ตอนที่ 442 ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ไม่ พวกเราไม่เห็นด้วย !”

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ฉินอวี้โม่กล่าวแผนการของตน ซูวั่งชวนและทุกคนก็กล่าวขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกัน

“อวี้โม่ มันอันตรายเกินไป พวกเราไม่ยอมให้เจ้าเสี่ยงชีวิตเช่นนั้นแน่ อย่าลืมสิว่าเวลานี้เจ้าเป็นมารดาของบุตรน้อยทั้งสองแล้ว เจ้ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากและจะเอาชีวิตไปเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด”

ป้าหลานผู้ซึ่งติดตามมากับนางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

หากเป็นก่อนหน้านี้ ทุกคนก็คงไม่พยายามห้ามปรามและขัดขวางนางเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม บัดนี้นางมีเจ้าตัวน้อยแฝดชายหญิงรออยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและเจ็ดทางหกทางตายข้างหน้าก็อันตรายยิ่งกว่าทุกสิ่งที่เคยเผชิญมา ถึงแม้ทราบดีว่าฉินอวี้โม่มั่นใจ ทุกคนก็ไม่ต้องการให้นางเสี่ยงชีวิตเช่นนี้และไม่มีทางตอบตกลงอย่างแน่นอน

“ถูกต้องแล้ว ให้ข้าไปเถอะ พลังของข้าไม่ถือว่าอ่อนแอเลย ข้าสามารถรับมือกับสถานการณ์อันตรายได้”

ซูวั่งชวนกล่าวและเสนอตัวเข้าไปทดสอบเส้นทางด้วยตัวเอง

โดยพื้นฐานแล้วพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าฉินอวี้โม่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีไพ่ตายใบสำคัญเหมือนกับฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด

“ใช่แล้ว ที่นี่ยังมีคนฝีมือดีอีกหลายคน และมันก็มีเพียงเจ็ดเส้นทางเท่านั้น เพียงส่งคนฝีมือดีในบรรดาพวกเราเจ็ดคนเข้าไปสำรวจ เราจะได้ทราบว่าเส้นทางใดคือทางที่จะรอดชีวิต”

เลี่ยหยางกล่าวเสริม เขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดของฉินอวี้โม่เช่นกัน

เฉิงห่าวซวนและคนอื่น ๆ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ทว่าเมื่อเห็นปฏิกิริยาท่าทางของเลี่ยหยางและอีกหลายคนที่มีต่อฉินอวี้โม่ พวกเขาก็อดสงสัยและชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่ไม่ได้

สตรีผู้นี้ทำได้อย่างไรกัน บรรดาจอมยุทธ์จากเมืองเพลิงมายาถึงได้จริงใจต่อนางถึงเพียงนี้ ? แล้วเหตุใดพวกเขาเหล่านั้นจึงปฏิบัติราวกับสตรีนามว่าอวี้โม่ผู้นี้เป็นนายของพวกเขา ? เห็นทีเมืองเพลิงมายาจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว

“เอาล่ะ พวกท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ ข้าทราบว่าพวกท่านมีเจตนาดี แต่พวกท่านน่าจะรู้ดีว่าข้าเป็นคนอย่างไร หากไม่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ข้าไม่มีทางตัดสินใจทำอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น มารยาก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมระดับสูงและข้าก็มีไพ่เด็ดใบอื่น ๆ อีกมาก หากต้องตกอยู่ในอันตราย ข้าก็มีคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นที่ซ่อน สำหรับเจ้าหนูน้อยทั้งสอง ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตนเองเป็นอะไรแน่ โปรดเชื่อใจข้าเถอะ”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับเมื่อได้ยินความเป็นห่วงกังวลอย่างจริงใจของเลี่ยหยางและคนอื่น ๆ เพียงแต่สำหรับหกทางตายในเจ็ดทางข้างหน้านี้ นางคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้าไปสำรวจ แม้ว่าซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ จะถือว่าไม่ได้อ่อนแอ ทว่าพวกเขาก็มิได้มีไพ่ตายซ่อนไว้มากมายเหมือนกับนาง

“แต่ว่า…”

เมื่อฉินอวี้โม่ยืนกรานหนักแน่น พวกเขาก็รู้สึกจนปัญญา ทว่าเมื่อพวกเขากำลังจะกล่าวโน้มน้าวใจอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขัดจังหวะทันที

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ข้าทราบดีว่าพวกท่านเป็นห่วงข้า ทว่าพวกท่านวางใจได้ ลูกน้อยทั้งสองยังคงรอข้าอยู่และข้ามีเรื่องที่ต้องทำอีกมากในอนาคต ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตนเองตายไป พวกท่านรอข้าอย่างใจเย็นเถอะ เมื่อทราบว่าทางใดคือทางที่ปลอดภัย ข้าจะสำรวจสถานการณ์ข้างในนั้นและกลับออกมาแจ้งทุกท่าน”

หลังจากกล่าวจบ ก่อนที่ทุกคนจะตอบสนองได้ทัน ร่างของฉินอวี้โม่ก็กะพริบหายไปและพุ่งตรงเข้าไปสู่ช่องทางด้านซ้ายสุดอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉินอวี้โม่หายไปตรงหน้า ทุกคนก็รู้สึกจนปัญญายิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม พวกเขาทำได้เพียงนั่งรอและภาวนาให้กับฉินอวี้โม่อย่างเงียบ ๆ ด้วยความหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับนาง

เมื่อฉินอวี้โม่ก้าวเข้าสู่เส้นทางซ้ายสุด มันก็ยังไม่มีสิ่งใดผิดปกติในตอนแรก ทว่าเมื่อก้าวไปถึงครึ่งทาง จู่ ๆ ก็มีเพลิงโหมกระหน่ำดุจดั่งทะเลเพลิงที่ทรงพลังถาโถมตรงเข้าหานางอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เพลิงประจำตัวของซิวอย่างเพลิงจักรพรรดิในตำนานก็ไม่หวาดหวั่นต่อเพลิงกระจอกเหล่านี้ ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและใช้เพลิงจักรพรรดิปกคลุมทั่วร่างของตนเองทันที เมื่อทะเลเพลิงโหมกระหน่ำเผชิญหน้ากับเพลิงอสูรของซิว พวกมันก็ถอยร่นกลับไปและเว้นเส้นทางให้กับนางอย่างศิโรราบราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังอย่างที่สุด

มุมปากของอดีตนักฆ่าสาวยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นนางก็ก้าวเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากผ่านไปสองก้านธูป กำแพงตระหง่านก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า

นางมองสำรวจดูและพบว่าไม่มีกลไกใดซ่อนไว้ นางพยายามทะลวงข้ามผ่านกำแพงตรงหน้าด้วยพลังเต็มที่แต่ก็พบว่ามันเป็นกำแพงที่แกร่งกล้าเกินไป เมื่อยืนยันได้แล้วว่านี่คือทางตัน ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลและกลับออกไปทันที

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ก้าวออกมา ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อยและมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางที่สองโดยทันที

ทางที่สองแตกต่างจากเส้นทางในช่องแรกอย่างสิ้นเชิง หลังจากเดินต่อไประยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นแผ่ออกมาราวกับกำลังเข้าใกล้ภูเขาน้ำแข็งที่เยือกเย็นจนนางแทบถูกแช่แข็ง

“ช่างเป็นความหนาวเย็นที่น่าสะพรึงกลัว !”

มารยาปรากฏกายขึ้นถัดจากนางอย่างรวดเร็ว

อย่างที่ทราบอยู่แล้วว่าจุดอ่อนร้ายแรงของมารยาคือ ‘เปลวไฟ’ เพราะฉะนั้น บรรยากาศร้อนระอุในเส้นทางแรกทำให้อสูรสาวธาตุน้ำแข็งทนไม่ไหวและต้องเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว ทว่าเวลานี้บรรยากาศและกลิ่นอายความเยือกเย็นคือสิ่งที่มันโปรดปรานเป็นที่สุด มารยาจึงรีบออกมาปรากฏกายข้างผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่กำลังจะจุดไฟปกคลุมร่างกายเพื่อบรรเทา ความหนาวเหน็บเยือกเย็น ทว่ามารยาก็หยุดนางไว้เสียก่อน

อสูรสาวจับมือของฉินอวี้โม่และพลังบางอย่างแผ่ตรงเข้าไปในร่างของนางทันทีซึ่งทำให้นางไม่รู้สึกหนาวเย็นอีกต่อไป

“นายหญิง ช้าก่อน ด้วยความเยือกเย็นในระดับนี้ ที่นี่อาจจะมีหัวใจน้ำแข็งอยู่ ถ้าหากว่าครอบครองมันมาได้ มันจะมีผลประโยชน์ต่อการฝึกยุทธ์ของข้าเป็นอย่างยิ่ง”

เพลิงแห่งชีวิตของซิวนั้นแม้แต่มารยาก็ไม่อาจต้านทานได้ หากฉินอวี้โม่ปลดปล่อยมันออกมาในตอนนี้ ไม่อาจทราบได้เลยว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร มารยาชื่นชอบบรรยากาศเยือกเย็นในตอนนี้อย่างยิ่งและต้องการตามหาดูว่าที่นี่มีหัวใจน้ำแข็งหรือไม่ หากได้มาครอบครอง มันจะถือเป็นกำไรชิ้นโต

ฉินอวี้โม่ปล่อยให้มารยาพานางเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของเส้นทางอย่างไม่คัดค้าน

ยิ่งเข้าใกล้ส่วนลึกของเส้นทางเพียงใด ความเยือกเย็นรอบตัวก็น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น ฉินอวี้โม่มั่นใจเลยว่าหากซูวั่งชวนหรือไม่ว่าใครที่เข้ามาที่นี่เพียงลำพัง คนผู้นั้นคงจะตัวแข็งกลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งและตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

“นั่นไง ! มีหัวใจน้ำแข็งอยู่จริง ๆ ด้วย”

ขณะเข้าใกล้จุดที่ลึกที่สุด ทั้งสองก็มองเห็นกำแพงน้ำแข็ง และบนกำแพงดังกล่าวมีช่องบางอย่างปรากฏให้เห็น ภายในช่องนั้นมีก้อนน้ำแข็งกลมขนาดประมาณกำปั้นอยู่ก้อนหนึ่ง และก้อนกลมดังกล่าวรายล้อม ด้วยบรรยากาศเยือกเย็นที่เข้มข้นและกลิ่นอายเยือกเย็นจากมันค่อย ๆ แผ่ออกมาและกระจายไปทั่วทั้งอุโมงค์

มารยายิ้มและยื่นมือออกไปเพื่อคว้าหัวใจน้ำแข็งก้อนนั้น

ผู้ใช้ข่ายอาคมเจ้าของซากปรักหักพังแห่งนี้คงไม่คิดว่าจะมีผู้ใดข้ามผ่านอุโมงค์น้ำแข็งมาจนสุดทางได้ เพราะเหตุนั้นจึงไม่ได้ติดตั้งการป้องกันใด ๆ รอบหัวใจน้ำแข็ง

“ข้าจะเก็บมันไว้ก่อนและค่อย ๆ ศึกษามันในภายหลัง”

มารยายิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนที่กล่องใบหนึ่งจะปรากฏในมือและวางหัวใจน้ำแข็งลงในนั้นด้วยคิดว่ามันน่าจะบดบังกลิ่นอายของหัวใจน้ำแข็งนี้ไว้ได้

“ไปกันเถอะ ทางนี้ก็เป็นทางตัน เราออกไปกันเถอะ”

อสูรสาวกล่าวพร้อมยิ้มให้กับผู้เป็นนาย จากนั้นหนึ่งมนุษย์หนึ่งอสูรก็มุ่งหน้ากลับออกจากช่องทางที่สอง

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ออกมาจากเส้นทางที่สองและเข้าสู่ทางที่สามในทันที ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ ก็โล่งใจอีกครา

“จอมยุทธ์อวี้โม่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก การที่สำรวจทั้งสองเส้นทางและกลับออกมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจทีเดียว”

เฉิงห่าวซวนอดกล่าวออกไปไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นฉินอวี้โม่แสดงฝีมือมาก่อนและสัมผัสได้ว่าพลังของนางในตอนนี้ใกล้เข้าขอบเขตเซียนขั้นสามแล้ว อย่างไรก็ตาม ความสามารถที่นางแสดงให้เห็นครานี้ทำให้เขามั่นใจว่า ‘จอมยุทธ์อวี้โม่’ ผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางอาจไม่ด้อยไปกว่าเขา

เมื่อได้ยินวาจาของเฉิงห่าวซวน ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ เพียงยิ้มอ่อนโดยไม่กล่าวอธิบายสิ่งใด

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ทรงพลังอย่างยิ่ง หากนางใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่ซ่อนไว้ เกรงว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดก็ทำอะไรนางไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้อธิบายสิ่งใดให้มากความ เป็นจริงดังที่ฉินอวี้โม่เปรยไว้ก่อนหน้านี้ว่านางและเฉิงห่าวซวนเหมือนกัน ในไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจะได้กลายเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ทว่าตอนนี้มิใช่เวลาเหมาะสมที่จะอธิบายเรื่องทั้งหมด หลังจากเฉิงห่าวซวนยอมจำนนอย่างสัตย์จริง เขาจะได้ทราบเรื่องเหล่านี้

หลังจากเข้าสู่เส้นทางที่สาม เป็นอีกคราที่มันต่างไปจากทางก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

เส้นทางนี้ดูเหมือนเส้นทางธรรมดาทั่วไป หลังจากก้าวเดินไปนานหนึ่งก้านธูป นางก็ยังไม่พบความผิดปกติใด ๆ

อย่างไรก็ตาม นางไม่เชื่อว่าทางที่สามจะเรียบง่ายและธรรมดาเช่นนี้  สิ่งที่มาจากฝีมือของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมย่อมไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาแน่ ต่อให้เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง เกรงว่านางก็ต้องผ่านการทดสอบบางอย่างก่อนถึงจะผ่านไปได้

“มารยา… เสี่ยวอวี้…”

นางเอ่ยเรียกมารยาและหานอวี้ซึ่งอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวทว่ากลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ ดูเหมือนว่าอสูรทั้งสองจะไม่รับรู้ถึงการสื่อสารของนางเลย

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางพยายามเรียกคฤหาสน์เฟิงหัวออกมา ทว่าคฤหาสน์มิติหลังน้อยก็ดูจะตัดขาดการเชื่อมต่อจากนางอย่างสิ้นเชิง แม้แต่มิติเชื่อมอสูรก็ถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์และนางไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดได้เลย

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดที่จะถอยหลังกลับ สถานการณ์เช่นนี้น่าจะเป็นบททดสอบสำหรับเส้นทางที่สามและเป็นบททดสอบที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง หากนางคิดไม่ผิด ทางนี้น่าจะเป็น ‘เส้นทางแห่งชีวิต’ ที่นางตามหา

นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ และก้าวต่อไปข้างหน้า ทันใดนั้น สภาพแวดล้อมทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไปและนางปรากฏกายในป่าดอกท้อที่เบ่งบาน

เสียงขลุ่ยไพเราะดังกังวานไปทั่ว และภายในป่าลึกมีบุรุษคนหนึ่งที่กำลังยืนหันหลังให้กับนาง

ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ไม่น้อย แผ่นหลังของบุรุษผู้นี้ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก อีกทั้งกลิ่นอายความหยิ่งทะนงที่ต่อต้านผู้คนที่ต้องการเข้าใกล้ตั้งแต่ระยะหลายลี้ กอปรกับความรู้สึกคุ้นเคยที่เกิดขึ้น ‘บุรุษผู้นี้เหมือนกับใครบางคน…’

ขณะก้าวเท้าตรงเข้าไปหาบุรุษผู้นั้นทีละก้าว ๆ หัวใจของนางก็ประหม่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

นอกเหนือจากเสียงขลุ่ยเสนาะหู นางราวกับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวเร็วราวกลองชุด

ขณะเดินตรงต่อไปอย่างช้า ๆ ดอกท้องดงามร่วงหล่นลงบนไหล่และศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา

เสียงของขลุ่ยจากบุรุษลึกลับก็เงียบลงเช่นกันราวกับสัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่กำลังใกล้เข้ามาและกลิ่นอายจากเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้น

เมื่อหยุดยืนถัดจากบุรุษผู้นั้น จู่ ๆ นางก็สัมผัสถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นกลิ่นอายที่นางเฝ้าโหยหาและคำนึงถึงตลอดทั้งวันทั้งคืน

นางเอื้อมมือบางออกไปแตะเอวของเขาพร้อมอิงศีรษะลงซบแผ่นหลังกว้างและพึมพำเบา ๆ

“โม่ฉือ… ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”

ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว หยดน้ำใสก็รื้นที่ขอบตาและไหลรินอาบแก้มอย่างไม่อาจควบคุม

“เฮ้อ…”

ด้วยเสียงถอนหายใจเบา ๆ บุรุษคนดังกล่าวก็หันกลับมาและสวมกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งพร้อมเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขา…

.