“ฮ่า…อ๊า!”
เฉินเฉินหาวและตื่นขึ้นมาจากการงีบ เขาพึ่งจะเห็นว่ากลุ่มของผู้สืบทอดจ้องมาที่เขา เขาพูดอะไรไม่ออก
“พวกเจ้ามองมาที่ข้าทำไมกัน? วันนี้จบแล้วเหรอ?”
ผู้สืบทอดพูดไม่ออก ‘เขาพยายามที่จะเตือนเจ้า เจ้าสนใจมากกว่านี้ได้อีกไหม?’
“ศิษย์พี่เฉินเฉิน… ฉีปู่ฝานกำลังคุกคามพี่อยู่”
โยวหลานซินที่อยู่ด้านข้างพูดไม่ออก ‘ข้าเอาแต่กังวลกับศิษย์พี่เฉิน แต่เขาเอาแต่นอนเนี่ยนะ!’
“เขาจะคุกคามข้าทำไม?”
เฉินเฉินมองไปที่ฉีปู่ฝานที่กำลังเดือดดาลตรงใจกลางสังเวียน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
ฉีปู่ฝานโกรธเคืองกับการแสดงออกของเขามากจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ตอนแรกเขานั้นดูองอาจอย่างมาก เมื่อเขาได้ใช้โอกาสนี้หลังจากจัดการหลินจินไปเพื่อพูดคำเหล่านี้ออกมา แต่คำพูดของเขาดูไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร
ถ้าเขาพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง มันจะดูโง่เง่ามาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาจ้องไปที่เฉินเฉินอย่างอาฆาตแค้นและเดินออกมาจากสังเวียนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ยังไงก็ตามในส่วนลึกในใจของเขาแล้ว เขาได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เขาจะไม่เพียงแต่ทำให้แขนขาของเฉินเฉินพิการ แต่เขาจะทำให้เฉินเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย!
…
ตอนขากลับ โยวหลานซินพูดออกมาด้วยความอับอาย “พี่เฉิน ความอ่อนแอของข้าทำให้ท่านโดนคนอื่นรังเกียจ ฉีปู่ฝานได้เตือนว่าเขาจะโจมตีพี่ในวันรุ่งขึ้น ทำไมท่านไม่ไปยอมแพ้ก่อนที่จะไปสู้กับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่า ก่อนที่จะไปแย่งที่นั่งคืนกันคะ?”
“เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่หรือยังไง? หื้ม?” เฉินเฉินพูดและหัวเราะออกมา ก่อนที่จะเดินออกไป
“ฉีปู่ฝานจัดการหลินจินและทำให้เขาเจ็บหนักอีก ถ้าไม่มีสมบัติสวรรค์แล้ว ข้าเกรงว่าสำนักมังกรมรกตจะถูกไล่ออกไปจาก 36 สำนักเนี่ยสิคะ” โยวหลานซินพูดออกมาอย่างกังวลใจ เธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสลักไว้บนใบหน้า
อันดับสองได้พิการไปแล้ว นี่มันโหดเหี้ยมมากเกินไป
แน่นอนว่าหลังจากสองวันของการประลองจัดอันดับ อันดับผู้สืบทอดก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ฉีปู่ฝานได้แทนที่หลินจินเป็นอันดับสองในรายชื่อ
“เขาจัดการหลินจิน? เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?”
การแสดงออกของเฉินเฉินเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที เขานั้นงีบหลับไปเพราะว่าเขาเหนื่อยล้ากับการตรวจดูสมบัติที่เขาได้รับมาจากผู้สืบทอดคนอื่นและทำให้ตัวเองเลือดไหลเมื่อคืนนี้
“ใช่เลยค่ะ!” โยวหลานซินตะโกนออกมา เธอดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเมื่อเห็นเฉินเฉินดูจริงจังมากขึ้นแล้ว
‘ศิษย์พี่ได้ตระหนักแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริงจังมากแค่ไหน’
“โอ้?”
เฉินเฉินตอบกลับอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับฉีปู่ฝาน เขานั้นกังวลเกี่ยวกับหยวนฉิงเทียนที่สามารถเอาชนะฉีปู่ฝานได้และยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับหนึ่งของสำนักอีก
‘เขากำลังทำอะไรกันอยู่เนี่ย?’
‘ฉีปู่ฝานได้จัดการหลินจินไปและชายคนนี้สามารถเอาชนะฉีปู่ฝานได้ เขาน่าจะอยู่ระดับเดียวกันกับฉงเย่ใช่ไหม?’
‘คนที่ทรงพลังแบบเขามัวแต่นั่งอยู่เฉยแบบนั้นทำไมกัน?’
‘เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน มันจะต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้’
‘มันมีอะไรผิดปกติกัน?
เฉินเฉินไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พรุ่งนี้มันเป็นวันสุดท้ายของการประลองจัดอันดับและถ้ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว มันคงน่าจะเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
เมื่อเห็นเฉินเฉินเหม่อลอยไปอีกครั้งหนึ่ง โยวหลานซินรู้สึกท้อแท้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนจะต้องไปต่อสู้กับฉีปู่ฝาน แต่เธอกลับเป็นคนที่กังวลมากกว่าเขาเสียนี่
เพียงแค่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไป เสียงนี้ก็ดังขึ้นจากร้านพิเศษที่อยู่ห่างออกไป
“มันเกิดขึ้นแล้ว วันพรุ่งนี้ฉีปู่ฝานที่อยู่อันดับสองจะเผชิญหน้ากับเฉินเฉินที่อยู่อันดับเจ็ด คนที่พนันว่าฉีปู่ฝานชนะจะได้รับเงิน 1.2 เท่า ส่วนคนที่พนันว่าเฉินเฉินจะชนะจะได้รับเงินมากกว่า 5 เท่า!”
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว ตาของโยวหลานซินโตขึ้น เธอพึมพำออกมา “ศิษย์พี่เฉิน ถ้าข้าพนันหนึ่งหมื่นหินวิญญาณกับชัยชนะของฉีปู่ฝานแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าจะได้รับหินวิญญาณสองพันก้อนพรุ่งนี้เหรอคะ?”
“ก็แย่ละ ถ้าเจ้าทำแบบนั้นเจ้าจะเสียหนึ่งหมื่นหินวิญญาณไปเนี่ยสิ” เฉินเฉินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
ยังไงก็ตาม รอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ประดับขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
“แต่ว่าเจ้าสามารถไปพนันสักร้อยหินวิญญาณก็ได้นะ บางทีข้าอาจจะยอมแพ้ก็ได้”
“ศิษย์พี่เฉินเฉิน ในที่สุดท่านก็พูดออกมาสักที ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกับการยอมรับความพ่ายแพ้ ดูเย่หวู่เชิงและคนอื่นสิ พวกเขาต่างเลือกที่จะยอมแพ้เหมือนกัน”
เมื่อเห็นเฉินเฉินตระหนักได้แล้ว โยวหลานซินก็ลงพนันทันที
ยังไงก็ตาม เธอไม่ได้พนัน 100 หินวิญญาณ แต่แอบพนันไป 200 หินวิญญาณต่างหาก
‘มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่เลือกจะได้รับหินวิญญาณแบบนี้’
….
ยังไงก็ตาม เจ้าของร้านพนันและนักพนันต่างไม่ได้เป็นคนโง่ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุยที่เป็นคนสนิทกับเฉินเฉินเลือกพนัน 200 หินวิญญาณกับฉีปู่ฝานแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่ามันมีอะไรซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน
‘นี่จะเป็นข่าวลับ!’
ด้วยเหตุนี้นี่เอง ผู้คนมากมายจึงถาโถมพนันกับชัยชนะของฉีปู่ฝาน เพียงเวลาไม่นาน นักพนันก็ให้รางวัลของฉีปู่ฝานเป็น 1 ต่อ 1 ในขณะที่เฉินเฉินจะได้รับเป็น 1 ต่อ 10
เมื่อถึงเวลาที่เฉินเฉินกลับมาถึงโรงเตี๊ยมหยีหลานแล้ว ราคาพนันก็เป็น 1 ต่อ 15 แล้ว
“อ๊า นี่มันเป็นความดีความชอบมากมายแน่เลยที่จะทำให้คนอื่นเลิกพนันได้เนี่ย”
เมื่อเห็นการต่อรองของสำนักพนันในเมืองหลวง ใบหน้าของเฉินเฉินดูสว่างสดใสมากขึ้นทันที
เขาเดินไปเรียนจางจีมา
“จางจี เจ้ารู้จักสำนักพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไหม?”
จางตีตะโกนออกมา “พี่ใหญ่ ข้ารู้ ข้าไปพนันเงินทั้งหมดของข้ากับท่าน! จำนวนตั้ง 30 หินวิญญาณแหนะ!”
ยังไงก็ตาม มันไม่มีร่องรอยความเจ็บปวดในดวงตาของเขาเลยสักนิด กลับกันเขากลับมีความสุขแทน
เขามีความสุขมาก เพราะว่าเขาจะได้รับหินวิญญาณหลายร้อยก้อนกลับมา
เขาไม่เคยสงสัยในตัวพี่ใหญ่เฉินเฉินของเขาเลย
เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอันดับและอัตราการต่อรองเลยสักนิด เมื่อพวกมันต่างเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขากันทั้งนั้น
เฉินเฉินตื้นตันใจด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่เริ่มแรก จางจีที่ออกมาฝึกตนพร้อมกับเขานั้นเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจเขา
‘แต่หินวิญญาณ 30 ก้อนเนี่ยนะ…จางจีจนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย’
ถึงแม้ว่าจางจะถูกว่าเป็นคนรวยเมื่อเทียบกับลูกศิษย์คนอื่นแล้ว เขาก็นับว่าเป็นคนจนเลยเมื่อเทียบกับเป็นลูกน้องคนรวยอย่างเฉินเฉิน
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
“จางจีเอาหินวิญญาณนี่ไปและไปพนันพวกมันให้หมดกับข้า มาแบ่งเงินรางวัลที่ได้มากันสองคนเถอะ”
จางจีรับกระเป๋าเก็บของไปและตรวจสอบจำนวนหินวิญญาณด้านใน ตาของเขากระตุกทันที
‘หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน…’
‘ถ้าพี่ใหญ่ชนะ เงินรางวัลที่จะได้มามันคือสิบห้าเท่าของหนึ่งหมื่น…นี่มันจะทำให้นักพนันทั่วทั้งเมืองล้มละลายได้เลยนะเนี่ย!’
‘พี่ใหญ่บอกว่าเขาจะแบ่งกับข้า ถ้าเขาชนะ นั่นหมายความว่าข้าจะได้รับเจ็ดหมื่นห้าพันก้อนเลยเหรอเนี่ย!?’
จางจีหายใจเข้าลึก
จางจีหน้ามืด โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นลมและรีบส่ายหัว “พี่ชาย ข้าไม่ต้องการหินวิญญาณมากขนาดนั้นครับ ด้วยความสามารถของข้าแล้ว หินวิญญาณหนึ่งก้อนก็มากพอที่จะทำให้ข้าฝึกตนได้ทั้งวันแล้ว ถ้าข้าเก็บหินวิญญาณมากขนาดนั้นไว้ติดตัว มันจะกลายเป็นหายนะมากกว่าครับ”
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินพูดไม่ออก แต่เขาก็ยอมรับว่าจางจีพูดได้ตรงจุด
ถึงแม้ว่าจางจีจะกินสมบัติสวรรค์ไปบ้างแล้ว ระดับการฝึกตนของเขาก็ยังจำกัดอยู่และเขาก็อยู่เพียงแค่ขั้นฝึกปราณระดับสามเท่านั้นเอง
มันจะเป็นหายนะแทน ถ้ามีคนรู้ว่าเขามีหินวิญญาณติดตัวกว่าหมื่นก้อนฃ
“พี่ใหญ่ เลิกคิดถึงเรื่องนี้ไปเถอะ ข้าจะไปโรงพนันแล้วนะครับ”
เมื่อจางจีพูดออกมา เขาเก็บกระเป๋าเก็บของลงไปและเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมหยีหลาน
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของเขา เฉินเฉินยิ้มและส่ายหัว
ถึงแม้ว่าจางจีดูใสซื่อ เขาก็ชาญฉลาดในช่วงเวลาที่ถูกต้อง ตั้งแต่ที่เขาได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาไม่เคยก่อความวุ่นวายเลยสักนิด
…
เขาได้มาถึงโรงพนันอันเลืองชื่อ
มันเป็นโรงพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงซึ่งมันเป็นตึกขนาดใหญ่ยักษ์ที่ไม่ได้เล็กไปกว่าหอโสเภณีชั้นสูงที่สุดในเมืองเลยสักนิด บ้านแดงเมามาย
หลังจากที่เริ่มการประลองจัดอันดับขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้ว พวกเขาก็ได้รับหินวิญญาณกว่าหมื่นก้อน โรงพนันกำลังมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ถึงแม้ว่ามันจะดึกแล้ว โรงพนันก็ยังอัดแน่นไปด้วยผู้คนและก็มีใครบางคนที่เริ่มลงพนัน ในขณะที่บางคนกำลังเล่นทอยลูกเต๋ากันอยู่
“หัวหน้า สำหรับการประลองจัดอันดับวันพรุ่งนี้ ข้าขอพนันหนึ่งหมื่นหินวิญญาณกับเฉินเฉิน ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน”
ในเวลานี้เอง จางจีที่สวมชุดจีนก็เดินเข้ามา ชุดเขาก็ดูพริ้วไสว เขาดูไม่ได้เหมือนกับลูกน้องของคนอื่นเลยสักนิด เขากลับดูหล่อเหลามากกว่าแทน
“หนึ่งหมื่นหินวิญญาณ?”
พนักงานของโรงพนันตกตะลึง มันเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่มีคนเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวงที่สามารถลงพนันได้
การลงพนันจำนวนมากมายแบบนี้นั้นมันหมายความว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ด้านหลังมัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็ต้องการที่จะไปแจ้งหัวหน้าของเขา
แต่ว่าตอนนั้นก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาด้านใน
“ข้าขอพนันสองหมื่นหินวิญญาณกับตัวของข้าเอง”
เมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้ว ผู้คนในโรงพนันต่างตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างหันไปมองยังต้นกำเนิดของเสียงพร้อมกัน
พวกเขาเห็นฉีปู่ฝานยืนอยู่ตรงประตูของโรงเตี๊ยมและกำลังพัดตัวเองด้วยสายตาที่ดุดันและผู้สืบทอดของสิบแปดสำนักกำลังเดินตามเขามาจากด้านหลัง
“ผู้สืบทอดของสำนักหลัวโยว!”
“อันดับสองมาแล้ว!”
“อันดับห้าของสำนักซวนปิงก็ด้วย!”
หลังจากตกอยู่ในความเงียบอยู่สักพักหนึ่ง นักพนันต่างตะโกนกันออกมา
มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยพบเจอกับเรื่องนี้
นอกจากนี้แล้วฉีปู่ฝานยังลงพนันกับตัวเองสองหมื่นก้อนอีก!
ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นพนันเฉินเฉินไปหนึ่งหมื่นก้อนก่อนหน้านี้ก็พบว่ามันเป็นเรื่องแปลกแล้ว แต่ครั้งนี้มันเหมือนจะมากเกินไป
จำนวนของการพนันของเขานั้นเป็นจำนวนถึงหนึ่งหมื่นและสองหมื่นก้อนเลย มันแสดงให้เห็นว่าใครเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากกว่ากัน
เมื่อพนักงานของโรงเตี๊ยมเห็นหินวิญญาณแล้ว พวกเขารับเงินพนันของจางจีและส่งตั๋วพนันให้กับจางจี
จางจีรับตั๋วพนันไปและหันกลับเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกสักคำ
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของจางจีแล้ว มันแสดงให้เห็นถึงร่องรอยของความเย็นชาขึ้นในดวงตาของฉีปู่ฝาน
คนหลายคนต่างรวมเงินกันเพื่อพนันสองหมื่นหินวิญญาณ แต่จางจีกลับเอาออกมาคนเดียวได้ถึงหนึ่งหมื่น
‘เขาคือลูกน้องของเฉินเฉิน? เขามีความมั่นใจมากขนาดไหนกัน? เขาเลือกที่จะพนันทั้งตัวเนี่ยนะ?’
‘ไร้สาระหน่า!’
ในเวลานี้เองฉีปู่ฝานรู้สึกโดนดูถูก เขาได้จัดการหลินจินที่เป็นอันดับสองไปแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าฉงเย่ด้วยซ้ำ เขาควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับฉงเย่!
ยังไงก็ตามแม้ว่าแบบนี้ยังคงมีคนที่คิดว่าเขาน่าจะแพ้ต่อเฉินเฉินอยู่อีก!
‘โง่เขลา! โอ้อวด! น่ารังเกียจ! น่าสมเพศเสียจริง!’
‘เจ้าโง่!’
เมื่อเขาคิดแบบนี้แล้ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายทันที ความสุขของเขาที่มีต่อหลินจินจางหายไป เขาหันกลับไปและพูดอย่างเย็นชากับผู้สืบทอด “ตามเขาไป ถ้าเขาเป็นลูกน้องของเฉินเฉินแล้วทำให้เขาพิการซะ!”