บทที่ 506: อัฉริยะพิสดาร

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

เมื่อเห็นเหล่าเด็กสาวคุกเข่าต่อหน้าเขา ซูหยางก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “พูดตามตรง จริงๆแล้วข้ามิโทษผู้ใดที่วิ่งหนีไป ไม่ว่าอย่างไรนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มิใช่สำนักที่เชื่อถือได้จริงๆมาก่อน นี่เป็นคำพูดจากใจข้า”

 

“อ-อะไร—” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วดวงตาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าพูดไม่ออกกับคำพูดของเขาที่ไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นในฐานะผู้นำนิกาย

 

“อะไร ข้าก็แค่พูดความจริง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยขาดกลไกการป้องกันตัวที่เหมาะสม และก็ไม่ต่างไปจากเต่าที่ปราศจากกระดองในช่วงที่ถูกโจมตีนั้น ถ้าข้าเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป ข้าก็ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเช่นกัน”

 

ซูหยางยักไหล่ และเขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เยาะเย้ยอย่างไร้ปรานีต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างไม่สนใจว่าโลกจะคิดอย่างไรว่า “แม้กระทั่งสำนักขนาดกลางก็ยังมีค่ายกลป้องกันสักอย่างป้องกันสำนัก แต่พวกเรากลับมิมีอะไรเช่นนั้นที่นี่”

 

“ค-ค่ายกลป้องกัน เจ้าเคยคิดไหมว่าต้องใช้ทรัพยากรมากน้อยเท่าไหร่ในการครอบคลุมทั้งนิกายด้วยค่ายกลอะไรสักอย่าง อย่าว่าแต่นี่เป็นค่ายกลป้องกัน กระทั่งสำนักระดับสูงก็มิได้หรูหราอะไรเช่นนั้น” โหลวหลานจีกล่าว

 

เพราะว่าวิชาค่ายกลนั้นหายากเป็นอย่างมากในโลกนี้ กระทั่งเหนือกว่าการปรุงยาในแง่ของความซับซ้อนและยากลำบาก มีคนเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่มีโอกาสได้เรียนมัน

 

และถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลในโลกนี้รวมตัวกัน นั่นก็ยังต้องการความพยายามหลายสิบปีในการสร้างขึ้นมาสักหนึ่งค่ายกลที่สามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งนิกาย

 

ยกตัวอย่างสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธ์ได้ใช้หินวิญญาณกว่าหลายแสนก้อนและเวลากว่าร้อยปีในการล้อมสำนักของพวกเขาด้วยค่ายกลป้องกัน

 

“อา ค่ายกลหายากมากเช่นนั้นเลยรึในโลกแห่งนี้” ซูหยางส่ายหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ “เดาได้เลยว่าข้าคงต้องสร้างขึ้นมาเอง”

 

“ด-เดี๋ยวก่อน…” โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างและพูดขึ้นว่า “จ-เจ้ารู้วิธีว่าจะสร้างค่ายกลได้อย่างไรด้วยรึ”

 

“ซูหยางมองดูเธอด้วยใบหน้าที่สามารถแปลเป็นคำพูดได้ว่า “แน่นอน”

 

“แม้ว่าข้าพูดว่าข้าจักสร้างขึ้นมาหนึ่งหลัง แต่จริงๆแล้วข้ามิใช่เป็นคนที่สร้างค่ายกล ข้าอยู่แค่ในเขตอัมพรวิญญาณ ดังนั้นถึงแม้ว่าข้าจะสร้างค่ายกลขึ้นมา มันก็จะมิทรงพลัง”

 

“เช่นนั้นเจ้ากำลังจะทำอะไรต่อไป”

 

“แน่นอนว่าต้องขอใครบางคนที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าให้ช่วยสร้างให้”

 

โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยใบหน้าที่สงสัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและถามว่า “คนที่กระทั่งทรงอำนาจยิ่งกว่าเจ้ารึ นอกจากเจ้าซีและไม่กี่คนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ จะเป็นไปได้ที่จะมีใครกันที่มีความแข็งแกร่งกว่าเจ้าในตอนนี้”

 

ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “มีสองคนในตอนนี้ในนิกายที่แข็งแกร่งกว่าข้ามาก หนึ่งในนั้นสามารถเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นฝุ่นได้โดยเพียงแค่ขยี้ อย่ากังวล ข้าจักแนะนำพวกเธอให้กับพวกเจ้าในภายหลัง”

 

“ต-ต-ตัวตนที่ทรงอำนาจตอนนี้อยู่ภายในนิกายเรารึ ทำไมเจ้าจึงมิบอกข้าให้เร็วกว่านี้” โหลวหลานจีเริ่มกระสับกระส่าย ในเมื่อนี่ถือเป็นการล่วงเกินและหยาบคายอย่างหาที่เปรียบที่ไม่ไปทักทายจอมยุทธผู้ทรงอำนาจหากว่าพวกเขาไปเยี่ยมสำนักใดๆ

 

“แน่นอนว่าปฏิกิริยาของเจ้าเป็นเหตุผลที่ทำไมข้าจึงต้องซ่อนตัวพวกเขาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าได้พบกับพวกเธอทั้งสองคนมาก่อนหน้านี้แล้ว”

 

“หือ ข้าได้พบกับพวกเธอมาก่อนรึ…”

 

