หลังจากแสงส่องสว่างวาบ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวภายในถ้ำ

ถ้ำแห่งนี้มีไข่มุกราตรีเรียงรายเต็มผนังทั้งสองข้างเพื่อมอบแสงสว่างให้กับพื้นที่แห่งนี้ อีกทั้งทางเดินก็กว้างขวางอย่างยิ่งจนคนมากกว่าสิบคนสามารถเดินเรียงหน้ากระดานได้โดยไม่แออัดแม้แต่น้อย

หลังจากทุกคนเข้ามาพร้อมหน้า พวกเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติก่อนเริ่มออกเดินอย่างช้า ๆ

น่าแปลกยิ่งนักที่เมื่อหลังจากเดินไประยะหนึ่งกลับไม่พบร่องรอยของผู้ใดอยู่เบื้องหน้าและไม่เห็นกองทหารหงเฟิงที่ตามหลังมา

“ดูเหมือนว่าสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมผู้นี้จะเหนือธรรมชาติจริง ๆ ไม่คาดคิดว่าจะแบ่งแยกขุมกำลังมากมายของเราไปตามจุดต่าง ๆ ได้”

ฉินอวี้โม่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ผู้ใช้ข่ายอาคมที่สร้างซากปรักหักพังแห่งนี้ขึ้นมาดูจะทรงพลังเกินกว่าที่นางคิดไว้มาก

“ฮ่า ๆ ๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ ซากปรักหักพังนี้คงจะเต็มไปด้วยข่ายอาคมทุกรูปแบบเป็นแน่ หากเราติดตามไปกับท่าน เราน่าจะปลอดภัยขึ้นมาก และแน่นอนว่าหากพบสิ่งของล้ำค่าหรือสมบัติใด ๆ ตามทาง พวกเราจะให้สิทธิ์จอมยุทธ์อวี้โม่เลือกก่อน”

เฉิงห่าวซวนเร่งฝีเท้าไปประกบข้างฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

สำหรับผู้คนในแต่ละขุมกำลังของโลกมายา เขาไม่โปรดปรานผู้ใดมากนัก แม้แต่การเผชิญหน้ากับฉินหวย เขาก็ไม่เคยแสดงอากัปกิริยาสุภาพมากเพียงนี้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ทำให้เขารู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างยิ่งและเฉิงห่าวซวนยินดีที่ได้ผูกมิตรกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะและมีอสูรมายาที่เชี่ยวชาญด้านการวางข่ายอาคมเช่นกัน หากมันไม่ยากเกินไปที่จะผูกมิตรสานสัมพันธ์ด้วยกัน การได้กลายเป็นสหายที่ดีต่อแม่นางผู้นี้ก็จะนำพาผลประโยชน์มามากมาย

“ไม่ เมื่อถึงเวลานั้น เราจะแบ่งกันตามความเหมาะสม”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของเฉิงห่าวซวน ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ ก็ยิ้มมุมปากเช่นกันด้วยความคิดว่าเฉิงห่าวซวนผู้นี้คู่ควรแก่การผูกมิตรอย่างแท้จริง

“ท่านจอมยุทธ์เฉิงห่าวซวน คนเหล่านี้คือจอมยุทธ์อิสระในดินแดนอย่างนั้นรึ ?”

ครานี้เฉิงห่าวซวนพาคนมาด้วยหนึ่งร้อยคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทรงพลังเท่ากับจอมยุทธ์ในเมืองเพลิงมายา ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ถือว่าอ่อนแอเลย ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่จัดการกับเต่าดำก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็ชื่นชมการประสานงานที่ราบรื่นของพวกเขายิ่งนัก หากว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์อิสระที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันภายในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น ทว่าบางส่วนก็ก่อตั้งกลุ่มของตนเองและมิใช่สมาชิกของกลุ่มอิทธิพลใด เมื่อได้ยินว่าซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมจะปรากฏขึ้นมาที่นี่ พวกเราจึงต้องการมาให้เห็นกับตา ทว่าพวกเราทั้งหมดทราบดีว่าในโลกมายาแห่งนี้ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายทรงพลังอย่างยิ่งจนเกรงว่าจะไม่ได้ประโยชน์อะไรหากลงมือเพียงลำพัง เพราะเหตุนั้นกลุ่มพันธมิตรนักผจญภัยนี้จึงถือกำเนิดขึ้นและข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มเป็นการชั่วคราว”

