กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 927

เกล็ดหิมะเริ่มตกลงมาจากฟากฟ้า และเกล็ดหิมะก็โบยบินล่องไปในอากาศอย่างต่อเนื่องเหมือนนางฟ้าน้อยๆ

ทุกคนรู้สึกเพียงว่าบรรยากาศดูอบอุ่น

แต่ทว่าท่านผู้เฒ่าหนิงกลับรู้สึกกดดันอย่างมาก เกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดนั้นเหมือนกับใบมีดที่แหลมคม และสามารถฆ่าเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ

ไม่ว่าเขาจะพยายามต่อต้านอย่างสุดความสามารถมากเพียงใด ก็ไม่สามารถต่อต้านหรือหลุดพ้นจากการจู่โจมอย่างต่อเนื่องของเกล็ดหิมะไปได้

“ช่างน่าแปลก อากาศร้อนระอุเช่นนี้กลับมีหิมะตกลงมาได้อย่างไร? ผู้นำตระกูลเหวินใช้กำลังภายในเพื่อกระตุ้นขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”

“ต้องใช่แน่ๆ ไม่เช่นนั้นจู่ๆ จะมีหิมะตกลงมาได้อย่างไร”

“ทว่าหิมะเหล่านี้ดูไปแล้วก็ไม่ได้อันตรายหรือน่ากลัวแต่อย่างไรเลย เหตุใดถึงทำเช่นนี้”

“เจ้าไม่เห็นหรือว่าสีหน้าของท่านผู้เฒ่าหนิงเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ และพลังปราณของเขาก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ แล้ว?”

หนิงเทียนโย่วกำหมัดแน่น และอดไม่ได้ที่จะพุ่งตัวออกไป ทว่าเขารู้ดีว่า การต่อสู้ในระดับนี้ เขาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้เลย

กู้ชูหน่วนอยู่ห่างไปจากเขาไม่ไกลนัก และกระซิบบอกกับเขาว่า “ไม่ต้องเป็นกังวลไป เว้นเสียแต่ว่าท่านผู้เฒ่าหนิงจะดื้อรั้นเสียเอง และต้องการที่จะต่อสู้จนรู้ดำรู้แดง ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะไม่มีทางได้รับอันตรายใดๆ อย่างเด็ดขาด”

จากนั้นหนิงเทียนโย่วจึงสังเกตเห็นกู้ชูหน่วน

เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนกะพริบตาใส่เขาอย่างคลุมเครือ

หนิงเทียนโย่วรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก

เหตุใดแววตาเช่นนี้ถึงช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกินนะ?

ช่างเหมือนกับมู่หน่วนเสียเหลือเกิน?

“เจ้าคือ……”

“หมอจิน จากทางตอนใต้ของเมือง”

หนิงเทียนโย่วเข้าใจได้ในทันที ทว่าเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่หน่วนต้องช่วยเหลือปีศาจร้ายนั่นด้วย

หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับมู่หน่วน เขารู้สึกเป็นห่วงและเป็นกังวลกู้ชูหน่วนมาโดยตลอด

ตอนนี้เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอะไร เขาก็รู้สึกวางใจ

“ตู้ม……”

เกล็ดหิมะถูกทำให้ละลายลงอย่างรุนแรงโดยท่านผู้เฒ่าหนิง และบรรยากาศที่ร้อนระอุดั่งไฟแผดเผาก็ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยกแขนเสื้อขึ้นมาพัด เพื่อขจัดความร้อนออกไป

เกล็ดหิมะถูกทำให้ละลายลง

ไม่นานก็กลับกลายเป็นฝนน้ำแข็ง

น้ำทุกหยดเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง

และตกลงมาไม่หยุดหย่อน

สำหรับทุกคนแล้ว นี่เป็นเพียงการถูกฝนน้ำแข็งตกลงมาใส่เท่านั้น

ทว่าสำหรับท่านผู้เฒ่าหนิงแล้วนั้น แต่ละเม็ดฝนที่ตกลงมานั้น เต็มไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่าสังหาร

เพียงแค่สัมผัสโดนเข้าไปเพียงนิดเดียว จะต้องถูกกำจัดลงอย่างแน่นอน

ท่านผู้เฒ่าหนิงฝืนพยายามต่อต้านครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้าของเขายังคงย่ำแย่ผิดปกติ การหายใจของเขาก็หนักขึ้นมาก

หนิงเทียนโย่วรีบกล่าวขึ้นมา “ท่านปู่……”

ผู้นำตระกูลซั่งกวนกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย “ผู้นำตระกูลหนิงช่างดื้อรั้นเสียเหลือเกิน หากยังคงต่อสู้ต่อไปเช่นนี้ เช่นนั้นเขาต้องจบชีวิตของเขาลงอย่างแน่นอน”

“ท่านผู้นำ เราต้องยื่นมือเข้าช่วยหรือไม่?”