ทันใดนั้นใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นใจของเธอ เป็นเด็กสาวที่มีความสวยเป็นเลิศ

 

“หรือว่าจะเป็นเด็กหญิงคนนั้นที่ฆ่าจอมยุทธจากนิกายล้านอารพิษในเวลานั้น” โหลวหลานจีครุ่นคิดด้วยสีหน้าเครียด

 

หลังจากที่ศิษย์ตำหนักโอสถได้ถูกยอมรับเข้ามาในนิกายอีกครั้ง ซูลี่ชิงก็บอกพวกเธอให้กลับไปยังตำหนักยาในเวลาต่อมา และพวกเธอก็หายไปจากพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น

 

ในวันที่หกของการทดสอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้รับคนทั้งหมด 817 เข้าสู่นิกาย

 

และในวันสุดท้ายของการทดสอบ ก็มีเสียงโห่ร้องปั่นป่วนวุ่นวายดังขึ้นเมื่อเด็กหญิงลึกลับที่สวยมากคนหนึ่งเข้าร่วมทดสอบและเรียกความสนใจของทุกคนที่นั่น

 

“อายุ 12 ปี… ระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ?!?!?!” ฟางซีหลานปากอ้าค้างจนถึงพื้นเมื่อเธอเห็นผลลัพธ์ และผู้ชมต่างพากันระเบิดเสียงโห่ร้อง

 

“อะไรกัน ยอดยุทธอายุสิบสองปีระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ เธอมีประวัติความเป็นมาอย่างไร”

 

“ข้ารู้จักตระกูลที่มีชื่อเสียงและทรงอำนาจทั้งหมดภายในทวีปตะวันออก แต่ข้ากลับมิอาจจดจำเด็กหญิงคนนี้ได้”

 

“ทำไมคนที่มีพรสวรรค์เช่นนั้นเป็นคนที่มิมีใครรู้จัก ใครสักคนควรจะรู้จักเธอ”

 

“ต้องมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างกับผลลัพธ์แน่”

 

อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านไปสักพักใหญ่ ก็ไม่มีแม้ใครสักคนจากคนนับพันที่นั่นรู้จักตัวตนของเด็กหญิงคนนี้

 

“มิมีใครที่นี่รู้ถึงตัวตนของเด็กหญิงคนนี้ที่มีพรสวรรค์สะท้านฟ้าเช่นนี้ นี่ช่างเป็นสิ่งที่มิคาดคิดอย่างแท้จริง” จอมกระบี่ศักดิ์สิทธิ์กล่าวพร้อมกับลืมตาโพลง

 

“เข้าถึงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณเมื่ออายุได้ 12 ปี… กระทั่งพรสวรรค์ของข้าก็ยังด้อยกว่าหากเปรียบเทียบกับเด็กหญิงคนนี้…” ซีซิงฟางพึมพัมด้วยใบหน้างงงัน

 

“อืม… ข้าต้องขอโทษด้วย แต่เจ้าสามารถทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งได้หรือไม่ในกรณีที่ว่าอาจจะมีข้อผิดพลาด” ฟางซีหลานถามเด็กหญิงสองสามอึดใจจากนั้น

 

เด็กหญิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย และสัมผัสเทวรูปอีกครั้ง

 

สองสามวินาทีให้หลังผลลัพธ์ก็ออกมาโดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

 

“อายุ 12 ปี… ระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ…” ฟางซีหลานจ้องมองเทวรูปด้วยสีหน้างงงัน

 

“ข้าผ่านหรือยังตอนนี้” เด็กหญิงถามเธอหลังจากนั้น และฟางซีหลานก็รีบพยักหน้า

 

เมื่อเด็กหญิงผ่านไปถึงการทดสอบที่สอง ซุนจิงจิงก็อดไม่ได้ที่จะถามเธอ “สาวน้อย เจ้ามาจากไหน ถึงมีพลังฝึกปรือระดับนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าต้องมีอาจารย์ที่เก่งกาจสอนเจ้าอยู่แล้วเป็นแน่ ข้านึกมิออกว่าทำไมคนอย่างเจ้าจึงต้องเข้าร่วมสำนัก”

 

เด็กหญิงที่มีหน้าตาคมคายและสีหน้าเรียบเฉยมองดูซุนจิงจิงด้วยดวงตาที่ไร้อารมณ์และกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “ข้ามิมีอาจารย์”

 

“เอ๋ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร” ไม่เพียงแต่แค่ซุนจิงจิงที่สงสัยคำพูดของเด็กหญิง เช่นเดียวกับทุกคนที่นั่นที่ต่างพากันจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย

 

ถ้าจะมีใครสักคนที่อายุยังน้อยเหมือนกับเด็กหญิงคนนี้เข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณระดับห้าโดยปราศจากอาจารย์ แล้วควรจะพูดอย่างไรดีกับผู้ฝึกวิชายุทธในโลกนี้กว่าครึ่งที่ไม่สามารถแม้กระทั่งจะก้าวเข้าสู่เขตปฐมวิญญาณหากไม่เข้าร่วมสำนัก หรือว่าพวกเขาไม่ควรจะถือว่าเป็นผู้ฝึกวิชาได้จริงอีกต่อไป

 

“ซูหยาง… เด็กหญิงคนนี้…” โหลวหลานจีหันไปมองดูเขา ซึ่งจ้องมองเด็กหญิงคนนี้อย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิด