ตอนที่ 576 ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแคว้นเซียวจิ่ง / ตอนที่ 577 ยอดฝีมือตัดสินแพ้ชนะ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 576 ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแคว้นเซียวจิ่ง 

 

 

หรงจิงมองผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ฉู่อวิ๋นเซียวแล้วพูดว่า 

 

 

“ทุกท่านคงจะรู้ว่าขุนพลฉู่สอบได้เป็นปั๋งเหยี่ยนฝ่ายบู๊ในสมัยนั้น เป็นผู้มีความห้าวหาญเป็นเลิศ เราจะให้โอกาสขุนศึกทุกคน หากใครที่คิดว่าห้าวหาญก็ให้มาท้าทายกับฉู่อวิ๋นเซียว” 

 

 

“ถ้าชนะได้ เราจะแต่งตั้งให้เป็นจอหงวน” 

 

 

หรงจิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่ฉู่อวิ๋นเซียวเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นเซียวจิ่ง เขาช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้หลายครั้งแต่โบราณมาบุ๋นนั้นยากแยกแยะว่าบทความใครดีกว่าใครเพราะต่างมีแนวทางของตน แต่บู๊นั้นเพียงประลองก็จะเห็นฝีมือที่เหลื่อมล้ำกันได้ หรงจิงเองสนใจใคร่รู้ว่าจะมีใครที่มีคุณสมบัติดังนี้หรือไม่ 

 

 

เขากวักมือให้ฉู่อวิ๋นเซียวเข้าใกล้ไปสั่งความ ส่วนขุนศึกข้างล่างก็พากันกระซิบกระซาบ 

 

 

หรงจิงเมื่อเห็นเรื่องที่ตนพูดออกไปเป็นนานแล้วก็ยังไม่มีใครตอบรับจึงขมวดคิ้ว 

 

 

“ผู้นำทัพทั้งหลายมีความเห็นกันหรือไม่” 

 

 

น้ำเสียงหรงจิงเจือความไม่พอใจ เหล่าขุนนางใหญ่ปรึกษากันเบาๆ สักครู่แล้วก็มีขุนศึกยืนขึ้นมาพูดอย่างลำบากใจ 

 

 

“วิธีการนี้ของฝ่าบาทก็ดีอยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าขุนพลฉู่เป็นผู้มีฝีมือเลิศเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นเซียวจิ่งซึ่งพวกกระหม่อมล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ แม้นว่าลูกวัวน้อยไม่ประสาจึงไม่เกรงกลัวพยัคฆ์ แต่อย่างไรก็ยังห่างชั้นกันมากเกินไป พวกนักศึกษาไม่กล้าประลองก็มีเหตุผลอยู่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็หัวเราะเสียงดังแล้วสะบัดมือ 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวจึงรับหน้าที่พูดต่อว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยและเห็นใจทุกคนว่ายังอายุน้อย พวกเจ้าสามารถเลือกอาวุธที่ถนัดที่สุดของตนเองได้ ส่วนข้าจะไม่ใช้กำลังภายใน หากสามารถรับมือได้มากกว่าห้าสิบกระบวนท่าถือว่าชนะ” 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวมองพวกทหารหนุ่มด้านล่างอย่างค่อนข้างดูถูก คนหนุ่มล้วนอยู่ในวัยที่มีจิตใจและกำลังวังชากล้าแกร่งเมื่อได้ฟังคำพูดฉู่อวิ่นเซียวแล้วต่างพากันคันไม้คันมือ ไม่นานนักก็มีนายทหารหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนขึ้นมา 

 

 

“นักศึกษามู่เค่อขอให้ท่านขุนพลช่วยชี้แนะด้วย” 

 

 

เขาหยิบทวนพู่แดงออกมาจากด้านหลังแล้วยืนอยู่ตรงกลางท้องพระโรงท้าสู้ฉู่อวิ๋นเซียวอย่างไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย 

 

 

ซึ่งนี่คือวิธีการที่เซียงฉือเสนอต่อหรงจิง วิธีนี้นายทหารน้อยที่มีฝีมือก็จะสามารถแสดงฝีมือได้ และสำหรับหยางจิ่นเฉิงที่แตกต่างจากขุนศึกอื่นๆ ก็จะไม่เป็นการเสียเปรียบ 

 

 

หยางจิ่นเฉิงสังเกตเห็นสายตาที่เซียงฉือมองเขา หลังจากนั้นเมื่อมองดูอีกครั้งก็เห็นนางพูดอะไรกับหรงจิง แล้วหรงจิงก็ได้เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ออกมาเช่นนี้ 

 

 

เขามองหรงจิงอย่างซาบซึ้งใจ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสนใจเซียงฉือขึ้นมา 

 

 

พละกำลังของพวกขุนศึกเหล่านั้นน่าหวาดหวั่นซึ่งเขาก็ได้ปะมือมาก่อนแล้ว หากวันนี้จะต้องแข่งขันกันให้ได้ และหากฝ่าบาทไม่ทรงประกาศผ่อนผัน  เช่นนั้นแล้วเขาย่อมไม่มีทางที่จะติดสามอันดับต้นอย่างแน่นอน 

 

 

เขาเป็นหลานชายหยางกั๋วกง บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามีพี่ชายอีกคนหนึ่งจึงไม่สามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์กั๋วกงได้ แต่ฝ่าบาทรักใคร่บ้านสกุลหยางของพวกเขามาโดยตลอด แม้เขาจะไม่ได้เป็นกั๋วกงก็สามารถเป็นแม่ทัพภาคได้ไม่มีปัญหา ทว่าเขาไม่ต้องการมีชีวิตเช่นนั้น 

 

 

เขาคือหยางจิ้นเฉิง เขาไม่ต้องการเป็นเพียงหลานชายของหยางกั๋วกง เขาจะต้องมีทัพบ้านสกุลหยางของตนเองกองทัพที่องอาจห้าวหาญที่สุด 

 

 

เขามีแต่ต้องเข้าสอบแข่งขันจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่เป็นถึงหลานชายหยางกั๋วกงแล้วไม่สามารถติดหนึ่งในสามอันดับต้นได้ช่างน่าอับอายอย่างยิ่ง เขายังคงต้องคำนึงถึงหน้าตาของท่านปู่อยู่ 

 

 

จึงมองดูอวิ๋นเซียงฉือด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งขึ้น 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือสำเหนียกได้ถึงสายตาของหยางจิ้นเฉิง แต่ตอนนี้ด้านล่างกำลังคึกคักยิ่ง มู่เค่อที่ออกมานั้นมีกระบวนท่ากล้าแกร่ง มีรุกมีรับ เซียงฉือที่เป็นคนนอกวงการดูจนอารมณ์พลุ่งพล่าน 

 

 

นางไม่ได้มีเจตนาที่จะวางมาด แต่นางไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องพวกนี้กับพวกขุนศึกเลือดร้อนเจ้าทิฐิเหล่านั้น และคำพูดพวกนั้นหากพวกที่มีเจตนาร้ายรู้เข้าก็จะกลายเป็นความยุ่งยากขึ้นมา 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 577 ยอดฝีมือตัดสินแพ้ชนะ 

 

 

ทวนพู่แดงของมู่เค่อท้าทายฉู่อวิ๋นเซียว เมื่อมีทวนยาวในมือพลังก็ยิ่งกล้าแข็ง ฉู่อวิ๋นเซียวเป็นนักรบในฝันในใจของนักรบมากมาย การได้ประลองกับขวัญใจตนเองนอกจากความตื่นเต้นฮึกเหิมแล้วยังเป็นการเพิ่มศักยภาพอีกด้วย 

 

 

เมื่อความฝันเป็นจริงขึ้นมาก็ยิ่งทำให้ศักยภาพของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับมู่เค่อในขณะนี้ 

 

 

เซียงฉือไม่รู้เรื่องวิทยายุทธ์มากนัก รู้สึกแต่เพียงว่าเสียงร้องตะโกนของมู่เค่อถึงกับทำให้ถ้วยเบื้องหน้าสั่นสะเทือนแสดงว่าความสามารถของเขาไม่อาจดูแคลนได้ 

 

 

แต่หรงจิงส่ายหน้าแสดงความไม่พึงพอใจ ฉู่อวิ๋นเซียวใช้ทวนยาวรับไว้สองครั้งพอกลับตัวทวนยาวก็หลุดมือ เขาใช้พลังปะทะไปยังแผ่นอกมู่เค่อ ทำให้มู่เค่อถอยร่นไปทันที 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวออมแรงไว้มาก จากนั้นยึดทวนพู่แดง ไม่ได้โต้กลับ ทั้งสองจ้องมองกัน หรงจิงชี้ที่ฉู่อวิ๋นเซียวแล้วพูดว่า 

 

 

“เท้าทั้งคู่ของขุนพลฉู่มั่นคงกว่าไม่ว่าจะบุกหรือรับ เรี่ยวแรงทื่อๆ มากมายของมู่เค่อไม่สามารถทำอะไรฉู่อวิ๋นเซียวได้แม้แต่น้อย” 

 

 

เซียงฉือฟังหรงจิงพูดที่ข้างกายโดยไม่พูดอะไร ซูกงกงยกสุราหงอิงที่หรงจิงโปรดปรานมาแล้วรินให้เขาเต็มจอกพูดยิ้มๆ ว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงทราบดีอยู่แล้วว่าวิทยายุทธ์ล้ำเลิศที่หาชมได้ยากของใต้เท้าฉู่นั้นเพราะได้รับการฝึกสอนจากฝ่าบาทมาตั้งแต่เล็ก ความหนักแน่นแม่นยำแบบนั้นจะแพ้ใครง่ายๆ ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ที่แท้ฉู่อวิ๋นเซียวได้รับการอบรมสั่งสอนจากฝ่าบาทมาตั้งแต่เด็ก 

 

 

เซียงฉือจึงหยุดสายตาบนตัวฉู่อวิ๋นเซียวนานขึ้น มู่เค่อพ่ายแพ้แล้ว เขาไม่มีความหวังอะไรมากอยู่แล้วตั้งแต่ต้น เพียงแต่ฉู่อวิ๋นเซียวเห็นความตั้งใจของเขาจึงให้โอกาสแก่เขา 

 

 

มีผู้ท้าประลองกับฉู่อวิ๋นเซียวติดต่อกันสามคนและต่างพ่ายแพ้อย่างไม่ผิดความคาดหมาย หรงจิงได้พิจารณาผ่านตาทั้งหมด เขาส่ายหน้าอย่างไม่พอใจนัก 

 

 

จนกระทั่งมีชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งเดินออกมา รูปร่างเขาบอบบางกว่าชายหนุ่มบึกบึนก่อนหน้านั้นหลายคน หน้าตากร้านดำ ทว่าดวงตาทั้งคู่แวววาวมีชีวิตชีวา 

 

 

หรงจิงมองดูคนๆ นั้น เห็นท่าทางหม่นมัวก่อนจะฟื้นคืนประกายเจิดจ้า จึงพิจารณาด้วยความสนใจ ส่วนเซียงฉือเมื่อเห็นท่าทางของหรงจิงเปลี่ยนไป จึงหยุดสายตาไปบนร่างเขา 

 

 

คนคนนั้นเดินมาถึงข้างหน้าหมุนกายประสานมือคารวะไปรอบทิศ จากนั้นจึงพูดกับฉู่อวิ๋นเซียวว่า 

 

 

“นักศึกษาเซวียอวี้ ขอน้อมรับการสั่งสอนจากใต้เท้าฉู่ขอรับ” 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวสูงกว่าแปดฟุต ยามอยู่เบื้องหน้าคนๆ นั้นดูราวภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง คะแนนการสอบที่ผ่านมาของคนๆ นี้ถือว่าปานกลาง เซียงฉือเองก็ไม่ได้ประทับใจเขานัก 

 

 

เพียงแต่ตอนนี้เห็นหรงจิงสนใจเขาจึงให้ความใส่ใจมากขึ้น ถึงแม้ฉู่อวิ๋นเซียวจะต่อสู้มาแล้วหลายรอบแต่เขาเองก็ไม่ประทับใจนัก เขากำหมัดประสานคารวะตอบเซวียอวี้ และเมื่อเห็นแววตาเขาเข้าก็บังเกิดความพรั่นใจขึ้นบ้าง 

 

 

เซวียอวี้เลือกมีดล่าสัตว์จากคลังอาวุธถือไว้ด้วยมือเดียว ต่างคุมเชิงกับฉู่อวิ๋นเซียวด้วยสีหน้าราบเรียบ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ เพียงตอบโต้ลองเชิงกันครั้งสองครั้ง 

 

 

ทุกครั้งจะเป็นผู้ท้าประลองเริ่มลงมือก่อน หรงจิงวางจอกสุราลงบนโต๊ะดูอย่างตั้งใจดวงตาแวววาว เซียงฉือรู้สึกประหลาดใจ ขณะนั้นซูกงกงยืนอยู่ที่ด้านหลังนางพอดี นางจึงเอี้ยวถอยหลังถามซูกงกงเบาๆ 

 

 

“ซูกงกง คนคนนั้นร้ายกาจนักหรือ” 

 

 

ซูกงกงได้ยินแล้วยิ้ม เขามองหรงจิงแล้วมองภาพเบื้องล่างแล้วจึงตอบว่า 

 

 

“ยอดฝีมือประมือกัน เซวียอวี้คนนี้ยึดพื้นที่ได้มั่นคงมาก ต่อสู้อย่างมั่นใจมีจังหวะ อีกทั้งดูเหมือนเป็นคนที่เคยผ่านสมรภูมิมาแล้ว สายตาแบบนั้นแตกต่างจากผู้เข้าสอบทั่วไป” 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วสีหน้าเคร่งครัดขึ้น นางเบิ่งตาโตไม่ต้องการพลาดชมแม้สักอิริยาบถ