ตอนที่ 654 ขัดขวาง / ตอนที่ 655 ทุกสิ่งบนแผ่นดินซีเว่ยล้วนแต่เป็นของหม่อมฉัน

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 654 ขัดขวาง

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์หาได้กลับเข้าไปไม่ หญิงชรายังคงยืนอยู่ที่เดิม ขบวนเสด็จของฮ่องเต้ไหนเลยจะเคลื่อนตัวด้วยความรวดเร็วได้ ด้วยเหตุนี้ขบวนเสด็จของเฉินมั่วฉือจึงเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ หลิงอวี้จื้อที่ปะปนอยู่ในขบวนพยายามก้มศีรษะลงต่ำ ตลอดเวลา ซึ่งหากมองผ่านๆ แล้วไม่น่าจะมีใครจดจำนางได้

 

 

ทว่าขณะที่เดินผ่านจื่ออีนั่นเอง จู่ๆ จื่ออีก็ยื่นมือออกมาขวางหน้าหลิงอวี้จื้อเอาไว้ แล้วลากนางออกมาจากขบวน

 

 

เฉินมั่วฉือที่จับตาดูเหตุการณ์ความเป็นไปทางด้านนี้อยู่โดยตลอด เมื่อเห็นดังนั้นจึงสั่งการทันทีว่า

 

 

“หยุดเกี้ยว”

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์สีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“สนมหยวน เป็นถึงสนมของฝ่ายใน แต่งกายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แล้วการที่เจ้าปะปนเข้าไปในหมู่นางกำนัลมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

 

 

หลิงอวี้จื้อหาได้เกรงกลัวมู่หรงกวานเย่ว์ไม่ เพียงแต่รู้สึกเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก นางลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้วยังถูกมู่หรงกวานเย่ว์จับได้อีก นี่ไม่ใช่แค่โชคร้ายธรรมดาๆ แล้ว เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามู่หรงกวนเยว่มาพุ่งเป้ามายังนางโดยเฉพาะ

 

 

“แล้วการที่ไทเฮาทรงเอาแต่จับตาดูหม่อมฉันตลอดเวลา ทรงต้องการอะไรกันเล่าเพคะ?”

 

 

อำนาจของมู่หรวกวานเย่ว์หาได้ข่มขวัญหลิงอวี้จื้อๆ ได้ไม่ เพรานางยังมีสีหน้าเรียบเฉยเอ่ยตอบกลับหนึ่งประโยคเรียบๆ

 

 

ส่วนเฉินมั่วฉือบัดนี้ลงจากเกี้ยวเป็นที่เรียบร้อยและกำลังเดินตรงมาทางนี้

 

 

เกิดเรื่องเช่นนี้ระหว่างทางนับว่าเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน นึกไม่ถึงเลยว่าเสด็จแม่จะทรงล่วงรู้ได้รวดเร็วปานนี้ว่าหลิงอวี้จื้อหายตัวไป หูตาของพระองค์มีมากกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้เสียอีก เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของเฉินมั่วฉือก็เข้มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า

 

 

“เสด็จแม่ หม่อมฉันจะพาสนมสนมหยวนออกไปเดินเล่น ดังนั้นจึงให้นางแต่งกายเป็นนางกำนัล ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของหม่อมฉันทั้งสิ้น สนมหยวนเพียงแค่ทำตามตำสั่งเท่านั้น”

 

 

“เหลวไหลสิ้นดี ฮ่องเต้ พิธีบูชาฟ้ามิใช่เรื่องล้อเล่น แต่เจ้ากลับให้ท้ายสนมหยวนกระทำเรื่องเช่นนี้ได้”

 

 

น้ำเสียงของมู่หรงกวานเย่ว์เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์กล่าวจบก็ตวัดสายตามองไปยังหลิงอวี้จื้อ

 

 

“สนมหยวน คุกเข่าลง”

 

 

หลิงอวี้จื้อไม่มีทางเลือก ได้แต่คุกเข่าลงตามคำสั่ง

 

 

ส่วนนางกำนัลคนอื่นๆ ดูท่าทางหวาดกลัวมู่หรงกวานเย่ว์เป็นอย่างมาก บางคนที่ขี้กลัวมากหน่อยก็ถึงกับตัวสั่นงันงก และตอนนี้ทุกคนก็เอาแต่ก้มหน้าลงไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นเลยสักคน

 

 

เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้อคุกเข่าลง มู่หรงกวานเย่ว์จึงค่อยชายตามองลงมายังนาง

 

 

“สนมหยวน นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้าวังมา ก็เอาแต่ยั่วยวนฮ่องเต้ไม่หยุดหย่อนให้ทรงลุ่มหลงจนกระทำเรื่องเหลวไหลถึงเพียงนี้เพื่อเจ้า ข้าจึงเก็บเจ้าเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ทหาร ประทานผ้าแพรให้สนมหยวน”

 

 

นี่ต้องการแขวนคอนางให้ตายสินะ มู่หรงกวานเย่ว์เองแข็งกร้าวไม่เบา ถึงกับกล้าออกคำสั่งฆ่านางต่อหน้าเฉินมั่วฉือได้

 

 

แน่นอนว่าการกระทำนี้ทำให้ความสัมพันธ์แม่ลูกดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด มู่หรงกวานเย่ว์นับเป็นสตรีจอมวางแผนมากเล่ห์เพทุบายคนหนึ่ง ทว่ากลับไม่สันทัดกับการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตนกับบุตรชายเอาเสียเลย

 

 

ได้แต่เข้มงวดกับเฉินมั่วฉือมาตลอด จึงไม่น่าแปลกใจที่ความสัมพันธ์ของแม่ลูกนับวันจะยิ่งห่างเหินขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ในเวลาเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือการรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน แต่หลิงอวี้จื้อเองก็ไม่ได้กังวลสักเท่าไรนัก มีเฉินมั่วฉืออยู่ทั้งคน มู่หรงกวานเย่ว์ฆ่านางไม่สำเร็จอยู่แล้ว

 

 

สิ้นเสียงของมู่หรงกวานเย่ว์ พลันก็มีโมโม่รูปร่างใหญ่โตกำยำเข้ามาคุมตัวหลิงอวี้จื้อเอาไว้ พวกนางกดบ่าซ้ายขวาของหลิงอวี้จื้อเอาไว้คนละข้างซึ่งหลิงอวี้จื้อเองก็มิได้ขัดขืน ปล่อยให้โมโม่สองคนจับกุมนางเอาไว้เช่นนั้น

 

 

แต่ครานี้ มู่หรงกวานเย่ว์คาดการณ์ผิดไป เพราะกระทำเช่นนี้ไม่มีทางสังหารนางได้สำเร็จ เห็นทีว่ามู่หรงกวานเย่ว์คงจะไม่รู้จักบุตรชายของตนเองดี เพราะเขามิใช่เด็กน้อยเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว เฉินมั่วฉือในตอนนี้คือชายหนุ่มผู้ที่สามารถกุมอำนาจควบคุมซีเว่ยเอาไว้ได้ ดังนั้นการกระทำทุกอย่างของมู่หรงกวานเย่ว์จึงกลับกลายเป็นการกระทำก้าวก่ายอำนาจไป

 

 

ดูเหมือนว่าพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะมีความคิดเช่นนี้กันมาก พวกเขามักคิดอยู่เสมอว่าลูกของตนยังเล็ก แต่แท้ที่จริงแล้วลูกที่พวกเขาคิดเสมอว่ายังคงเป็นเด็กน้อยนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้ว

 

 

เฉินมั่วฉือเป็นพวกรักในหน้าตาของตนเองเสียด้วย เมื่อเห็นว่ามู่หรงกวานเย่ว์ไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้ พลันเขาก็หน้าตึงพร้อมกับคำรามออกมาเสียงดังว่า

 

 

“ปล่อยมือ ดูสิว่าหน้าไหนกันที่กล้าแตะต้องนาง”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 655 ทุกสิ่งบนแผ่นดินซีเว่ยล้วนแต่เป็นของหม่อมฉัน

 

 

โมโม่ทั้งสองคนถูกเฉินมั่วฉือข่มขวัญจนตกอกตกใจไม่น้อย พวกนางชะงักงัน พลันก็รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรปล่อยมือ

 

 

เมื่อเห็นว่าโมโม่ทั้งสองคนยังคงจับกุมหลิงอวี้จื้อเอาไว้ เฉินมั่วฉือจึงสั่งการเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

 

 

“ทหาร ลากนางสองคนออกไปประหาร”

 

 

เมื่อโมโม่ทั้งสองคนได้ยินคำสั่งการนั้นก็ตกใจจนหน้าซีด รีบปล่อยมือจากหลิงอวี้จื้อแล้วทรุดคุกเข่าลงร้องขอชีวิตทันที เพียงแต่เฉินมั่วฉือมิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นทหารสองคนก็เข้ามาลากตัวสองโมโม่ออกไป

 

 

เฉินโมฉื่อประคองหลิงอวี้จื้อขึ้นมา แล้วยืนกำบังที่เบื้องหน้าของนาง เขาจ้องมองไปยังไทเฮาด้วยแววตาผิดหวังพร้อมเอ่ยย้ำเตือนอีกครั้งว่า

 

 

“เสด็จแม่ หม่อมฉันต่างหากคือฮ่องเต้แห่งซีเว่ย ทุกอย่างบนแผ่นดินซีเว่ยเป็นของหม่อมฉัน มิใช่เสด็จแม่ และดูเหมือนว่าเสด็จแม่จะทรงลืมเลือนความจริงข้อนี้ไป ดังนั้นจึงได้ทรงเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของหม่อมฉันครั้งแล้วครั้งเล่า หากเสด็จแม่ทรงเป็นแม่ที่ดีไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าทรงตำหนิว่าหม่อมฉันเป็นลูกที่ไม่ดีก็แล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“มั่วฉือ แม่ทำก็เพราะหวังดีกับเจ้านะ เพราะอะไรเจ้าถึงไม่เข้าใจความปรารถนาดีของข้าบ้าง”

 

 

เฉินมั่วฉือเค้นยิ้มออกมา

 

 

“ปากก็ทรงตรัสว่าหวังดีกับหม่อมฉัน แต่เสด็จแม่ทรงเคยเห็นหม่อมฉันอยู่ในสายพระเนตรบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

“ผู้หญิงของหม่อมฉัน ทรงคิดจะฆ่าก็ฆ่า ทรงเคยตรัสถามหม่อมฉันสักคำหรือยัง”

 

 

“ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำอะไร ขอเพียงแค่เสด็จแม่มิทรงโปรดก็จะต้องทรงขัดขวาง หม่อมฉันเป็นฮ่องเต้ จึงไม่จำเป็นต้องให้เสด็จแม่มาทรงสั่งสอนว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไร หากว่าเสด็จแม่มิทรงยินยอมที่จะวางมือละก็ ตำแหน่งฮ่องเต้นี่หม่อมฉันยกให้เสด็จแม่ไปเสียเลยดีกว่า”

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าโกรธเคืองเฉินมั่วฉืออย่างที่สุด ความโกรธเคืองอย่างที่สุดนี้กลับทำให้มู่หรงกวานเย่ว์หัวเราะออกมา พระนางไหนเลยจะไม่ผิดหวังในตัวเฉินมั่วฉือ แต่นอกเหนือจากความผิดหวังแล้วยังมีความเจ็บปวดอีกด้วย

 

 

“เจ้า…เจ้าโตแล้วสินะ นี่นะหรือลูกชายที่ข้าสู้อุตส่าห์ตั้งใจทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา”

 

 

“น้อมส่งเสด็จ เสด็จแม่กลับตำหนัก ต่อไปหากมิมีเรื่องอันใด ขอเสด็จแม่อย่าได้ทรงออกจากตำหนักฉางเล่ออีก ขอทรงประทับที่ตำหนักฉางเล่อดูแลรักษาพระวรกายพันปีพันๆ ปี เสด็จแม่ เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฉินมั่วฉือทำท่าทางเชื้อเชิญอย่างแข็งกระด้าง

 

 

“มั่วฉือ เจ้าคือลูกชายของข้า สนมหยวนยั่วยวนเจ้านาย วังหลังลือกันให้ทั่ว แม้แต่ขุนนางในราชสำนักยังรู้สึกมิเห็นควร”

 

 

“หญิงผู้นี้คือนางปีศาจ หากว่าฮ่องเต้ไม่ประสงค์จะฆ่านาง ข้าจะไว้ชีวิตนางก็ได้ แต่จำเป็นต้องมอบนางให้ข้าเป็นผู้อบรมสั่งสอน หากว่าฮ่องเต้มิทรงรับปาก ข้าจะไม่กลับตำหนักฉางเล่อเด็ดขาด”

 

 

ครั้งนี้มู่หรงกวานเย่ว์เองก็มีท่าทีแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ไม้นี้ของนางใช้การถอยเป็นการรุก เริ่มจากเจตนาต้องการฆ่าหลิงอวี้จื้อ เพราะนางรู้ดีว่าเฉินมั่วฉือจะต้องขัดขวางอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นนางก็สามารถใช้โอกาสนี้พาตัวหลิงอวี้จื้อไป เพราะพระนางได้เป็นฝ่ายถอยให้ก่อนแล้ว ดังนั้นเฉินมั่วฉือจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะปฏิเสธได้ หากว่าครั้งนี้ปล่อยให้หลิงอวี้จื้อออกจากวังไปได้ ต่อไปจะจับตัวนางคงไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เฉินมั่วฉือจะเจ็บแค้นนางก็ตามที อย่างไรเสียครั้งนี้นางก็ต้องพาหลิงอวี้จื้อไปให้จงได้

 

 

เพียงแต่ว่ามู่หรงกวานเย่ว์มิได้ล่วงรู้เลยว่า เฉินมั่วฉือในตอนนี้มองเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์กล่าวจบก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหนด้วยท่าทางเป็นตายก็ไม่ยอมหลีกทางเด็ดขาด

 

 

เมื่อทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้นนานเข้า สีหน้าของเฉินมั่วฉือก็ไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าผากของเขามีเส้นเลือดปูดโปนออกมาทั้งยังกำลังกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าอารมณ์โกรธของเขากำลังพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด

 

 

“เห็นทีว่าบัดนี้เสด็จแม่จะทรงเดือดร้อนพระทัยแทนลูกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกจะชอบพอใครก็ต้องทรงเข้ามายุ่มย่ามเสียทุกครั้งไป”

 

 

“ผู้หญิงของหม่อมฉันไม่จำเป็นต้องให้เสด็จแม่มา** หม่อมฉันพึงพอใจนางที่เป็นเช่นนี้ แบบนี้กำลังพอดี หากว่าเสด็จแม่มิประสงค์จะเสด็จกลับตำหนักละก็ เช่นนั้นก็เชิญประทับที่นี่ต่อไปก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฉินมั่วฉือกล่าวจบก็ลากหลิงอวี้จื้อเดินทางต่อไปทันที ไทเฮาเมื่อเห็นว่าเฉินมั่วฉือไม่มีท่าทีลดราวาศอกลงเลยแม้สักนิดก็ทรงตกพระทัยไม่น้อย

 

 

‘นี่ลูกชายของนางไม่เห็นนางอยู่ในสายตาถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ?’

 

 

“มั่วฉือ หากว่าเจ้าดึงดันที่จะพานางไปให้ได้ เช่นนั้นความเป็นแม่ลูกของเราก็ให้จบสิ้นลงเพียงเท่านี้”

 

 

ถ้อยคำที่กล่าวออกไปหนักหน่วงอย่างที่สุดแล้ว และมันทำให้หัวใจของมู่หรงกวานเย่ว์เจ็บปวดร้าวรานยิ่งนัก กว่าที่เปล่งคำพูดแต่ละคำออกไปได้ช่างแสนยากเย็น ลูกคนนี้ท่าทางจะเสียสติไปแล้ว ถูกหลิงอวี้จื้อมอมเมาจนเสียสติ