เฉิงห่าวซวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“เรามาที่นี่ก็เพียงเพื่อลองเสี่ยงโชคดูเท่านั้น หากได้สมบัติดี ๆ ติดไม้ติดมือกลับไปก็จะถือว่าเป็นความโชคดีทีเดียว ต่อให้จะไม่ได้สิ่งใด การเอาชีวิตรอดออกไปได้ก็ถือว่าดีแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นการได้ออกสำรวจไปกับจอมยุทธ์อวี้โม่ก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีอย่างคาดไม่ถึงแล้ว”

ฉินอวี้โม่ก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาและยิ้มตอบ “ไม่ทราบว่าท่านสนใจเข้าร่วมกับพวกเราและเป็นสมาชิกของเมืองเพลิงมายารึไม่ ? ถึงแม้เมืองเพลิงมายาของเราจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด เราก็ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างยิ่ง ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องชอบบรรยากาศในเมืองเพลิงมายาเป็นแน่”

เมื่อได้ยินคำเชื้อเชิญจากฉินอวี้โม่ เฉิงห่าวซวนก็รู้สึกซาบซึ้งใจพอสมควร ทว่าหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวปฏิเสธ

“ฮ่า ๆ ๆ น้ำใจของจอมยุทธ์อวี้โม่จับใจพวกเรายิ่งนัก อย่างไรก็ตาม เราคุ้นชินกับความอิสระและไม่ชินกันการเข้าร่วมขุมกำลังใด ยิ่งไปกว่านั้นจอมยุทธ์อวี้โม่ก็อาจทราบมาบ้างแล้วว่าเราไม่เต็มใจที่จะยอมจำนนต่อฉินเหยียนในเมืองมายา ในเมื่อท่านและเมืองเพลิงมายาภักดีต่อนาง พวกเราก็ไม่อาจเข้าร่วมได้”

เฉิงห่าวซวนไม่ปิดบังสิ่งใดและกล่าวตามสัตย์จริง เขารู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่อย่างยิ่งและมิได้รังเกียจเมืองเพลิงมายาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเหล่านี้มีหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตที่ชัดเจน หากฉินอวี้โม่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของฉินเหยียน พวกเขาคงยิ่งกว่ายินดีที่จะได้ติดตามนาง

เมื่อซูน่าได้ยินคำตอบของเฉิงห่าวซวน นางถึงกับอดกลั้นไม่ไหวและต้องการกล่าวบางอย่างออกไป ทว่าฉินอวี้โม่ห้ามปรามนางไว้ทันเวลา

“ฮ่า ๆ ๆ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่บังคับให้ต้องฝืนใจ อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้เป็นสหายต่อกันในไม่ช้าก็เร็ว… เพราะแท้จริงแล้วพวกเราต่างก็เหมือน ๆ กัน”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวตนในตอนนี้ แม้ว่าเฉิงห่าวซวนดูไว้วางใจได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก ฉินอวี้โม่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพิจารณาสถานการณ์ทั้งหมดอีกคราก่อนบอกความจริงกับเขา

“หืม… ?”

เฉิงห่าวซวนฉงนสงสัยกับวาจากำกวมไม่ชัดเจนของอีกฝ่าย

“เร่งฝีเท้ากันเถอะ หากเราล่าช้าและสมบัติดี ๆ ถูกฉกฉวยไปจนหมด มันก็คงจะไม่สนุกแน่”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ และไม่กล่าวอธิบายสิ่งใดขณะก้าวตรงต่อไปข้างหน้า

ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ ก็ตามจังหวะฝีเท้าของนางไปอย่างใกล้ชิด พวกเขาทราบดีว่าเป้าหมายหลักของนางคืออะไร ทว่าไม่เก็บมาคิดให้วุ่นวายใจมากนัก

ฉินอวี้โม่มีความคิดและแผนการของตนเอง เวลานี้ซูวั่งชวนและสหายทุกคนทราบเรื่องนี้อย่างชัดเจน พวกเขาเพียงต้องเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ กับการตัดสินใจของฉินอวี้โม่

หลังจากมุ่งหน้าต่ออีกนานหนึ่งก้านธูป ในที่สุดสภาพแวดล้อมรอบตัวของพวกเขาทั้งหมดก็เปลี่ยนไป

ถ้ำที่กว้างขวางในตอนแรกค่อย ๆ เริ่มแออัดมากขึ้นและดูราวกับหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อทอดสายตามองไกลออกไปพวกเขาก็มองเห็นแสงสว่างจาง ๆ ที่แตกต่างจากไข่มุกราตรีและมันน่าจะเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง

หลายอึดใจต่อมา ในที่สุดฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดลง

คนอื่น ๆ  ก็หยุดฝีเท้าและขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกันเมื่อมองเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหัน

เวลานี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ในโถงว่างเปล่าซึ่งทั้งกว้างใหญ่และดูโอ่อ่า ทว่าไม่มีสิ่งใดแม้แต่อย่างเดียว

ในฝั่งตรงข้ามกับพวกเขาเวลานี้ปรากฏเป็นอุโมงค์ที่เหมือนกันเจ็ดช่อง อุโมงค์ทั้งเจ็ดนั้นสามารถรองรับคนสามคนเดินเคียงข้างกันและมีขนาดไม่ใหญ่นัก ยิ่งไปกว่านั้น การที่ไม่สามารถมองเห็นปลายสุดของพวกมันตั้งแต่แวบแรกทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความแปลกพิลึกเกินเข้าใจ

“เหตุใดถึงไม่มีสิ่งใดอยู่ในโถงนี้เลยล่ะ ?”

สมาชิกจากเมืองเพลิงมายาและคนอื่น ๆ รวมถึงบรรดาจอมยุทธ์อิสระล้วนปรากฏตัวรวมกันในโถงว่างเปล่าแห่งนี้ เมื่อไม่พบสิ่งใดตรงหน้า ใครคนหนึ่งก็อดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“หรือว่าจะมีคนมาถึงที่นี่ก่อนและเก็บทุกอย่างไปหมดแล้ว ?”

อีกคนกล่าวแสดงความคิดเห็นและคนทั้งกลุ่มใหญ่ก็กวาดสายตามองรอบห้องโถงทันที แม้หลังจากมองสำรวจรอบตัวก็ยังไม่พบความผิดปกติใด ๆ พวกเขาต่างก็ขมวดคิ้วมุ่น

“เป็นไปไม่ได้  หากมีคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้ มันจะต้องมีกลิ่นอายของพวกเขาที่หลงเหลืออยู่บ้าง ทว่าเราไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งเหล่านั้นเลย โถงนี้ว่างเปล่าและไม่มีสิ่งใดอยู่ตั้งแต่แรก”

เฉิงห่าวซวนส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวด้วยความสงสัย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเช่นกันและค่อย ๆ ก้าวตรงไปยังอุโมงค์ทางเข้าทั้งเจ็ด

“เฮ้ ตรงนี้มีศิลาหินที่มีข้อความจารึกไว้อยู่”

ซูน่าเดินตามฉินอวี้โม่ไปและสังเกตเห็นบางอย่างได้ทันที สิ่งนั้นคือศิลาหินสีดำที่อยู่ถัดจากอุโมงค์ช่องขวาสุด

คำพูดของซูน่าทำให้ทุกคนมองหน้ากันทันทีก่อนเดินตามเข้าไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

“นักผจญภัยทั้งหลาย ยินดีด้วยที่พวกเจ้าทุกคนมาถึงที่ซากปรักหักพังของข้า หากพวกเจ้าอยากไปต่อจงเลือกหนึ่งในเส้นทางทั้งเจ็ดตรงหน้า ปลายสุดของเส้นทางจะมีสมบัติล้ำค่าที่ข้าเก็บรวบรวมไว้ครั้งยังมีชีวิตรวมถึงมรดกของข้า อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าจงเลือกให้ดี เจ็ดทางนี้มีหกทางตายและเส้นทางแห่งชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

ประโยคเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเหล่านี้ถูกจารึกลงบนแผ่นศิลาหิน ทว่าหลังจากอ่านจบ ซูน่าก็อดไม่ได้ที่จะเตะแผ่นศิลานั้นอย่างแรง