ช่วยเหลือ?

ช่วยอย่างไร?

ผู้นำทั้งสามตระกูลรวมกัน ก็ไม่สามารถต่อสู้เอาชนะเหวินฉู่ได้

พละกำลังและวรยุทธ์ของตระกูลเหวินนั้นมีความลึกลับมาโดยตลอด

พวกเขาสามารถฝึกฝนผู้นำที่มีความโดดเด่นและอายุน้อยเช่นนี้ได้ ใครจะไปรู้ได้ว่าในตระกูลของพวกเขายังมียอดฝีมือระดับหกขั้นสูงสุดอีกหรือไม่?

ต่อให้ไม่มียอดฝีมือระดับหกขั้นสูงสุดแล้ว ทว่ายอดฝีมือระดับหกเพียงหนึ่งถึงสองคนก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว

“ชิ้ว ชิ้ว ชิ้ว……”

อย่างไรเสียท่านผู้เฒ่าหนิงก็แก่มากแล้ว อีกทั้งวรยุทธ์ของเขาก็เทียบคนอื่นไม่ได้

ความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่

ฝนน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกยังคงโปรยปราย พัดผ่าน และพุ่งตรงไปยังท่านผู้เฒ่าหนิง หากไม่ใช่เป็นเพราะเหวินเส่าอี๋รั้งมือเอาไว้ได้ทัน เช่นนั้นก็เกรงว่าท่านผู้เฒ่าหนิงคงจะจบชีวิตลงไปเสียแล้ว

“ข้ายอมแล้ว” เหวินเส่าอี๋โค้งคำนับอย่างนอบน้อม

ท่านผู้เฒ่าหนิงฝืนบังคับปราณและเลือดที่ผันผวนตลอดเวลา และกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “ผู้นำตระกูลเหวินช่างเก่งกาจยอดเยี่ยมเหลือเกิน ข้าแพ้ก็คือแพ้ ไม่จำเป็นต้องพูดให้ฟังดูสูงส่งเช่นนั้นหรอก วันนี้ข้าไม่ข้าเขาก็ไม่ได้แสดงว่าวันข้างหน้าข้าจะไม่ฆ่าเขา”

ท่านผู้เฒ่าหนิงจากไปพร้อมกับการฝืนอดทนกับอาการบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเหลือบมองดูผู้นำตระกูลซั่งกวนอย่างมีเงื่อนงำ และกล่าวอย่างประชดประชัน

“คนบางคนรังแกได้แม้กระทั่งคนที่อ่อนแอกว่า แต่กลับเกรงกลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ปากตะโกนบอกว่าจะฆ่าปีศาจร้าย เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับโลกมนุษย์ ทว่าความเป็นจริงกลับเป็นคนขี้ขลาด เพียงแค่ได้สัมผัสลูกเสือก็กลัวจนหางหด ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา”

ผู้นำตระกูลซั่งกวนอ่อนแอ

ทำให้ผู้คนของตระกูลซั่งกวนต่างโกรธจัด แต่ละคนล้วนต้องการพุ่งเข้าไปหาท่านผู้เฒ่าหนิง ทว่าได้ถูกผู้นำของตระกูลซั่งกวนห้ามปรามไว้

“พวกเจ้าก็เช่นกัน แต่ละคนล้วนก็รังแกแต่ผู้ที่อ่อนแอกว่า ตระกูลมู่ที่อ่อนแอกว่าพวกเจ้าก็ยังกล้าที่จะสังหารพวกเขา ตระกูลเหวินนั้นแข็งแกร่ง ทว่าพวกเจ้าทั้งหมดต่างกลับกลายเป็นใบ้ไปกันหมด และปล่อยให้คนอื่นทำร้ายและด่าทอให้ตามอำเภอใจ”

ทุกคนต่างพากันเงียบขรึม

ท่านผู้เฒ่าหนิงสะบัดแขนเสื้อและหันหลังเดินจากไป แต่ละสำนักก็ต่างพากันรีบจากไป เพื่อหลีกเลี่ยงจากเหวินเส่าอี๋

เพียงชั่วพริบตาก็หลงเหลือเพียงผู้คนของตระกูลเหวินและกู้ชูหน่วน รวมไปถึงซือม่อเฟย

เหวินเส่าอี๋ขยับมุมปากยกขึ้น “แม่นาง เชิญเถอะ”

กู้ชูหน่วนเหลือบมองไปยังผู้คนของตระกูลเหวินที่ล้อมรอบและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ต่อให้ข้ามีปีก เกรงว่าข้าก็คงบินหนีออกไปไม่ได้”

ผู้คนของตระกูลเหวินหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าก็ลองดูสิ”

จอมมารเกี่ยวแขนของกู้ชูหน่วนเอาไว้แน่น และวางศีรษะของเขาไว้ที่ไหล่ของนาง โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

กู้ชูหน่วนลูบหลังของเขาและพูดปลอบ “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ที่นี่”

“อืม”

ภายในห้องลับของตระกูลเหวินที่เงียบสงบ

เหวินเส่าอี๋นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำสูงสุด

ผู้อาวุโสทั้งแปดแยกย้ายกันนั่งสองฝั่ง

จอมมารยังคงกอดแขนของกู้ชูหน่วนแน่น ราวกับเกรงว่าเมื่อปล่อยมือออก กู้ชูหน่วนจะหายสาบสูญไป

กู้ชูหน่วนเหยียดหลังตรงและมองไปยังเหวินเส่าอี๋ที่ดูหล่อเหลาสง่างามและโดดเด่น

เหวินเส่าอี๋ไม่พูดอะไร นางก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ห้องลับขนาดใหญ่เงียบเชียบจนน่าหวาดกลัว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จากนั้นเหวินเส่าอี๋จึงค่อยๆ พูดขึ้นมา

“ดึงเถอะ”

ผู้อาวุโสทั้งแปดรับคำสั่ง และเดินไปยังตรงกลางของหม้อเตาเผาขนาดใหญ่

กู้ชูหน่วนได้กลิ่นของสัญญาณอันตราย

“เจ้าคงไม่ได้คิดจะโยนข้าเข้าไปในหม้อเตาเผาที่เดือดระอุเช่นนั้นหรอกใช่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสสวี่กล่าว “หากจะโทษก็โทษที่เจ้ายอมรับผู้ที่ไม่สมควรได้รับการยอมรับ”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว “ท่านหมายถึงเส้นดวงวิญญาณสามเส้นที่หน้าผากของข้าอย่างนั้นหรือ?”

“แม่สาวน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้ไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว เจ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับนางอย่างนั้นหรือ? เหตุใดดวงวิญญาณของนางจึงได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของเจ้า”

“ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ข้าเป็นเพียงแพะรับบาปคนหนึ่งเท่านั้น”

กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เพราะเส้นดวงวิญญาณที่หน้าผาก นำพามาซึ่งความโชคดี

แต่ก็นำพาโชคร้ายมาให้นางด้วยเช่นกัน

“หากยังต้องการมีชีวิตอยู่ก็ได้ เพียงแต่เจ้าจำเป็นต้องอธิบายพูดเรื่องทั้งหมดออกมาให้ละเอียด”

“อะไรคือจำเป็นต้องอธิบายเรื่องทั้งหมด?”

“เช่น เส้นดวงวิญญาณที่สี่อยู่ที่ใด?”

“พวกท่านยังไม่รู้ เหตุใดถึงคิดว่าข้าจะต้องรู้ด้วย?”

“เช่นนั้นก็ต้องขอโทษด้วย”

“ตระกูลเหวินก็เหมือนกับตระกูลใหญ่อีกสองตระกูล ล้วนแล้วต่างก็เป็นคนชั่วร้าย ที่เอาแต่รังแกผู้หญิงที่อ่อนแอและไม่มีทางสู้ เดิมทีข้าไม่มีความผิด แต่เพียงเพราะข้ามีเส้นดวงวิญญาณนี้ ข้าก็กลับกลายเป็นผู้มีความผิด ข้ายอมแล้ว”

สีหน้าของผู้อาวุโสตระกูลเหวินต่างนิ่งเฉย สายตาที่มองไปยังจอมมารและกู้ชูหน่วนนั้นเหมือนกับจ้องมองคนตายยังไงยังงั้น

และไม่รู้สึกใดๆ ต่อคำพูดของนางเลยแม้แต่นิดเดียว

กู้ชูหน่วนรู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นจัดการได้ยากกว่าผู้อาวุโสของตระกูลอื่น

เหวินเส่าอี๋หัวเราะและกล่าวขึ้นมาว่า “แม่นางมู่ เจ้าช่างพูดให้ตัวเองดูอ่อนแอไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน”