ตอนที่ 578 มีดบินลอบปลิดชีพ / ตอนที่ 579 ลงโทษเซวียอวี้

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 578 มีดบินลอบปลิดชีพ 

 

 

มีดของเซวียอวี้ว่องไวมาก ออกมีดแต่ละครั้งดุเดือดรุนแรงสุดจะเปรียบ เหมือนดั่งขุนศึกผู้เฉียบขาดไม่เยิ่นเย้อ แววตาบ้าระห่ำเหมือนผู้ลุ่มหลงในการต่อสู้ ฟาดฟันทุกมีดออกไปอย่างสุดจิตสุดใจ 

 

 

หรงจิงผงกศีรษะ ซูกงกงก็คอยนับทุกกระบวนทุกท่าอย่างจริงจังโดยไม่ยอมให้คลาดสายตาแม้แต่กระบวนเดียว 

 

 

วิธีการใช้มีดของเซวียอวี้แปลกประหลาดมาก ทุกมีดล้วนหมายเอาชีวิต โดยหลักแล้วการประลองเช่นนี้จะต้องหยุดเมื่อแตะถูก แต่ดูเหมือนทั้งหรงจิงและฉู่อวิ๋นเซียวจะยอมรับรูปแบบนี้ 

 

 

เซียงฉือเห็นแต่เพียงทั้งคู่โต้ตอบกันสิบกว่าครั้งท่ามกลางประกายแสงวูบวาบ นางดูเพียงครู่เดียวก็รู้สึกหวาดกลัว 

 

 

“ระวัง” 

 

 

ใบมีดใบหนึ่งส่งประกายเจิดจ้าพุ่งมาทางหรงจิงอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลินเซียวเจ๋อเพราะยืนอยู่ระหว่างคนทั้งคู่จึงเป็นคนแรกที่เกิดปฏิกิริยา เขาขว้างจอกสุราในมือออกไป เศษปลายมีดกระทบจอกแต่ไม่ร่วงหล่นกลับเบี่ยงทิศทางไปยังเซียงฉือ 

 

 

หรงจิงตกใจถลันลุกขึ้นใช้มือหนึ่งปกป้องเซียงฉือ ส่วนอีกมือปรากฎมีมีดสั้นด้ามหนึ่ง 

 

 

ติ๊ง 

 

 

เสียงใบมีดที่แตกหักร่วงหล่นลงเบื้องหน้าเซียงฉือ หรงจิงมองไปยังด้านล่างปะรำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

 

 

เซียงฉือแตะหน้าอกตกใจกับภยันตรายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่น้อย เหอเจี่ยนสุยลอบกัดฟันเมื่อเห็นดังนั้น ส่วนขุนนางราชสำนักทั้งหลายพากันถอนใจโล่งอก 

 

 

หรงจิงหันไปมองคนทั้งหลายด้วยสายตาเย็นเยียบอึมครึม 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวเห็นหรงจิงปลอดภัยแล้วก็รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะต่ำ เซวียอวี้ไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนความระห่ำในดวงตาจึงมลายไปสิ้นรีบคุกเข่าลงทันที 

 

 

“ฝ่าบาททรงปลอดภัย มิเช่นนั้นแล้วกระหม่อมตายหมื่นครั้งก็ยังไม่พ้นความผิด เป็นเพราะกระหม่อมพลั้งมือ ขอฝ่าบาททรงลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวโขกศีรษะต่อหรงจิงโดยแรง กล้ามเนื้อบนใบหน้าหรงจิงกระตุก เขาหรี่ตามองดูใบมีดแวววาวที่หล่นอยู่เบื้องหน้า สีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง 

 

 

“ถวายอารักขาฝ่าบาท” 

 

 

พอเซียวเจ๋อออกคำสั่ง ทั้งทหารรักษาพระองค์และองครักษ์อวี่หลินปรากฏตัวออกมาหมดและล้อมตำหนักไว้ทั้งหมดอย่างแน่นหนา ทุกคนในตำหนักต่างหวาดกลัว เหล่าขุนนางใหญ่ไม่กล้าส่งเสียงและพากันคุกเข่าก้มหน้าไม่กล้าสบกับสายตาเย็นเฉียบของหรงจิง 