“เจ้านี่เป็นใครกัน ! บอกผู้อื่นว่ามีสมบัติล้ำค่ามากมายและมรดกตกทอดของตนเองอยู่ อย่างไรก็ตาม เขาระบุไว้ว่าในเจ็ดเส้นทางนี้มีหกเส้นทางที่นำไปสู่ความตาย หากต้องการเข้าไปก็ต้องเลือกหนึ่งในทั้งเจ็ดเส้นทาง หากเลือกผิด เราก็จะตายไปในนั้น ในกรณีนี้ ไม่ว่าจะมีสมบัติล้ำค่ามากมายเพียงใด เราก็ไม่มีทางได้มันไปครอง”

เมื่อได้ยินวาจาของนาง ทุกคนที่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนหน้านี้ก็อดหัวเราะไม่ได้

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าคิดอยู่แล้วเชียว สุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมจะยอมให้เราเข้าไปง่าย ๆ ได้อย่างไร ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเราไม่เผชิญภยันตรายใดเลย ดูเหมือนว่าอันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่นี่”

เลี่ยหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าเขายังคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่เขาก็ไม่กังวลมากนัก เขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะคิดหาวิธีการรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างแน่นอน

“อวี้โม่ เราควรทำยังไงต่อไป ?”

ซูวั่งชวนหันมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามเบา ๆ

สายตาของทุกคนเลื่อนไปบรรจบที่ฉินอวี้โม่ทันทีและรอคำสั่งของนาง

“เราพักที่นี่ก่อนเถอะและพยายามคิดไตร่ตรองกัน เราต้องหาทางแยกให้ได้ว่าทางใดคือเส้นทางที่จะรอดชีวิต”

ฉินอวี้โม่เองก็จนปัญญากับสถานการณ์ตรงหน้า นางเพียงกล่าวออกไปขณะนั่งลง

“มารยา เจ้าคิดถึงวิธีใดได้บ้างรึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่หันไปหาอสูรสาวผู้ชำนาญด้านข่ายอาคมและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความคาดหวัง

มารยาส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยความหมดหนทางไม่ต่างกัน

“นายหญิง ข้าได้ลองแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจเส้นทางทั้งเจ็ดแต่ก็เข้าไปได้เพียงไม่เกินสามสิบจั้งเท่านั้นและก็พบกับสิ่งกีดขวางที่ทรงพลังจนถูกผลักดันกลับออกมา ผู้ใช้ข่ายอาคมที่เป็นเจ้าของซากปรักหักพังแห่งนี้แข็งแกร่งมากเกินไป ข้าไม่มีทางทำอะไรได้เลย”

“อวี้โม่ เหตุใดเราไม่ลองส่งคนออกไปในแต่ละเส้นทางเพื่อทดสอบดูล่ะ ? ส่วนพวกเราจะรออยู่ที่นี่ ในไม่ช้าเราจะได้ทราบว่าช่องทางใดคือช่องทางที่ถูกต้อง”

จูเฟยชวี่กล่าวข้อเสนอออกมา

“ไม่ได้ วิธีนี้ไม่ได้ผลแน่”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยไม่ลังเล

“ทำไมกัน ?”

เมื่อเห็นการปฏิเสธอย่างไม่ลังเลของสตรีจอมยุทธ์ เลี่ยหยางและคนอื่น ๆ ก็งุนงงไม่น้อย

“พวกท่านทุกคนเป็นสหายของข้า ไม่ว่าผู้ใดต้องตาย ข้าก็จะต้องรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ต่อให้เราส่งคนเข้าไปทดสอบ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเส้นทางตายเหล่านั้น เพราะหากข้าเดาไม่ผิด เส้นทางที่ถูกต้องก็จะต้องมีอันตรายรออยู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครทราบได้เลยว่าคนที่ถูกส่งเข้าไปจะกลับออกมาได้รึไม่ เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ยอมเห็นด้วยกับวิธีนี้แน่”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็รู้สึกซาบซึ้งใจทันที พวกเขาไม่เคยคิดว่าฉินอวี้โม่ผู้แกร่งกล้าจะให้ความสำคัญกับชีวิตของพวกเขามากถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมองพวกเขาเป็นมิตรสหาย การได้ติดตามผู้ที่มีทัศนคติเช่นนี้ถือเป็นความโชคดีอย่างที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีแผนที่จะทำอย่างไร ?”

ซูน่าอดเอ่ยถามไม่ได้ เหมือนว่านางก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าฉินอวี้โม่คิดจะทำสิ่งใด

“ข้าจะเข้าไปสำรวจดูด้วยตัวเอง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างมั่นใจและกล่าวถึงแผนการของตน .

.