาอยู่บ้าง จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ

 

 

“ท่านคือพระชายา?”

 

 

“ในที่สุดเจ้าก็จำข้าได้เสียที ถือว่าข้ามิเสียแรงที่ข้าเอ็นดูเจ้ามมา มั่วชิง เจ้าเจ้าสบายดีหรือไม่? อาเหยี่ยนละเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

“พระชายา ท่าน…คือพระชายาจริงๆ หรือ?”

 

 

มั่วชิงจ้อมองมายังหลิงอวี้จื้อด้วยความฉงนสงสัย แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมีลักษณะท่าทางคล้ายคลึงกับอวี้จื้อหลิงอยู่บ้าง แต่เห็นอยู่ตำตาว่านางคือเจียงอวี้ แล้วไฉนจู่ๆ ถึงกลายเป็นหลิงอวี้จื้อไปได้ มั่วชิงซึ่งเดิมก็มีนิสัยระมัดระวังรอบคอบอยู่แล้ว ดังนั้นสายที่จ้องมองหลิงอวี้จื้อนั้นจึงฉายแววระแวดระวังเป็นอย่างมากจนหลิงอวี้จื้ออดที่จะฉีกยิ้มขึ้นมาไม่ได้

 

 

“หากเป็นตัวปลอมข้าจะยอมให้เจ้าทำอะไรกับข้าก็ได้ทั้งนั้น เจ้านั่งลงก่อน พวกเราค่อยพูดค่อยจากัน”

 

 

แม้มั่วชิงจะเอาแต่จับจ้องหลิงอวี้จื้อตลอดเวลา แต่ทว่ากลับเชื่อฟังคำพูดของนางนั่งลงที่ข้างเตียงแต่โดยดี

 

 

หลิงอวี้จื้อเริ่มบอกเล่าเรื่องราวระหว่างตนเองและมั่วชิงทั้งหมดตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน และหลังจากได้ฟังในสิ่งที่หลิงอวี้จื้อบอกเล่าออกมาแล้ว สีหน้าหวาดระแวงของโมชิงก็ค่อยๆ จางหายไป

 

 

สุดท้ายคงเหลือเอาไว้เพียงท่าทางตื่นเต้นจนยากที่จะปิดบังเอาไว้เท่านั้น

 

 

“พระชายา ท่านกลับมาแล้วจริงๆ ดีจริงๆ เลย ดีมาก หากท่านอ๋องรู้จะต้องดีใจมากเป็นแน่เจ้าค่ะ ท่านอ๋องทรงเฝ้าคิดถึงคะนึงหาพระชายาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รอคอยให้พระชายากลับมา”

 

 

หลิงอวี้จื้อเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ครั้งนี้ที่กลับมาได้อยากเย็นยิ่งนัก เพราะนางถึงกับใช้ชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน หากการเดิมพันครั้งนี้พ่ายแพ้ นางก็ต้องตายอย่างแน่นอน

 

 

“ก็ใช่นะสิ ข้ากลับมาแล้ว มั่วชิง เจ้าผ่ายผอมลงไปนะ”

 

 

“ข้าน้อยสบายดีเจ้าค่ะ ท่านอ๋องต่างหากที่ทรงผ่ายผอมลงไปไม่น้อย”

 

 

“สองสามปีมานี้สุขภาพของท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

หลิงอวี้จื้อเริ่มรู้สึกเป็นห่วงเซียวเหยี่ยนขึ้นมา?

 

 

‘คนโง่ เหตุใดไม่รู้จักดูแลตัวเองเสียบ้าง?’

 

 

“ยังดีเจ้าค่ะ เพียงแต่ท่านอ๋องในพระทัยของท่านอ๋องทุกข์ระทม ข้าน้อยไม่เคยเห็นท่านอ๋องยิ้มอีกเลยเจ้าค่ะ แต่บัดนี้พระชายากลับมาแล้ว ท่านอ๋องต้องทรงดีพระทัยเป็นแน่”

 

 

“พระชายา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ? ท่านอ๋องกลับทรงตามหาหินอาตมันและไข่มุกเมฆาสวรรค์ไม่พบ”

 

 

“โชคดี ข้าพบกำไลหินอาตมันอีกชิ้นเข้าพอดิบพอดี ดังนั้นจึงกลับมาได้”

 

 

หลิงอวี้จื้อยิ้มจนตาหยีขณะที่เอ่ยขึ้นต่อไปว่า

 

 

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกลายเป็นเจียงอวี้ไปได้อย่างไร ตอนนี้เจียงสือไม่รู้ฐานะของข้า ดังนั้นเรื่องนี้จะให้นางรู้ไม่ได้เด็ดขาด มั่วชิง เจ้าออกไปก่อนนะ”

 

 

“ข้าจะมาขัดขวางมิให้ฮ่องเต้เสด็จไปบูชาฟ้าได้อย่างไร ข้าเพียงแค่ผ่านทางมาจึงได้ถามไปตามประสาเท่านั้น”

 

 

“เสด็จแม่มิทรงประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่ตำหนักฉางเล่อ เสด็จออกมาทำไมกันพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

“ข้าอยู่ที่นั่นมาหลายวัน รู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงออกมาเดินเล่นข้างนอก ในเมื่อฮ่องเต้จะเสด็จไปบูชาฟ้า เช่นนั้นก็รีบไปเสียเถอะ!”

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์สะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ นางหลบหลีกไปด้านข้างเพื่อให้เกี้ยวของเฉินมั่วฉือผ่านไป เฉินมั่วฉือเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแต่สั่งการให้ขึ้นเกี้ยวเท่านั้น

 

 

ส่วนหลิงอวี้จื้อที่เอาแต่ก้มหน้าลงต่ำตลอดเวลาก็แอบลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบาด้วยความโล่งอก

 

 

‘อันตรายเหลือเกิน’