ตอนที่ 713 อยากรับนางกลับจวน
“คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ” ทัวป๋าหลิวลี่ย่อตัวลงได้เพียงเล็กน้อยก็ถูกมู่จวินฮานห้ามไว้เสียก่อน เพราะตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้วคงจะลำบากมิน้อย เขาจึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธี
“ช่างเถิด ที่ข้ามาเพราะมีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า” มู่จวินฮานเพิ่งเปิดปากพูด น้ำตาของทัวป๋าหลิวลี่ก็ไหลลงมาทันที
นางรู้ว่ามู่จวินฮานต้องสงสัยเรื่องลอบสังหารในครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงคิดหาวิธีรับมือไว้ก่อนแล้ว
“เรียนท่านอ๋อง ข้ารู้ว่าท่านจะถามสิ่งใด แต่ข้ามิได้เป็นคนทำเจ้าค่ะ ข้าจะทำร้ายท่านอ๋องได้เยี่ยงไร อีกอย่างต่อให้มีความกล้ามากเพียงใดก็คงมิกล้าลงมือกับพระชายาหรอกเจ้าค่ะ”
เดิมทีมู่จวินฮานมิได้สงสัยทัวป๋าหลิวลี่ก็แค่อยากมาถามนางว่าหมอที่ตรวจอันหลิงเกอก่อนหน้านี้เป็นผู้ใด
เมื่อเขาเห็นท่าทีเช่นนี้ของทัวป๋าหลิวลี่ก็รู้สึกรำคาญจนมิอยากถามสิ่งใดอีก ได้แต่คิดว่ารอให้กลับถึงจวนแล้วต้องไปตรวจสอบด้วยตนเอง
จากนั้นมู่จวินฮานก็มิได้สนใจทัวป๋าหลิวลี่อีก แค่บอกให้นางดูแลบุตรในครรภ์ให้ดีก่อนจะรีบร้อนออกไปจากกระโจม ฟางหลิงซู่ที่อยู่นอกประตูเห็นมู่จวินฮานออกมาจากกระโจมของทัวป๋าหลิวลี่ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
อย่างไรเรื่องที่เขาให้คนลอบสังหารมู่จวินฮานก็ต้องมีคนรับผิด เช่นนั้นมู่จวินฮานต้องตรวจสอบจนถึงที่สุดแน่นอน ดูท่าแล้วการที่มู่จวินฮานมาที่นี่ก็แสดงว่าสงสัยทัวป๋าหลิวลี่อยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น…
ทว่าครั้งนี้ฟางหลิงซู่คิดผิด มู่จวินฮานมาที่กระโจมของทัวป๋าหลิวลี่ก็เพราะต้องการที่จะเอ่ยถามความจริงเรื่องการตั้งครรภ์ของอันหลิงเกอเท่านั้น เขาคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสองพี่น้องทัวป๋าหลิวลี่อย่างแน่นอน
แต่คาดมิถึงว่าทัวป๋าหลิวลี่จะเสียสติเช่นนี้ ทำให้เขามิรู้จะเอ่ยถามเช่นไร
ส่วนฟางหลิงซู่คิดผลักเรื่องทั้งหมดให้ทัวป๋าหลิวลี่ แต่เมื่อพิจารณาอีกมุมหนึ่งแล้วการบอกว่าทัวป๋าหลิวลี่เป็นผู้บงการก็ดูเกินจริงไปหน่อย เมื่อเห็นมู่จวินฮานเดินไปทางที่ประทับของฮ่องเต้แล้วฟางหลิงซู่ก็ยิ้มออกมา ที่แท้ในใจของมู่จวินฮานก็คิดเช่นนี้เอง การทำให้มู่จวินฮานสงสัยฮ่องเต้จึงเป็นตัวเลือกสมเหตุสมผลมากที่สุด
ฮ่องเต้มีแรงจูงใจและสามารถทำเช่นนี้ได้ หากบอกว่าพระองค์กระทำก็ดูมิเกินจริงเลยสักนิด เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็มิต้องเปลืองแรงไปจัดการอีก ฟางหลิงซู่ยิ้มออกมาแล้วเดินจากไป
จริงตามที่ฟางหลิงซู่คาดการณ์เอาไว้ เพราะมู่จวินฮานเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของฮ่องเต้แน่นอน
แต่การที่เขาไปหาฮ่องเต้ตอนนี้เพียงเพื่อทูลรายงานเรื่องความปลอดภัยให้ฮ่องเต้ทรงทราบเท่านั้น หาได้เตรียมตัวที่จะไปหยั่งเชิงไม่
อย่างไรฮ่องเต้ก็เป็นตำแหน่งสูงสุด ส่วนเขาเป็นแค่ขุนนางและเมื่อเป็นเช่นนี้หากฮ่องเต้ต้องการกำจัดขุนนาง เขาก็มิอาจทำอันใดได้ เพียงอาศัยเรื่องรายงานความปลอดภัยเพื่อดูท่าทีของพระองค์เท่านั้น
ฮ่องเต้แม้จะทราบว่ามู่จวินฮานถูกลอบสังหาร แต่พระองค์หาได้ใส่พระทัยเรื่องนี้ไม่ ดังนั้นตอนที่มู่จวินฮานมารายงานตัวว่าปลอดภัยดีฮ่องเต้จึงตรัสกับเขามิกี่คำแล้วรับสั่งให้เขาออกไป
เรื่องนี้ไม่สามารถหาหลักฐานได้ มู่จวินฮานจึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไปเท่านั้น
มู่จวินฮานพยายามไม่นึกถึงเรื่องนี้อีก หากกลับถึงจวนอ๋องมู่แล้ว เขาจะปกป้องอันหลิงเกออย่างดี แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็เพิ่งตระหนักได้ว่าส่งอันหลิงเกอออกนอกจวนให้ไปอยู่กับฟางหลิงซู่แล้ว
ทำให้มู่จวินฮานขมวดคิ้วขึ้นมา หลายวันมานี้เขารู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงตอนที่อันหลิงเกอขวางกระบี่ให้ ได้เห็นท่าทีไม่เย่อหยิ่งและถ่อมตนของนางแล้วมู่จวินฮานก็รู้สึกว่าตัดสินใจผิดเสียแล้ว
เดิมทีเขาส่งอันหลิงเกอออกจากจวนก็เพราะช่วงนี้ฮ่องเต้และจ้าวหลานหยู่เริ่มพุ่งเป้ามาที่ตน ดังนั้นจึงอยากที่จะปกป้องนาง
ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับบุตรของนางก็เพราะก่อนหน้านี้หมอหลวงบอกกับมู่จวินฮานว่าตั้งแต่ที่อันหลิงเกอคลอดก่อนกำหนดครั้งก่อน นางจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก หากฝืนคลอดบุตรก็จะทำให้นางต้องตายเท่านั้น
ทว่าเรื่องนี้มู่จวินฮานมิได้บอกอันหลิงเกอ
เขาจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อให้นางตัดใจจากตนแล้วส่งนางออกนอกจวน
ส่วนบุตรของทัวป๋าหลิวลี่นั้นเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามิได้เป็นบุตรของตน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ มู่จวินฮานจึงตัดสินใจว่าเมื่อกลับถึงจวนแล้วต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อทำให้จวนกลับมาปลอดภัยและเขาจะได้ไปรับอันหลิงเกอกลับมาเสียที
อันหลิงเกอตื่นแล้ว พอได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกก็รู้ว่าพวกเขากำลังตรวจสอบกันอยู่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้อันหลิงเกอก็รู้สึกเหนื่อยล้าและอยากกลับไปที่หอพิษกู่ของฟางหลิงซู่โดยเร็ว
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดช่วงนี้นางรู้สึกว่าเริ่มพึ่งพาฟางหลิงซู่มากขึ้น คงเพราะการอยู่ในหอพิษกู่นางสามารถเป็นตัวเองได้อย่างสบายใจ
แต่ความรักที่นางมีต่อมู่จวินฮานก็ยังมิได้หายไป เช่นนั้นนางคงไม่เข้าไปช่วยเขาโดยไม่คิดชีวิตเช่นนี้หรอก
เมื่อตริตรองเรื่องนี้ก็พบว่าถ้านางตายไปทุกอย่างก็อาจดีกว่านี้ เพราะนางรู้สึกทุกข์ทรมานยิ่งนักจนบางครั้งก็ยากที่จะแบกรับไหว
หลังประสบกับความเป็นความตายเช่นนี้ นางรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับความตายแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
…
เมื่อกลับถึงหอพิษกู่ ฟางหลิงซู่ยังเตรียมอาหารเลิศรส หาท่านหมอดีที่สุดมาดูอาการให้อันหลิงเกอ แน่นอนว่านางก็ยอมรับความปรารถนาดีของฟางหลิงซู่เอาไว้
เนื่องจากอันหลิงเกอรู้มาโดยตลอดว่าฟางหลิงซู่พยายามทำให้นางมีความสุข เขาจึงพิถีพิถันกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาง
ฟางหลิงซู่มักเอาใจใส่นางอยู่เสมอ คอยปกป้องดูแลนางเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกันแล้วเขาช่างแตกต่างจากมู่จวินฮานมากเสียจริง
ฟางหลิงซู่คงมิรู้ว่าหากตอนนั้นคนที่กำลังจะถูกแทงเป็นเขาเอง อันหลิงเกอก็ยังพุ่งตัวออกไปขวางโดยมิลังเลเช่นกัน เพราะสำหรับคนที่ใกล้ชิดแล้วอันหลิงเกอย่อมปกป้องโดยมิห่วงความปลอดภัยของตน
หลายวันต่อมา อันหลิงเกอยังอยู่ที่เรือนของฟางหลิงซู่ในหอพิษกู่
ส่วนฟางหลิงซู่ต้องกลับไปที่เผ่าปิงชวนและคาดว่าจะใช้เวลาราวหนึ่งเดือนจึงจะได้กลับมา
อันหลิงเกอพอทราบมาบ้างว่ามิใช่เรื่องง่ายที่ฟางหลิงซู่จะกลับไปที่เผ่าปิงชวนและแน่นอนว่าต้องมีหลายสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจ
โดยปกติจะเป็นฟางหลิงซู่ที่คอยอยู่เคียงข้างนางให้ผ่านวันเวลาที่ทรมานเหล่านี้ไปได้ บัดนี้เขาเกิดปัญหาแต่ยังขังนางไว้ในหอพิษกู่ มิยอมให้นางไปเสี่ยงกับเขาด้วย
นางเข้าใจความคิดของฟางหลิงซู่ดี รู้ว่าเขามิอยากให้นางตกอยู่ในอันตรายแต่ขณะเดียวกันอันหลิงเกอก็มิอยากให้เขาแบกรับสิ่งเหล่านี้ไว้เพียงลำพัง เขาช่วยนางไว้มากมาย แต่นางมิเคยทำอันใดเพื่อเขาเลย
“เด็กน้อย มาเดินหมากเป็นเพื่อนข้าสักกระดานได้หรือไม่ ? ” ขณะที่อันหลิงเกอกำลังร้อนรนอยู่ที่หน้าประตูเพื่อหาทางออกไปนั้นก็มีแม่เฒ่าตาบอดเดินเข้ามา นางกำลังใช้มือลูบไล้ผมขาวของตนและเอ่ยปากชวนอันหลิงเกอพร้อมรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้า
ส่วนอันหลิงเกอเห็นว่าแม่เฒ่าตาบอดอายุปูนนี้แล้วมาเอ่ยชวน หากนางปฏิเสธคงไม่เหมาะนักจึงเดินตามเข้าไปยังห้องโถงของหอพิษกู่ จากนั้นแม่เฒ่าก็หยิบกระดานหมากล้อมออกมา เมื่อเห็นกระดานนั้นแล้วอันหลิงเกอจึงอดแปลกใจมิได้เพราะกระดานดูเก่าแก่มาก ทำให้รู้ว่าแม่เฒ่าตาบอดผู้นี้เป็นคนชอบยึดติดกับอดีตและหลงใหลในการเดินหมากมากทีเดียว อันหลิงเกอจึงมิแปลกใจที่อีกฝ่ายสามารถเดินหมากได้ทั้งที่ตามองไม่เห็น