การรบชี้ชะตา

เสียงหัวเราะพร้อมกับเสียงฟ้าร้องแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ

ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนให้มองไปที่ท้องฟ้าไกลออกไป ขวัญกำลังใจของหน่วยรบฉาบทองและเหล่าจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ดิ่งลงจากการถอยร่นไม่เป็นท่า ก็กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง

“นั่นหน่วยรบวิหคโลกันตร์!”

“ในที่สุดหน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็มาแล้ว! ว่ากันว่าก่อนหน้าพวกเขาก็เอาชนะสำนักสายฟ้าปีศาจมาน่ะ!”

“เยี่ยม เสียงนั่นคงจะเป็นเสียงของแม่ทัพมู่เฉินแห่งหน่วยรบวิหคโลกันตร์ มีเขาอยู่ด้วย เราก็ไม่ต้องกลัวหลินชิงเฟิงอีกแล้ว!”

“…”

เสียงกระซิบกระซาบถกเถียงกันดังไปทั่วท้องฟ้า จอมยุทธ์จำนวนมากของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้น เวลาเพียงครึ่งปีเกือบทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทราบว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์มีพลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่น่าตกใจ อีกอย่างหนึ่งพวกเขาก็รู้ชื่อมู่เฉิน แม่ทัพคนใหม่ที่ทำให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ผงาดขึ้นมา

บนท้องฟ้า หลินชิงเฟิงหรี่ตาลงเมื่อมองไปยังทิศทางนั้น ไกลออกไปเมฆพายุกวาดตัวเข้ามา สุดท้ายก็ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าไม่ไกลพร้อมกับรัศมีสังหารน่าสะพรึง

นั่นเป็นกองทัพในชุดเกราะสีดำพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีดำสนิทครางกระหึ่มราวกับกระแสธารเชี่ยวกราก เสียงฟ้าคำรามป่าเถื่อนดังแว่วออกมา ทั้งกองทัพยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนบนท้องฟ้า ท่าทางขึงขังนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจดูถูกได้

“ฮ่าๆ หน่วยรบวิหคโลกันตร์เรอะ? ข้าได้ยินมานานแล้ว” หลินชิงเฟิงยิ้มขณะหรี่ตามองกองทัพสีดำตรงหน้า

“ข้าก็ได้ยินชื่อเสียงน่าประทับใจของนักรบกระบี่สามพันคนแห่งหุบเขาหมื่นศาสตรามานานแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ข้าได้เห็นกับตา ข่าวลือไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆ ด้วย” ร่างของมู่เฉินปรากฏอยู่เหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในพริบตา พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางเมื่อมองไปที่หลินชิงเฟิง

“เจ้าคงจะเป็นแม่ทัพคนใหม่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ชื่อมู่เฉินสินะ?” หลินชิงเฟิงมองมู่เฉินนิ่งพลางเอ่ยช้าๆ “ลือกันหนาหูไม่เพียงแต่เจ้าจะเอาชนะหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตได้ แม้แต่ตำหนักสายฟ้าปีศาจก็ยังพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเจ้าด้วยใช่ไหม?”

มู่เฉินยิ้มขณะเหลือบมองไปที่หน่วยรบฉาบทองที่ระส่ำระสายไป “แม่ทัพหลิน สงครามใกล้มาถึงจุดจบแล้ว ข้าว่าเจ้าพาคนของตัวเองถอยไปก่อนดีไหม?”

“ฮ่าๆ แกอยากช่วยพวกเขาเหรอ?” หลินชิงเฟิงยิ้มพลางดีดนิ้วใส่กระบี่ยาวเบื้องหลังเบาๆ เอ่ยกับมู่เฉินด้วยรอยยิ้มตาหยี “เป็นเรื่องดีที่จะช่วยคนอื่น แต่กลัวว่าจะลากตัวเองลงนรกไปด้วยนะสิ”

แม้หลินชิงเฟิงจะเคยได้ยินความสำเร็จของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าคุกคามอะไรตนเองเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือแม่ทัพของหุบเขาหมื่นศาสตรา แม้แต่ในแดนร้อยสงคราม จำนวนแม่ทัพที่สามารถเทียบเคียงเขาได้ก็มีเพียงหยิบมือเดียว

แม้ตอนนี้นักรบกระบี่สามพันนายไม่ได้อยู่เคียงข้างทั้งหมด แต่เขาก็มีเย่อหยิ่งพอที่จะดูถูกแม่ทัพคนอื่นๆ

“สิ่งที่แม่ทัพหลินพูดมาก็ถูก”

พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาทราบดีว่าด้วยชื่อเสียงของหลินชิงเฟิงในแดนร้อยสงคราม การจะช่วยผู้อื่นโดยใช้เพียงแต่ลมปากเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ในเมื่อคำพูดไร้ประโยชน์…. งั้นก็ใช้กำปั้นละกัน

ไอเย็นเยือกลุกโชนในดวงตาสีดำของมู่เฉิน โดยไม่มีความลังเลใดๆ ฝ่าเท้าก็กระทืบลง หน่วยรบวิหคโลกันตร์ด้านล่างส่งเสียงตะโกนรับอย่างพร้อมเพรียง ขณะที่รัศมีจั้นยี่สีดำเมื่อมพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางรัศมีจั้นยี่แว่วเสียงฟ้าคำรามขึ้นเช่นกัน

เทียบกับเมื่อเดือนก่อน รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ฮึ่ม!

ขณะที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ระเบิดออกมา หลินชิงเฟิงก็สะบัดมือ เสียงกระบี่คมกริบแผดออกมา รัศมีจั้นยี่รัศมีกระบี่พวยพุ่ง ราวกับวาตภัยหมุนไปรอบตัวหลินชิงเฟิง

รัศมีคมกริบที่แผ่ออกมาราวกับสามารถฉีกชั้นฟ้าและชั้นดินได้

“แม่ทัพมู่เฉิน ถ้าต้องการช่วยเหลือคนอื่น ก็ลองรับสักกระบวนท่าหนึ่งก่อน!” หลินชิงเฟิงหัวเราะร่า แต่ในดวงตาไม่มีรอยยิ้มสักริ้ว มือทั้งคู่ประสานกันในทันที

“รัศมีกระบี่ บัวกระบี่วิญญาณ!”

ฟิ้ว!

รัศมีกระบี่ไร้ขอบเขตกวาดออกเปลี่ยนเป็นดอกบัวกระบี่ เมื่อดอกบัวแย้มบานก็หมุนคว้าง ทิ้งรอยเฉือนคมกริบไว้ในมิติ

แม้จะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากดอกบัวกระบี่ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความคมกริบที่อยู่ภายใต้ความเงียบงัน เห็นได้ชัดว่าหลินชิงเฟิงไม่มีความคิดที่จะหยั่งเชิง เขาเลือกใช้กระบวนท่าทรงพลังตั้งแต่แรก

หลินชิงเฟิงมองมู่เฉินอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ดีดนิ้ว ทันใดนั้นเองดอกบัวกระบี่ก็พุ่งออกไป ทิ้งภาพเงาไว้บนท้องฟ้า ความเร็วยิ่งกว่าฟ้าแลบเสียอีก

ดอกบัวกระบี่ขยายขนาดในม่านตาของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว แต่ใบหน้ากลับไม่มีแววตื่นตระหนกใดๆ ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตพวยพุ่งก่อตัวเป็นกำปั้นสีดำ บนกำปั้นมีสายฟ้าสีดำแล่นแปลบปลาบอยู่

“รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ หมัดสายฟ้าโลกันตร์!”

มู่เฉินเหวี่ยงหมัดออกไป หมัดสีดำที่ปกคลุมด้วยสายฟ้าก็ทะยานออกพร้อมกับท่าทางของเขา มันไม่ได้หลบเลี่ยงแต่ปะทะดอกบัวกระบี่จังใหญ่

ตู้ม!

รัศมีกระบี่และรัศมีจั้นยี่สายฟ้าวูบไหวกวาดออก ทำให้มิติบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวในพริบตานั้น แรงปะทะแผ่กระจายออกมากวาดอาละวาดไปทั่ว แต่กองทัพทั้งสองก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว

เบื้องล่างสายตานับไม่ถ้วนมองการปะทะบนท้องฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะมีแววตกตะลึงบางจางฉายออกมา เนื่องจากทุกคนบอกได้ว่าการโจมตีของนักรบกระบี่สามพันนายไม่สามารถทำอะไรหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้เลย

“หน่วยรบวิหคโลกันตร์เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าตอนที่สู้กับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตอีกนะเนี่ย” จอมยุทธ์บางคนที่มีสายตาเฉียบแหลมก็ตระหนักได้ทันทีว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์แกร่งกร้าวกว่าตอนที่ปะทะกับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต

“หน่วยรบวิหคโลกันตร์พบคนที่เหมาะสมแล้ว ตอนที่พวกเขาอยู่ในมือของเฉาเฟิง พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนี้”

ไม่ไกลจากบนท้องฟ้า เฉียนหลงก็มีสายตาซับซ้อนขณะมองมู่เฉินเผชิญหน้ากับหลินชิงเฟิง ก่อนหน้าที่มู่เฉินจะดำรงตำแหน่งแม่ทัพวิหคโลกันตร์ เขาเคยแอบเยาะเย้ยอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ เพราะไม่รู้สึกว่าชายหนุ่มที่เพิ่งโตคนนี้จะมีความสามารถมากมายนัก แต่หลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้เขาได้รู้ว่าสายตาตนเองทั้งคับแคบและตื้นเขิน เป็นเพราะการอยู่ในมือของชายหนุ่มคนนี้ หน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักถึงได้เริ่มฉายแสงเจิดจรัสออกมา

มากจนตอนนี้มีพลังแก่กล้าพอที่จะปะทะกับนักรบกระบี่สามพันคนแห่งหุบเขาหมื่นศาสตราที่เป็นกองทัพที่มีชื่อเสียง

“ท่านแม่ทัพ เราต้องไปช่วยเขาไหมขอรับ?” มีนักรบบางคนเอ่ยถามขึ้นจากเบื้องหลังเฉียนหลง

เฉียนหลงส่ายหน้า “หลินชิงเฟิงทำอะไรมู่เฉินไม่ได้หรอก พวกเขาไม่สู้กันแน่”

จากสายตา เขาบอกได้ว่าแม้หลินชิงเฟิงจะน่าสะพรึง แต่ก็ไม่ง่ายที่จะเอาชนะมู่เฉินได้ เว้นแต่กองทัพนักรบกระบี่สามพันคนจะอยู่ครบ ถึงพอจะสยบมู่เฉินได้

อย่างที่เฉียนหลงคาดการณ์ไว้ หลินชิงเฟิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าการโจมตีที่ซัดออกไปถูกหน่วยรบวิหคโลกันตร์สกัดไว้ได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริง แม่ทัพมู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ฝีมือธรรมดา”

“เยินยอเกินไปแล้ว” มู่เฉินยิ้มบาง

“ในเมื่อแม่ทัพมู่เฉินเสนอตัวออกมา ข้าก็จะไว้หน้าให้ วันนี้ข้าจะปล่อยหน่วยรบฉาบทองไป แต่หวังว่าเมื่อสงครามสำนักเริ่มต้น แม่ทัพมู่เฉินจะยังคงท่าทีสงบไว้ได้นะ” หลินชิงเฟิงยิ้มพลางประสานมือคำนับ จากนั้นก็โบกมือหมุนตัวจากไปพร้อมกับกองทัพอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา

มู่เฉินมองดูคนเหล่านั้นก็ขมวดคิ้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลินชิงเฟิงถึงเป็นแม่ทัพหุบเขาหมื่นศาสตรา ภายในเวลาสั้นๆ ที่ปะทะกัน มู่เฉินก็รู้แล้วว่าชายคนนี้เป็นปัญหายุ่งยาก

“มิน่าล่ะหุบเขาหมื่นศาสตราถึงเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจใหญ่ของแดนร้อยสงคราม พวกเขามีฝีมือไม่น้อยจริงๆ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนการต่อสู้ชี้ชะตาที่จะมาถึงต้องเป็นการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินแน่นอน

“แม่ทัพมู่เฉิน ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” ขณะที่มู่เฉินอยู่ในภวังค์ความคิด เฉียนหลงก็มาถึงพร้อมกับหน่วยรบฉาบทอง เขาเอ่ยขอบคุณพลางประสานมือคำนับ

“แม่ทัพเฉียนหลงไม่ต้องมากมารยาท เรามาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เช่นเดียวกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องช่วยเหลือกัน” มู่เฉินตอบกลับทันทีพลางประสานมือคำนับ ชายคนนี้ก็ไม่ได้ออกหน้าออกตามากในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ การช่วยเหลือครั้งนี้แม้จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่อย่างน้อยก็กระชับความสัมพันธ์ระหว่างหอฉาบทองคำกับหอวิหคโลกันตร์ให้แน่นแฟ้นขึ้น

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแข็งกร้าวของเฉียนหลงพร้อมกับความรู้สึกประทับใจต่อมู่เฉินเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เขาเห็นพวกที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยชนมามากมาย แต่ทุกคนล้วนหยิ่งทระนง ทว่ามู่เฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับไม่มีท่าทางยโสโอหังแต่อย่างใด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้บัญชาการจิ่วโยวถึงไว้วางใจชายหนุ่มขนาดนี้

“ในเมื่อแม่ทัพมู่เฉินมาแล้ว คิดว่าผู้บัญชาการจิ่วโยวก็คงมาด้วยใช่หรือไม่? ฮ่าๆ การต่อสู้ชี้ชะตารอการมาของนางนี่แหละ” เฉียนหลงยิ้ม

“ใช่ นางมุ่งหน้าไปรวมกับจอมพลทั้งสามแล้ว” มู่เฉินพยักหน้า จิ่วโยวเป็นหนึ่งในเก้าผู้บัญชาการที่มีอำนาจสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นการต่อสู้ชี้ชะตาจะขาดนางไปไม่ได้

ฉินเฟิงพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพูด เสียงกลองต่ำลึกก็ดังจากขอบฟ้าไกล เสียงกลองนั้นฟังราวกับเปี่ยมด้วยรัศมีจั้นยี่ไม่รู้จบ

“นี่คือสัญญาณกลองรบร้อยสงครามของแดนร้อยสงคราม!” สีหน้าของฉินเฟิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที

“มีอะไรหรือ?” มู่เฉินถามขึ้น

“แดนร้อยสงครามจะเปิดศึกแล้ว!” เฉียนหลงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งเครียดพูดต่อ “แม่ทัพมู่เฉิน เรารีบมุ่งหน้าไปที่ตั้งค่ายกันเถอะ!”

มู่เฉินตกใจไปเล็กน้อย แดนร้อยสงครามเปิดศึกชี้ชะตาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาโบกมือทะยานออกไปพร้อมกับเฉียนหลง หน่วยรบทั้งสองก็รีบติดตามไป

ลำแสงสองสายพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับฟ้าแลบ ขณะที่เสียงกลองโบราณดังชัดมากขึ้น

พวกเขาเหาะด้วยความเร็วสูงสุดเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ก่อนที่มู่เฉินกับเฉียนหลงจะค่อยๆ ชะลอตัวลง พวกเขากวาดสายตามองไกลออกไป ก็เห็นม่านแสงที่ปกคลุมเมืองไป่จั้นเปิดออกจากกันช้าๆ ทันใดนั้นร่างคนจำนวนมืดฟ้ามัวดินก็กวาดออกมาราวกับฝูงตั๊กแตน ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเมืองไป่จั้นจนถึงจุดที่แม้แต่แสงตะวันก็ไม่สามารถลอดผ่านพวกเขาได้

การตั้งกระบวนทัพอันน่าสะพรึงกลัวที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายขยายไปจนสุดลูกหูลูกตา ขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า คลื่นหลิงป่าเถื่อนผันผวนทำให้พลังงานในฟ้าดินถึงกับเดือดพล่าน

กองทัพน่ากลัวทั้งสองประจันหน้ากันแล้ว

ท้องฟ้าราวกับว่าจะถล่มลงในเวลานี้

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจยาวเมื่อเห็นภาพนี้ การประจัญบานนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจริงๆ