“ฮ่า…อ๊า!”

 

เฉินเฉินหาวและตื่นขึ้นมาจากการงีบ เขาพึ่งจะเห็นว่ากลุ่มของผู้สืบทอดจ้องมาที่เขา เขาพูดอะไรไม่ออก

 

“พวกเจ้ามองมาที่ข้าทำไมกัน? วันนี้จบแล้วเหรอ?”

 

ผู้สืบทอดพูดไม่ออก ‘เขาพยายามที่จะเตือนเจ้า เจ้าสนใจมากกว่านี้ได้อีกไหม?’

 

“ศิษย์พี่เฉินเฉิน… ฉีปู่ฝานกำลังคุกคามพี่อยู่”

 

โยวหลานซินที่อยู่ด้านข้างพูดไม่ออก ‘ข้าเอาแต่กังวลกับศิษย์พี่เฉิน แต่เขาเอาแต่นอนเนี่ยนะ!’

 

“เขาจะคุกคามข้าทำไม?”

 

เฉินเฉินมองไปที่ฉีปู่ฝานที่กำลังเดือดดาลตรงใจกลางสังเวียน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

 

ฉีปู่ฝานโกรธเคืองกับการแสดงออกของเขามากจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ตอนแรกเขานั้นดูองอาจอย่างมาก เมื่อเขาได้ใช้โอกาสนี้หลังจากจัดการหลินจินไปเพื่อพูดคำเหล่านี้ออกมา แต่คำพูดของเขาดูไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร

 

ถ้าเขาพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง มันจะดูโง่เง่ามาก

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาจ้องไปที่เฉินเฉินอย่างอาฆาตแค้นและเดินออกมาจากสังเวียนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ยังไงก็ตามในส่วนลึกในใจของเขาแล้ว เขาได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เขาจะไม่เพียงแต่ทำให้แขนขาของเฉินเฉินพิการ แต่เขาจะทำให้เฉินเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย!

 

 

ตอนขากลับ โยวหลานซินพูดออกมาด้วยความอับอาย “พี่เฉิน ความอ่อนแอของข้าทำให้ท่านโดนคนอื่นรังเกียจ ฉีปู่ฝานได้เตือนว่าเขาจะโจมตีพี่ในวันรุ่งขึ้น ทำไมท่านไม่ไปยอมแพ้ก่อนที่จะไปสู้กับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่า ก่อนที่จะไปแย่งที่นั่งคืนกันคะ?”

 

“เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่หรือยังไง? หื้ม?” เฉินเฉินพูดและหัวเราะออกมา ก่อนที่จะเดินออกไป

 

“ฉีปู่ฝานจัดการหลินจินและทำให้เขาเจ็บหนักอีก ถ้าไม่มีสมบัติสวรรค์แล้ว ข้าเกรงว่าสำนักมังกรมรกตจะถูกไล่ออกไปจาก 36 สำนักเนี่ยสิคะ” โยวหลานซินพูดออกมาอย่างกังวลใจ เธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสลักไว้บนใบหน้า

 

อันดับสองได้พิการไปแล้ว นี่มันโหดเหี้ยมมากเกินไป

 

แน่นอนว่าหลังจากสองวันของการประลองจัดอันดับ อันดับผู้สืบทอดก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ฉีปู่ฝานได้แทนที่หลินจินเป็นอันดับสองในรายชื่อ

 

“เขาจัดการหลินจิน? เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?”

 

การแสดงออกของเฉินเฉินเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที เขานั้นงีบหลับไปเพราะว่าเขาเหนื่อยล้ากับการตรวจดูสมบัติที่เขาได้รับมาจากผู้สืบทอดคนอื่นและทำให้ตัวเองเลือดไหลเมื่อคืนนี้

 

“ใช่เลยค่ะ!” โยวหลานซินตะโกนออกมา เธอดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเมื่อเห็นเฉินเฉินดูจริงจังมากขึ้นแล้ว

 

‘ศิษย์พี่ได้ตระหนักแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริงจังมากแค่ไหน’

 

“โอ้?”

 

เฉินเฉินตอบกลับอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับฉีปู่ฝาน เขานั้นกังวลเกี่ยวกับหยวนฉิงเทียนที่สามารถเอาชนะฉีปู่ฝานได้และยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับหนึ่งของสำนักอีก

 

‘เขากำลังทำอะไรกันอยู่เนี่ย?’

 

‘ฉีปู่ฝานได้จัดการหลินจินไปและชายคนนี้สามารถเอาชนะฉีปู่ฝานได้ เขาน่าจะอยู่ระดับเดียวกันกับฉงเย่ใช่ไหม?’

 

‘คนที่ทรงพลังแบบเขามัวแต่นั่งอยู่เฉยแบบนั้นทำไมกัน?’

 

‘เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน มันจะต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้’

 

‘มันมีอะไรผิดปกติกัน?

 

เฉินเฉินไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พรุ่งนี้มันเป็นวันสุดท้ายของการประลองจัดอันดับและถ้ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว มันคงน่าจะเปิดเผยในวันพรุ่งนี้

 

เมื่อเห็นเฉินเฉินเหม่อลอยไปอีกครั้งหนึ่ง โยวหลานซินรู้สึกท้อแท้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนจะต้องไปต่อสู้กับฉีปู่ฝาน แต่เธอกลับเป็นคนที่กังวลมากกว่าเขาเสียนี่

 

เพียงแค่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไป เสียงนี้ก็ดังขึ้นจากร้านพิเศษที่อยู่ห่างออกไป

 

“มันเกิดขึ้นแล้ว วันพรุ่งนี้ฉีปู่ฝานที่อยู่อันดับสองจะเผชิญหน้ากับเฉินเฉินที่อยู่อันดับเจ็ด คนที่พนันว่าฉีปู่ฝานชนะจะได้รับเงิน 1.2 เท่า ส่วนคนที่พนันว่าเฉินเฉินจะชนะจะได้รับเงินมากกว่า 5 เท่า!”

 

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว ตาของโยวหลานซินโตขึ้น เธอพึมพำออกมา “ศิษย์พี่เฉิน ถ้าข้าพนันหนึ่งหมื่นหินวิญญาณกับชัยชนะของฉีปู่ฝานแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าจะได้รับหินวิญญาณสองพันก้อนพรุ่งนี้เหรอคะ?”

 

“ก็แย่ละ ถ้าเจ้าทำแบบนั้นเจ้าจะเสียหนึ่งหมื่นหินวิญญาณไปเนี่ยสิ” เฉินเฉินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

 

ยังไงก็ตาม รอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ประดับขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

 

“แต่ว่าเจ้าสามารถไปพนันสักร้อยหินวิญญาณก็ได้นะ บางทีข้าอาจจะยอมแพ้ก็ได้”

 

“ศิษย์พี่เฉินเฉิน ในที่สุดท่านก็พูดออกมาสักที ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกับการยอมรับความพ่ายแพ้ ดูเย่หวู่เชิงและคนอื่นสิ พวกเขาต่างเลือกที่จะยอมแพ้เหมือนกัน”

 

เมื่อเห็นเฉินเฉินตระหนักได้แล้ว โยวหลานซินก็ลงพนันทันที

 

ยังไงก็ตาม เธอไม่ได้พนัน 100 หินวิญญาณ แต่แอบพนันไป 200 หินวิญญาณต่างหาก

 

‘มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่เลือกจะได้รับหินวิญญาณแบบนี้’

 

….

 

ยังไงก็ตาม เจ้าของร้านพนันและนักพนันต่างไม่ได้เป็นคนโง่ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุยที่เป็นคนสนิทกับเฉินเฉินเลือกพนัน 200 หินวิญญาณกับฉีปู่ฝานแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่ามันมีอะไรซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน

 

‘นี่จะเป็นข่าวลับ!’

 

ด้วยเหตุนี้นี่เอง ผู้คนมากมายจึงถาโถมพนันกับชัยชนะของฉีปู่ฝาน เพียงเวลาไม่นาน นักพนันก็ให้รางวัลของฉีปู่ฝานเป็น 1 ต่อ 1 ในขณะที่เฉินเฉินจะได้รับเป็น 1 ต่อ 10

 

เมื่อถึงเวลาที่เฉินเฉินกลับมาถึงโรงเตี๊ยมหยีหลานแล้ว ราคาพนันก็เป็น 1 ต่อ 15 แล้ว

 

“อ๊า นี่มันเป็นความดีความชอบมากมายแน่เลยที่จะทำให้คนอื่นเลิกพนันได้เนี่ย”

 

เมื่อเห็นการต่อรองของสำนักพนันในเมืองหลวง ใบหน้าของเฉินเฉินดูสว่างสดใสมากขึ้นทันที

 

เขาเดินไปเรียนจางจีมา

 

“จางจี เจ้ารู้จักสำนักพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไหม?”

 

จางตีตะโกนออกมา “พี่ใหญ่ ข้ารู้ ข้าไปพนันเงินทั้งหมดของข้ากับท่าน! จำนวนตั้ง 30 หินวิญญาณแหนะ!”

 

ยังไงก็ตาม มันไม่มีร่องรอยความเจ็บปวดในดวงตาของเขาเลยสักนิด กลับกันเขากลับมีความสุขแทน

 

เขามีความสุขมาก เพราะว่าเขาจะได้รับหินวิญญาณหลายร้อยก้อนกลับมา

 

เขาไม่เคยสงสัยในตัวพี่ใหญ่เฉินเฉินของเขาเลย

 

เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอันดับและอัตราการต่อรองเลยสักนิด เมื่อพวกมันต่างเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขากันทั้งนั้น

 

เฉินเฉินตื้นตันใจด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่เริ่มแรก จางจีที่ออกมาฝึกตนพร้อมกับเขานั้นเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจเขา

 

‘แต่หินวิญญาณ 30 ก้อนเนี่ยนะ…จางจีจนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย’

 

ถึงแม้ว่าจางจะถูกว่าเป็นคนรวยเมื่อเทียบกับลูกศิษย์คนอื่นแล้ว เขาก็นับว่าเป็นคนจนเลยเมื่อเทียบกับเป็นลูกน้องคนรวยอย่างเฉินเฉิน

 

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้

 

“จางจีเอาหินวิญญาณนี่ไปและไปพนันพวกมันให้หมดกับข้า มาแบ่งเงินรางวัลที่ได้มากันสองคนเถอะ”

 

จางจีรับกระเป๋าเก็บของไปและตรวจสอบจำนวนหินวิญญาณด้านใน ตาของเขากระตุกทันที

 

‘หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน…’

 

‘ถ้าพี่ใหญ่ชนะ เงินรางวัลที่จะได้มามันคือสิบห้าเท่าของหนึ่งหมื่น…นี่มันจะทำให้นักพนันทั่วทั้งเมืองล้มละลายได้เลยนะเนี่ย!’

 

‘พี่ใหญ่บอกว่าเขาจะแบ่งกับข้า ถ้าเขาชนะ นั่นหมายความว่าข้าจะได้รับเจ็ดหมื่นห้าพันก้อนเลยเหรอเนี่ย!?’

 

จางจีหายใจเข้าลึก

 

จางจีหน้ามืด โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นลมและรีบส่ายหัว “พี่ชาย ข้าไม่ต้องการหินวิญญาณมากขนาดนั้นครับ ด้วยความสามารถของข้าแล้ว หินวิญญาณหนึ่งก้อนก็มากพอที่จะทำให้ข้าฝึกตนได้ทั้งวันแล้ว ถ้าข้าเก็บหินวิญญาณมากขนาดนั้นไว้ติดตัว มันจะกลายเป็นหายนะมากกว่าครับ”

 

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินพูดไม่ออก แต่เขาก็ยอมรับว่าจางจีพูดได้ตรงจุด

 

ถึงแม้ว่าจางจีจะกินสมบัติสวรรค์ไปบ้างแล้ว ระดับการฝึกตนของเขาก็ยังจำกัดอยู่และเขาก็อยู่เพียงแค่ขั้นฝึกปราณระดับสามเท่านั้นเอง

 

มันจะเป็นหายนะแทน ถ้ามีคนรู้ว่าเขามีหินวิญญาณติดตัวกว่าหมื่นก้อนฃ

 

“พี่ใหญ่ เลิกคิดถึงเรื่องนี้ไปเถอะ ข้าจะไปโรงพนันแล้วนะครับ”

 

เมื่อจางจีพูดออกมา เขาเก็บกระเป๋าเก็บของลงไปและเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมหยีหลาน

 

เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของเขา เฉินเฉินยิ้มและส่ายหัว

 

ถึงแม้ว่าจางจีดูใสซื่อ เขาก็ชาญฉลาดในช่วงเวลาที่ถูกต้อง ตั้งแต่ที่เขาได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาไม่เคยก่อความวุ่นวายเลยสักนิด

 

 

เขาได้มาถึงโรงพนันอันเลืองชื่อ

 

มันเป็นโรงพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงซึ่งมันเป็นตึกขนาดใหญ่ยักษ์ที่ไม่ได้เล็กไปกว่าหอโสเภณีชั้นสูงที่สุดในเมืองเลยสักนิด บ้านแดงเมามาย

 

หลังจากที่เริ่มการประลองจัดอันดับขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้ว พวกเขาก็ได้รับหินวิญญาณกว่าหมื่นก้อน โรงพนันกำลังมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ถึงแม้ว่ามันจะดึกแล้ว โรงพนันก็ยังอัดแน่นไปด้วยผู้คนและก็มีใครบางคนที่เริ่มลงพนัน ในขณะที่บางคนกำลังเล่นทอยลูกเต๋ากันอยู่

 

“หัวหน้า สำหรับการประลองจัดอันดับวันพรุ่งนี้ ข้าขอพนันหนึ่งหมื่นหินวิญญาณกับเฉินเฉิน ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน”

 

ในเวลานี้เอง จางจีที่สวมชุดจีนก็เดินเข้ามา ชุดเขาก็ดูพริ้วไสว เขาดูไม่ได้เหมือนกับลูกน้องของคนอื่นเลยสักนิด เขากลับดูหล่อเหลามากกว่าแทน

 

“หนึ่งหมื่นหินวิญญาณ?”

 

พนักงานของโรงพนันตกตะลึง มันเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่มีคนเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวงที่สามารถลงพนันได้

 

การลงพนันจำนวนมากมายแบบนี้นั้นมันหมายความว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ด้านหลังมัน

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็ต้องการที่จะไปแจ้งหัวหน้าของเขา

 

แต่ว่าตอนนั้นก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาด้านใน

 

“ข้าขอพนันสองหมื่นหินวิญญาณกับตัวของข้าเอง”

 

เมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้ว ผู้คนในโรงพนันต่างตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างหันไปมองยังต้นกำเนิดของเสียงพร้อมกัน

 

พวกเขาเห็นฉีปู่ฝานยืนอยู่ตรงประตูของโรงเตี๊ยมและกำลังพัดตัวเองด้วยสายตาที่ดุดันและผู้สืบทอดของสิบแปดสำนักกำลังเดินตามเขามาจากด้านหลัง

 

“ผู้สืบทอดของสำนักหลัวโยว!”

 

“อันดับสองมาแล้ว!”

 

“อันดับห้าของสำนักซวนปิงก็ด้วย!”

 

หลังจากตกอยู่ในความเงียบอยู่สักพักหนึ่ง นักพนันต่างตะโกนกันออกมา

 

มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยพบเจอกับเรื่องนี้

 

นอกจากนี้แล้วฉีปู่ฝานยังลงพนันกับตัวเองสองหมื่นก้อนอีก!

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นพนันเฉินเฉินไปหนึ่งหมื่นก้อนก่อนหน้านี้ก็พบว่ามันเป็นเรื่องแปลกแล้ว แต่ครั้งนี้มันเหมือนจะมากเกินไป

 

จำนวนของการพนันของเขานั้นเป็นจำนวนถึงหนึ่งหมื่นและสองหมื่นก้อนเลย มันแสดงให้เห็นว่าใครเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากกว่ากัน

 

เมื่อพนักงานของโรงเตี๊ยมเห็นหินวิญญาณแล้ว พวกเขารับเงินพนันของจางจีและส่งตั๋วพนันให้กับจางจี

 

จางจีรับตั๋วพนันไปและหันกลับเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกสักคำ

 

เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของจางจีแล้ว มันแสดงให้เห็นถึงร่องรอยของความเย็นชาขึ้นในดวงตาของฉีปู่ฝาน

 

คนหลายคนต่างรวมเงินกันเพื่อพนันสองหมื่นหินวิญญาณ แต่จางจีกลับเอาออกมาคนเดียวได้ถึงหนึ่งหมื่น

 

‘เขาคือลูกน้องของเฉินเฉิน? เขามีความมั่นใจมากขนาดไหนกัน? เขาเลือกที่จะพนันทั้งตัวเนี่ยนะ?’

 

‘ไร้สาระหน่า!’

 

ในเวลานี้เองฉีปู่ฝานรู้สึกโดนดูถูก เขาได้จัดการหลินจินที่เป็นอันดับสองไปแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าฉงเย่ด้วยซ้ำ เขาควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับฉงเย่!

 

ยังไงก็ตามแม้ว่าแบบนี้ยังคงมีคนที่คิดว่าเขาน่าจะแพ้ต่อเฉินเฉินอยู่อีก!

 

‘โง่เขลา! โอ้อวด! น่ารังเกียจ! น่าสมเพศเสียจริง!’

 

‘เจ้าโง่!’

 

เมื่อเขาคิดแบบนี้แล้ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายทันที ความสุขของเขาที่มีต่อหลินจินจางหายไป เขาหันกลับไปและพูดอย่างเย็นชากับผู้สืบทอด “ตามเขาไป ถ้าเขาเป็นลูกน้องของเฉินเฉินแล้วทำให้เขาพิการซะ!”