ตอนที่ 749-750

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.749 – ผู้เฒ่าชิงวิญญาณ
  โอสถขายภูติระดับสามนั้นหมดจากตระกูลหยวนและร้านของพันธมิตรปรุงยาดังนั้นจึงไม่มีโอสถแม้แต่เม็ดเดียววางขายมาเกินครึ่งเดือนแล้ว!
  ตามแหล่งข่าวนั้นบอกว่าเพราะความยากและต้นทุนในการผลิตโอสถที่สูงเป็นตัวการที่ทำให้โอสถขาดตลาดการผลิตโอสถนี้ก็ไม่ทำกำไรเท่ากับโอสถอื่น และคุณภาพในการผลิตยังต่ำ ดังนั้นมันจึงขาดแคลนในตอนนี้
  และด้วยเหตุผลนี้เองทันทีที่โอสถถูกผลิตขึ้นมาวางขาย คนที่มีอำนาจสูงสุดก็จะมาสั่งล่วงหน้าก่อนใคร คนที่ได้สิทธิ์พิเศษเหล่านี้จะมอบโอสถให้กับญาติหรือลูกน้องเพื่อช่วยให้กลายเป็นภูติ เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะได้มันมาครอง
  ข่าวเรื่องความขาดแคลนของโอสถได้ทำให้เหล่ากึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงกระวนกระวายพวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก กึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงจำนวนมากจึงได้พุ่งไปยังร้านโอสถเล็กๆร้านนั้นและรายล้อมเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครอื่นได้เข้ามา
  “เจ้าของร้านเอาโอสถขยายภูติระดับสามออกมาได้แล้ว! ข้ารู้ว่าเจ้ามี เอาออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
  ชายหนุ่มเลือดร้อนบุกเข้ามาในร้านตบโต๊ะฉาดใหญ่โดยไม่สนใจเลยว่าจะเกิดสิ่งใดตามมา
  แววตาอันเฉียบคมมาพร้อมพลังกึ่งภูติแก้วสามดวงแต่เจ้าของร้านร่างอวบเพียงกอดอกและจ้องมองหนุ่มน้อย เขามิได้หวาดกลัวกึ่งภูติตรงหน้าแม้สักนิดทั้งที่ตนเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วดวงเดียว
  เขาละสายตาจากหนุ่มน้อยพลันถาม
  “เจ้าพูดกับข้าหรือ?”
  ชายหนุ่มเลือดร้อนไม่สำราญใจกับท่าทางโอหังของเจ้าของร้าน
  “เจ้าคนโง่อวดดี!กล้าดียังไงพูดกับข้าเช่นนี้? ไม่รู้รึว่าข้าตบเจ้าจนตายได้?”
  เจ้าของร้านยังคงใจเย็นแลหัวเราะ
  “พ่อหนุ่มถ้าเจ้าไม่อยากชีวิตสั้นก็จงไปต่อแถวข้างนอก จงรอเหมือนดังเช่นคนอื่นเสีย”
  ชายหนุ่มเลือดร้อนไม่พอใจและหัวเราะเยาะ
  “เจ้าของร้านเล็กจ้อยอย่างเจ้ากล้ามาสั่งข้าเรอะ?คนอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
  แต่ทันทีที่พูดจบชายหนุ่มก็รู้สึกถึงรังสีฆ่าฟันที่แผ่มาจากด้านหลัง
  “พ่อหนุ่มไปรอข้างนอก! ถ้ายังดึงดัน เช่นนั้นเจ้าก็ปรารถนาที่จะตาย ข้าช่วยเจ้าได้นะ…”
  เจ้าของร้านกล่าว
  ชายหนุ่มเลือดร้อนหันหลังไปพบชายหญิงที่นั่งอย่างใจเย็นในร้านทั้งคู่หลับตาพัก พลังของทั้งคู่ไม่ได้อ่อนด้อยเลย แค่มองดูก็รู้ว่าทั้งสองมีฐานพลังเท่าชายหนุ่ม
  “เจ้าเป็นใคร?ข้ามาจากกลุ่มสามอัคคี”
  ชายหนุ่มหาได้กลัวเกรงไม่เขาเงยเชิดหน้าขณะที่พูดกับทั้งสอง
  สตรีลืมตาตอบอย่างใจเย็น
  “แล้วอย่างไร?กลุ่มสามอัคคีรึ? มันยิ่งใหญ่เพียงนั้นเชียวหรือ? แม่หม้ายอสรพิษทั้งเจ็ดของเมืองเรายินดีจะไปเยี่ยมเยียน”
  ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อแลเบิกตากว้างความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า ริมฝีปากสั่นพูดซ้ำๆ
  “พี่น้องหม้ายอสรพิษ…”
  เขาสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัวในน้ำเสียงแม่หม้ายอสรพิษชื่อเสียงฉาวโฉ่ ประกอบด้วยเหล่าสตรีน้องพี่ทั้งเจ็ด แต่ละคนหยาบกร้านดุร้าย
  ยิ่งขึ้นกว่านั้นนอกเสียจากน้องสาวเจ็ด เหล่าพี่สาวอื่นล้วนเป็นภูติกันหมด พวกนางยึดครองเมืองแดนตะวันตกไร้ผู้ใดต่อกร
  ชายหนุ่มพันใจเต้นแรงเมื่อคิดว่าได้เจอกับหม้ายอสรพิษเขาอยากจะหนีไปให้พ้นๆเสีย
  “แล้วเจ้าเล่า?”
  ชายหนุ่มหันไปคุยกับบุรุษหน้าสตรีบุรุษนั่งบ่มเพาะมิต่างกับปราชญ์ มองดูหาใช่คนจากโลกอันโสมม
  บุรุษแลเหมือนปราชญ์มองเขาอย่างเย็นชาและตอบกลับ
  “ข้ารึ?ข้าหาใช่คนสำคัญไม่ เป็นแค่หัวหน้ากลุ่มขวานเท่านั้น”
  หา!
  หัวหน้ากลุ่มขวานรึ?ชายหนุ่มแทบจะเป็นลมล้มตึงด้วยความกลัว เพราะกลุ่มขวานมีสมาชิกมากมาย ทุกคนล้วนดุร้ายป่าเถื่อน คนเหล่านั้นหนีมาถึงเทือกเขาครามเพราะต้องโทษสังหารผู้คนอย่างไร้ปรานี
  ด้วยกำลังกล้าแกร่งแม่หม้ายอสรพิษยังต้องยำเกรง ชายหนุ่มที่เจอกับสองยอดฝีมือปรารถนาจะไม่เหยียบหยางกรายมาที่นี่ ความชิงชังตนเอ่อล้นออกมาเมื่อคิดว่าตามืดบอดไม่ดูที่ทาง
  “เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ?”
  บุรุษแลเหมือนปราชญ์ถามอย่างใจเย็น
  ชายหนุ่มกลัวจนพูดไม่ออกเขาหน้าซีดและรีบไสหัวออกจากร้าน ความอวดดีแต่เก่าก่อนหายไปสิ้น
  บุรุษแลเหมือนปราชญ์มองกึ่งภูติรอบๆไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้
  “ข้ามิได้ห้ามพวกเจ้าซื้อโอสถแต่ถ้ากล้าทำข้าระคายใจก่อนที่ข้าจะได้โอสถก็จงอย่ากล่าวโทษที่กลุ่มขวานไม่เกรงใจผู้ใด!”
  สิ่งที่มิได้พูดคือหากใครกล้าขัดขวางการซื้อโอสถของเขาจักต้องตาย!คำขู่ทำให้เหล่ากึ่งภูติทั้งหลายก้าวถอยกลับไปถึงประตูร้าน
  เหล่ากึ่งภูติบางคนยังดีใจที่คนผู้นี้อยู่เพราะเป็นการการันตีชีวิตของเจ้าของร้านทำให้โอกาสซื้อโอสถยังหลงเหลือ มิเช่นนั้นถ้าหากคนชั่วช้าเข้ามาจับตัวเจ้าของร้านหนีไป พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสได้ซื้อโอสถอีก!
  “กลุ่มสามอัคคีมันก็แค่พวกโง่เง่า…”
  คนรอบข้างตะโกนไล่หลัง
  เหล่าคนที่เหลือเลือกจะรอด้านนอกไม่ต่างกันความวุ่นวายจากข่าวโอสถขยายแผ่วงกว้างไปเรื่อยๆ ท้ายสุดข่าวก็ได้ไปถึงหูตระกูลหยวนและพันธมิตรปรุงยา
  ตระกูลหยวนเรียกสมาชิกทุกคนประชุมวางแผนต้านทานข่าวนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เหล่านักปรุงยาชั้นต้นทุกคนในตระกูลก็ถูกสั่งให้เข้าร่วมประชุมนี้
  “เชื่อเหลือเกินว่าทุกท่านคงทราบข่าวแล้วอยู่ๆมีโอสถขยายภูติระดับสามปรากฏในท้องตลาด ข้าอยากรู้ว่ามีคนตระกูลหยวนติดต่อกับคนภายนอกหรือไม่”
  เจ้าตระกูลหยวนมองนักปรุงยาชั้นต้นทั้งสิบคนที่เรียกตัวมา
  น้ำเสียงของเขาอ่อนนุ่มอบอุ่นเขามิกล้าจะว่าร้ายผู้ใด นักปรุงยาทั้งสิบส่ายหัว ทุกคนปฏิเสธจะกระทำเรื่องราวหยาบคายเช่นนี้อยู่แล้ว
  “ท่านเจ้าตระกูลเบาใจได้พวกเรามิได้ทำหยาบช้าเพียงเพื่อผลกำไรเล็กน้อย”
  นักปรุงยาคนหนึ่งประกาศนักปรุงยาที่เหลือพยักหน้าประกาศความบริสุทธิ์ของตนโดยมิต้องเอ่ยวาจา
  เจ้าตระกูลหยวนพูดต่อไป
  “ข้าเชื่อใจพวกท่านทุกคนเช่นนั้นก็ต้องเป็นฝีมือพันธมิตรปรุงยา มีแค่เราและมันเท่านั้นที่จะปรุงโอสถนี้ได้”
  แต่นักปรุงยาคนหนึ่งก็ส่ายหน้าขึ้นมาอีก
  “ท่านเจ้าตระกูลมีเหตุพิลึกพิลั่น อำนาจควบคุมนักปรุงยาของพันธมิตรเหนือกว่าตระกูลหยวนเสียหลายส่วน โอกาสที่นักปรุงยาพันธมิตรจะแอบปรุงยาขายมีน้อยนัก”
  นักปรุงยาผู้นั้นพูดต่อ
  “ฟังข่าวขณะนี้ผู้ปรุงยาปรุงโอสถขยายภูติสิบเอ็ดเม็ดในหกวัน คนผู้นั้นคงจะใช้เวลาทั้งหมดปรุงโอสถเหล่านี้ คนผู้นี้จะรอดเร้นสายตาพันธมิตรปรุงยาได้หรือ?”