 

 

สีหน้าหรงจิงสุดจะทนถึงขีดสุด เขามองดูเซียงฉือ เซียงฉือดึงแขนเขาไว้แน่น นางมองดูหรงจิงอย่างหวาดผวาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา 

 

 

“เป็นพระกรุณาที่ทรงช่วยชีวิตเพคะ” 

 

 

จู่ๆ เสียงเซียงฉือดังขึ้นในท้องพระโรง สายตาที่มองหรงจิงค่อยๆ สงบลงเป็นอันมาก 

 

 

หรงจิงได้ยินคำพูดนางสีหน้าก็ดีขึ้นบ้าง เขาค่อยๆ ปล่อยเซียงฉือแล้วพิจารณาดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นผงกศีรษะ เซียงฉือลุกขึ้นเงียบๆ แล้วยืนอยู่ข้างหลังหรงจิง 

 

 

“ฝ่าบาท นี่เป็นอาวุธสังหารพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงรับใบมีดแวววาวมาจากมือซูกงกง เขามองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าเบื้องหน้า เดินลงไปด้านล่างช้าๆ ทีละก้าว เซวียอวี้รู้สึกแต่ละย่างก้าวของหรงจิงราวเหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของเขา 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวก็เช่นกัน ถึงแม้เขาจะรับใช้หรงจิงมานานปี แต่การลอบปลงพระชนม์มีโทษตายถึงเก้าชั่วโคตร ถึงแม้เขาจะยังเชื่อมั่นในปรีชาชาญของหรงจิง แต่ในขณะที่ขวัญโบยบินยังไม่กลับเข้าที่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง 

 

 

แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอความเมตตา ได้แต่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างเรียบร้อย ไม่กล้าแม้จะขยับร่างกายเขม็งตึง 

 

 

ซูกงกงเดินตามหลังหรงจิงลงไปข้างล่าง เขาเก็บมีดดาบที่กระจายอยู่บนพื้น กำมีดที่หักถือไว้ในมือ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วสายตาก็เคร่งเครียดขึ้นมา 

 

 

หรงจิงไม่พูดจา บรรยากาศภายในห้องอึดอัดจนทำให้ทุกคนใจเต้นระรัว และไม่มีใครรนหาเรื่องพูดอะไรออกมาในเวลาเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 579 ลงโทษเซวียอวี้ 

 

 

หรงจิงค่อยๆ เดินไปถึงเบื้องหน้าฉู่อวิ๋นเซียว เขาหยุดเท้าลงถามขึ้นว่า 

 

 

“อวิ๋นเซียว เจ้าติดตามเรามานานเท่าไรแล้ว” 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวได้ยินแล้วแน่นในหัวอกขมวดคิ้วแน่น อยากให้หูของตนหนวกไปเสียตั้งแต่เมื่อครู่ แม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ไม่กล้าที่จะไม่ตอบคำถามหรงจิง 

 

 

“สิบห้าปีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงได้ยินแล้วถอนใจยาว ยื่นมือไปประคองเขาให้ลุกขึ้นมา 

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ เราเชื่อใจเจ้า” 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวสัมผัสถึงพลังของหรงจิง เขาหอบหายใจแรงอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะที่ถูกหรงจิงพยุงขึ้นมาและได้ยินคำพูดของเขานั้น แม้เขาจะเป็นบุรุษแกร่งที่ไม่ยอมสยบให้อำนาจชั่วร้าย ก็ยังเกือบต้องหลั่งน้ำตาออกมา 

 

 

หรงจิงตบไหล่เขา เขาก้มลงทำความเคารพพูดว่า 

 

 

“เป็นพระกรุณาที่ทรงไว้ใจพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวพูดจบก็ถอยออกไปยืนด้านข้างโดยไม่ไปรบกวนสิ่งที่หรงจิงจะทำต่อไป การที่หรงจิงปล่อยเขาเป็นเพราะขณะนั้นหรงจิงเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาสกัดมีดของเซวียอวี้ไว้โดยไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอื่นใด เป็นเพียงการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณเท่านั้น 

 

 

เพราะกระบวนมีดของเซวียอวี้รวดเร็วเกินไป ในตอนนั้นฉู่อวิ๋นเซียวจึงต้องต่อสู้อย่างระมัดระวัง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาตื่นเต้นเกินไปหรืออย่างไร ทำให้ควบคุมไว้ไม่ดีและฟันปลายมีดของเซวียอวี้หักไปทันที เขาเห็นด้านที่หักก็เคาะปลายมีดเบาๆ แล้วยิ้ม 

 

 

หรงจิงถือมีดในมือ เขานำใบมีดที่หักวางลงบนคอเซวียอวี้โดยแรงแล้วหงายขึ้นเบาๆ 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วจึงกดลงหนักๆ เลือดสดๆ รินไหลออกมาจากต้นคอเขาทันใด หยดติ๋งๆ ลงบนพื้นหยกเขียว 

 

 

หรงจิงไม่พูดอะไร เซวียอวี้ก็ไม่กล้าต่อต้าน ได้แต่ก้มหัวยิ่งต่ำลงไป 

 

 

เซียงฉือมองเห็นเหตุการณ์ทั้งมวล นางไม่รู้ว่าเหตุใดหรงจิงจึงทำเช่นนี้ แต่นางจะไม่พูดอะไร ขุนนางใหญ่เบื้องล่างกลุ่มนี้ล้วนพากันดูและฟังโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไร 

 

 

“ขุนนางสนิทคนสำคัญของเราล้วนอยู่ในที่นี้ ใครจะช่วยเราหาวิธีได้บ้างว่าควรจะลงโทษเขาอย่างไร” 

 

 

เซียงฉือฟังอย่างปลง นางนั่งลงในที่เดิม ทำใจให้มองดูคนน่าสงสารคนนั้นไม่ได้ 

 

 

ถึงจะบอกว่าฉู่อวิ๋นเซียวไม่ได้ตั้งใจ แต่เซวียอวี้ที่ถูกฟันปลายมีดหักมิยิ่งไร้ความผิดกว่าหรอกหรือ ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจเจตนาของหรงจิงแต่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่นางจะยื่นมือเข้าไปได้ นางมองดูคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเหมือนได้เห็นตนเองในอดีต 

 

 

จึงไม่อาจทนมองดูเขาได้อีกต่อไป 

 

 

เซียงฉือไม่ได้เอ่ยปากอะไร แต่พวกขุนนางข้างล่างเหล่านั้นพูดสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นความประสงค์ของหรงจิงออกมา 

 

 

“พระวรกายล้ำค่าของฝ่าบาทจะให้บาดเจ็บได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เจ้าโจรคนนี้บังอาจจะปลงพระชนม์ฝ่าบาทในท้องพระโรงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ จะต้องเป็นพวกคิดคดทรยศ ฝ่าบาทอย่าได้ทรงอภัยโทษง่ายๆ นะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มขุนนางบุ๋น เขาสวมชุดราชสำนักสีแดง อายุอยู่ในราวห้าสิบปีเศษ เขาไม่ได้แจ้งชื่อแซ่ หรงจิงมองดูเขาแล้วเลิกคิ้วพูดว่า 

 

 

“ท่านเฉินกล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง” 

 

 

เซวียอวี้ได้ยินเช่นนั้นร่างก็สั่นเทิ้ม หากหรงจิงตัดสินเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่กล้าคิดต่อไป ส่วนที่ต่างไปจากเขาคือขุนนางอื่นๆ ที่พอได้ยินหรงจิงเอ่ยชมใต้เท้าเฉินแล้วสีหน้าพากันเสียดายไปตามๆ กัน นึกแค้นใจตนเองที่ไม่ได้เอ่ยปากเป็นคนแรกจะได้ทำให้ฝ่าบาทซาบซึ้งใจ แต่ก็ไม่ยอมตกอยู่หลังคนอื่น จึงแย่งกันคุกเข่าลงพูด 

 

 

“การเปิดสอบข้าราชการของฝ่าบาทเป็นการคัดเลือกคนดีมีความสามารถเพื่อประเทศชาติ เจ้าคนชั่วร้ายแบบนี้สมควรประหารให้ทุกคนได้เห็น เพื่อไม่ให้ถือเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ”