บทที่ 222 เกิดอะไรขึ้น
วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยและผู้จัดการไปที่ดูที่ฐานการเกษตร มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจกับฐานการเกษตรที่ถูกสร้างไว้อย่างดีมากๆ เธอตรวจพวกผักและพบว่ามันโตได้อย่างดีมาก สุดท้ายแล้วก็มีเรื่องที่ทำให้เธอพอใจขึ้นมาได้บ้าง
หลังจากตรวจสอบการดำเนินงานทั้งหมดของสาขาแล้ว มู่หรงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ก็มีแผนที่จะเดินทางกลับ ส่วนเรื่องปัญหามากมายที่ตรวจพบ มู่หรงเสวี่ยไม่ได้แจ้งเรื่องการจัดสรรทางการเงินกับสำนักงานใหญ่โดยตรง แต่กลับดึงเงินทุนส่วนตัวของตัวเองออกมาและบอกให้ผู้จัดการเอาไปซ่อมแซมโรงงาน นอกจากนี้เธอยังบอกให้ผู้จัดการเขียนรายงานเรื่องการรับสมัครพนักงานซึ่งจะถูกส่งมาจากสำนักงานใหญ่ให้เธอด้วย
ส่วนเหตุผลที่เธอไม่บอกให้แผนกการเงินของสำนักงานใหญ่โอนเงินมาโดยตรงในตอนนี้เพราะเธอสงสัยว่าจะมีบางคนในสำนักงานใหญ่ทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นเธอจึงมีแผนที่จะเข้าไปตรวจสอบเอง
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้วแต่ฮวงฟูอี้ก็ยังไม่ติดต่อเธอมาเลย
แต่มู่หรงเสวี่ยรู้ดีว่าตอนนี้ฮวงฟูอี้สุขภาพแข็งแรงดีแล้วเพราะดูเหมือนว่าหลงอี้ยังคงต้องรายงานเรื่องงานกับฮวงฟูอี้อยู่ทุกวัน
แล้วทำไมกันล่ะ?! ทำไมถึงไม่รับสายเธอเลย
ถึงแม้เขาจะเบื่อหรืออยากที่จะเลิกกับเธอ เขาก็ควรที่จะพูดให้ชัดเจนไม่ใช่หรือไง?!! ทำไมถึงต้องหลบหน้าเธอแบบนี้ด้วย
ในหัวใจรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที ความเจ็บปวดแวบขึ้นมาชั่วขณะแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงแม้จะต้องอกหักแต่เธอก็เชื่อว่าตัวเองจะยังสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้
หลังจากที่กลับมาที่จังหวัดA มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ไปที่สำนักงานใหญ่ในทันที แต่เธอกลับแวะไปที่บ้านมู่หรงแทน ถึงแม้พ่อแม่เธอจะไม่อยู่แต่เธอก็อยากที่จะแวะไปที่ห้องของพวกท่าน
“คุณหนู!” ป้าหวู่เห็นมู่หรงเสวี่ยจึงรีบวิ่งเข้ามาหาทันที เธอค่อนข้างที่จะแก่แล้วและเป็นห่วงมากด้วย
มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงส่งรอยยิ้มเกร็งๆและพูดออกไปว่า “ป้าหวู่ ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่ก็กลับมาค่ะ ไม่ต้องเตรียมอาหารให้หนูนะคะ หนูอยากที่จะไปอยู่ในห้องคุณพ่อกับคุณแม่หน่อยแล้วก็ไม่ต้องเรียกหนูด้วยนะคะ ส่วนคนพวกนี้เป็นเพื่อนหนูเองค่ะ รบกวนป้าหวู่ช่วยดูแลพวกเขาทีนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยชี้ไปที่คนของหลงอี้และต่างก็แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน แล้วเธอก็เดินขึ้นไปชั้นบน
เธอคิดถึงพ่อกับแม่อย่างมากจนนอนไม่หลับเลย เธอเป็นห่วงว่าพ่อกับแม่จะไปเจอเรื่องอันตรายตอนที่พวกท่านเข้าไปในสถานที่แปลกๆ เธอจะต้องหาวิธีให้ได้อย่างเร็วที่สุด
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกคุ้นเคยกับการตกแต่งในห้องและดวงตาของเธอก็เริ่มที่จะแดงเล็กน้อย หลังจากเวลาผ่านไปนานสุดท้ายหยดน้ำตาก็ไหลออกมา
มีหลายครั้งที่เธออยากจะก้าวเข้าไปในหลุมดำหลากสีเพื่อที่จะตามหาพ่อกับแม่ แต่เธอก็กลัวว่าจะต้องสูญเสียโอกาสเดียวที่จะช่วยพ่อกับแม่ถ้าเธอเข้าไป มันจะต้องมีวิธีสิ!!!
เธอเชื่อมั่นมาตลอดว่าหากผู้เป็นอมตะมอบเครื่องมืออมตะเช่นนี้มาเพื่อขอบคุณบรรพบุรุษของเธอ งั้นมันก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายได้สิ
มู่หรงเสวี่ยโทรหาพี่กู่
“ฮัลโหล คุณมู่หรง!”
“พี่กู่ วันนี้ว่างไหมคะ?! หลังจากเลิกงานแล้วพี่ช่วยรอฉันที่บริษัทก่อนได้ไหม?” เหตุผลที่เธอเลิกเวลาหลังเลิกงานก็เพื่อไม่อยากให้พวกพนักงานเดาเหตุการณ์ไปต่างๆนานาได้เอง
“โอเคครับ อยากให้ผมแจ้งเฉิงเฟยกับจื่อเหวินด้วยไหม? แต่วันนี้จื่อเหวินไม่ได้อยู่ในจังหวัดนะครับ…”
“ทำไมล่ะ พี่จื่อเหวินไปไหนเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย
“ดูเหมือนจะมีบางเรื่องที่จะต้องเข้าไปช่วยจัดการ ผมไม่เห็นเขามาสองวันแล้วนะ…” กู่หมิงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้แต่โม่จื่อเหวินก็มักจะโทรกลับมารายงานตลอด จึงเป็นเรื่องแปลกที่ป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีการโทรเข้ามาเลยแบบนี้ เขาลองโทรหาแล้วแต่สายก็ไม่ว่างตลอดเลย
“งั้นพี่ไม่ต้องแจ้งพี่จื่อเหวินหรอก เดี๋ยวฉันจะเข้าไปเจอพี่ที่บริษัทเอง”
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยวางสาย เธอก็รีบกดโทรหาพี่จื่อเหวินทันทีและก็พบว่าปลายสายติดต่อไม่ได้
แต่เธอก็ไม่ได้คิดมากอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอคิดเพียงแค่ว่าพี่จื่อเหวินคงจะแค่ยุ่งอยู่
ในตอนเย็นพนักงานต่างก็เลิกงานกลับบ้านกันแล้ว มู่หรงเสวี่ยและหลงอี้เข้าไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป แล้วก็ตรงไปที่ชั้นบนสุดทันที
“ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดกับกู่หมิงและลั่วเฉิงเฟยที่อยู่ในห้องทำงาน
“คนพวกนี้เป็นใครกัน?” กู่หมิงถามออกมาอย่างสงสัย
“พวกเขาเป็นเพื่อนฉันเอง!” มู่หรงเสวี่ยแนะนำพวกเขาพร้อมรอยยิ้ม แล้วหันมาหาหลงอี้และพูดว่า “พวกนายหาที่นั่งตามสบายเลยนะ ฉันจะประชุมหน่อย…”
หลงอี้และคนอื่นๆพยักหน้าและเดินไปนั่งโซฟาที่อยู่อีกฝั่ง
“พี่กู่ ฉันอยากจะตรวจสอบบัญชีการเงินหน่อย พี่ช่วยเอางบการเงินของแผนการขยายเขตชานเมืองจากครั้งที่แล้วมาให้ฉันดูทีได้ไหม…” เพราะเธอมีความสามารถในเรื่องความทรงจำ เธอจึงจำได้ว่างบก่อนหน้านี้และงบที่ถูกแบ่งไปให้สาขามีความแตกต่างกันอย่างมาก
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า?” พี่กู่ถามหลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้
“ฉันสงสัยว่าจะมีบางคนในแผนกการเงินที่ทำเรื่องไม่ถูกต้อง พี่ไปที่แผนกการเงินกับฉันก็ได้ หลงอี้นายมาช่วยด้วยนะ…” เธอเกือบที่จะลืมไปเลยว่ามีแรงงานที่ได้มาฟรีๆอยู่ด้วย
“เป็นไปไม่ได้ แผนกการเงินงั้นเหรอ?” กู่หมิงไม่อยากที่จะเชื่อ
“อะไรเป็นไปไม่ได้? ฉันบอกนายแล้วว่าผู้ชายคนนั้นในแผนกการเงินไม่ใช่คนดีเท่าไร…” ลั่วเฉิงเฟยพูดพร้อมทำปากบิดเบี้ยว
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่พวกเขาทั้งสองและพูดออกมา “โอเค ลองไปตรวจดูก่อน เป็นไปได้ที่น่าจะเจออะไรบ้าง…”
ในหัวใจของหลงอี้รู้สึกไม่พอใจเท่าไร เขาเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาการนะ แล้วจะให้เขามาทำงานเล็กๆแบบนี้เนี่ยนะ นี่มันฆ่ากันชัดๆ เพราะในความคิดของเขามีสมาชิกของดราก้อนพาวิลเลี่ยนหลายคนที่เขาเป็นคนคัดเข้ามาเองกับมือด้วย
ทุกคนต่างก็ช่วยกันทำงานเพื่อที่จะหาข้อมูลอย่างหนัก แน่นอนมู่หรงเสวี่ยเร็วที่สุด เพราะความสามารถเรื่องความทรงจำของเธอ มู่หรงเสวี่ยจึงตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กู่หมิงก็นั่งลงกับเก้าอี้ทำงานพร้อมสีหน้าที่รู้สึกผิดอย่างมาก มู่หรงถามออกไปเมื่อเห็นท่าทางของพี่กู่ “มีเรื่องอะไรเหรอ?” แม้ว่าฝ่ายการเงินจะยักยอกเงินจำนวนมากก็ตามแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอห่วงพี่ชายคนนี้น้อยลงเลย
“คุณมู่หรง ผมต้องขอโทษคุณด้วย…” มือที่เจ็บปวดของกู่หมิงปิดใบหน้าของเขาและพูดออกมาอย่างเจ็บปวด
ลั่วเฉิงเฟยถอนหายใจเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกมา “ผู้จัดการแผนกการเงินเป็นญาติของเขา…”
มู่หรงเสวี่ยตกใจ ชั่วขณะหนึ่งเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อย่างไรก็ตามเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวก็ต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจน “พี่กู่ เรื่องนี้ฉันจะปล่อยให้พี่เป็นคนจัดการ ฉันไม่ถามเรื่องนี้อีก พี่รู้ว่าต้องทำยังไง!”
กู่หมิงเงยหน้าขึ้นมา “แต่เสี่ยวเสวี่ย ผู้ชายคนนี้เป็นน้องของผมนะ…”
“ไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นใคร พฤติกรรมของเขาละเมิดกฎหมายและก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากต่อบริษัท ฉันเชื่อใจพี่นะ พี่กู่” มู่หรงเสวี่ยเชื่อว่าพี่กู่เข้าใจดีว่าการปกป้องของเขามีแต่จะทำให้ลูกพี่ลูกน้องเขาถล้ำลึกในความผิดมากไปกว่านี้
ลั่วเฉิงเฟยเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของมู่หรงเสวี่ย ผู้ชายคนนั้นในแผนกการเงินทำตามใจตัวเองตลอดเวลาที่เขาเผลอ ซึ่งเขาไม่ค่อยพอใจเรื่องนี้มานานแล้ว
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ตบไปที่ไหล่ของพี่กู่และเดินออกไป ในตอนนี้พี่กู่ต้องการเวลาที่จะคิดเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะต้องจัดการความผิดที่น้องชายตัวเองเป็นคนก่อขึ้นมา แต่มันก็เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
“หลงอี้ ขอบคุณนะ…” เมื่อขึ้นมาในรถเรียบร้อยมู่หรงที่นั่งอยู่ข้างๆมังกรก็พูดออกมา
นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลังจากที่ผ่านมานานสุดท้ายเขาก็ได้ยินคุณมู่หรงบอกว่าขอบคุณ ความรู้สึกไม่พอใจทั้งหมดที่อยู่ในหัวใจมลายหายไปจนหมดสิ้น ในตอนนี้เขาแกล้งทำเป็นตีหน้านิ่งและพูดออกไปว่า “เรื่องเล็กครับ…”
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะและพูดออกมา “พรุ่งนี้เราจะกลับเมืองหลวงกัน” เธออยากที่จะเจอฮวงฟูอี้จริงๆ หลังจากที่ออกมานานขนาดนี้ เธอก็ได้รู้แล้วว่าตัวเองคิดถึงอ้อมกอดของฮวงฟูอี้มากแค่ไหน
“พรุ่งนี้เหรอครับ!!! ไม่ได้นะครับ” หลงอี้พูดขึ้นเสียงออกมา
“หลงอี้ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายไม่อยากให้ฉันกลับไปเมืองหลวงเลยล่ะ…” มู่หรงเสวี่ยมองอย่างสงสัยไปที่หลงอี้ที่มีท่าทีโอเวอร์
“อะไรกัน…ใช่ที่ไหนล่ะครับ?!” หลงอี้ตอบกลับมาพร้อมสีหน้าที่ไม่สบายใจเท่าไร
“งั้นบอกฉันมา ที่ฉันบอกว่าพรุ่งนี้ฉันจะกลับเมืองหลวง แล้วทำไมนายถึงบอกว่าไม่ได้…”
“คือ…คือ…” หลงอี้มองไปข้างหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ตอบคำถามอยู่นาน
สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไปและลางสังหรณ์ไม่ดีก็แวบเข้ามาในหัวใจ “ที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?! หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับอี้?” เมื่อคิดถึงช่วงที่ผ่านมาที่ฮวงฟูอี้ไม่รับโทรศัพท์เลยก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“เปล่า…เปล่าครับ…ไม่มีเรื่องอะไรเลย…” ดราก้อนลอร์ดสั่งเขาไว้ให้ถ่วงเวลาการกลับมาที่เมืองหลวงของคุณมู่หรง เขาบอกคุณมู่หรงไม่ได้ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าดราก้อนมาสเตอร์เป็นอะไร
มู่หรงมองไปที่ท่าทางลังเลของมังกร แล้วสีหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด “ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้เลย เขาต้องเป็นอะไรแน่ๆเลยใช่ไหม?” มีเสียงร้องไห้เล็กน้อย
หลงอี้ตัวแข็งขึ้นมาทันที โอ้ ถ้าคุณมู่หรงร้องไห้ ดราก้อนมาสเตอร์จะต้องฆ่าเขาตายแน่ๆเลย เขาอธิบายออกไปด้วยความตื่นตระหนก “คุณมู่หรง คุณเข้าใจผิดแล้ว ดราก้อนมาสเตอร์ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย!!!! ถ้าดราก้อนมาสเตอร์ได้รับอุบัติเหตุ ผมจะยังอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะครับ?!! จริงๆนะครับ ผมจะไม่โกหกคุณ ผมสาบานเลย”