  คำพูดอันมีเหตุผลสอดคล้องทำให้ผู้คนครุ่นคิดทุกสิ่งจนถ้วนถี่ต่างคนต่างสงสัย…ถ้าคนผู้นั้นมิได้มาจากตระกูลหยวนหรือพันธมิตร…แล้วเขาคือใคร…และ…มาจากที่ใด?
  “หรือเขาจะเป็นนักปรุงยาชั้นต้นคนใหม่?”
  หยวนหวังปี่เฉลียวฉลาดนางคาดเดาความเป็นไปที่ทุกคนต้องคิดตาม
  นางพูดเสริม
  “เพราะโอสถขยายภูติเป็นสูตรลับของสองสำนักเพียงแต่ทุกสิ่งในโลกมีข้องดเว้น พวกเรายังได้สูตรโอสถมาจากภายนอก เช่นนั้นคนอื่นก็ควรจะได้มาเช่นกัน”
  นักปรุงยาคนใหม่รึ?ทุกคนตกใจเมื่อคิดตามนาง
  เพราะการเพาะบ่มนักปรุงยาสักหนึ่งคนนั้นเป็นขั้นตอนที่ยาวนานและเหน็ดเหนื่อยไม่แปลกหากจะมีนักปรุงยาปรากฏสักคนในสิบปี! และเมื่อปรากฏตัวแล้ว ตระกูลหยวนกับพันธมิตรปรุงยาเป็นต้องช่วงชิง!
  “ไม่ว่าหวังปี่จะคิดถูกหรือไม่เราก็ควรจะคำนวณความเป็นไปได้”
  เจ้าตระกูลหยวนออกสั่งในเวลาเพียงไม่นาน
  “เจ้าควรสั่งภูติในตระกูลไปซ่อนตัวในระยะร้านขายโอสถนั้น!เจ้าต้องพานักปรุงยาผู้นั้นมาหาข้า!”
  คนตระกูลหยวนค่อนข้างใจชื้นเมื่อได้ฟังคำสั่งนี่คือสัญญาณการต่อสู้ช่วงชิงระหว่างตระกูลกับพันธมิตรปรุงยา หยวนหยิงหยิงที่ยืนข้างกายซือหยูตัวสั่นจากความตื่นเต้น นางหน้าแดงและยินดี
  นั่นก็เพราะนางคือนักปรุงยาคนที่ทุกคนกล่าวถึง!นางอยากจะยอมรับตัวเสียตรงนี้ แต่ซือหยูหยุดนางได้ทันเวลา
  “ยังมิใช่เวลา…”
  “มีเวลาเหมาะสมมากนักรอโอกาสครั้งหน้าค่อยเผยตัวเสียดีกว่า”
  หยวนหยิงหยิงเก็บซ่อนความตื่นเต้นเมื่อรับรู้ถึงความถูกต้องนางพยักหน้าว่าง่าย แต่ในดวงตายังคงยินดี
  เพราะไม่เคยมีผู้ใดสนใจนางเลยแต่นางเพิ่งจะกลายเป็นจุดสนใจหลังจากที่จ้าวเทวะได้ปรากฏตัวครั้งที่แล้ว!
  ในตอนนั้นเองเจ้าตระกูลหยวนได้เหลือบเห็นสีหน้าประหลาดของลูกสาวคนเล็ก
  “หยิงหยิงเจ้าเป็นอะไรหรือ?”
  คนอื่นๆสับสนกับท่าทีของนางมิต่างกันเพราะนางสะอึกสะอื้นและตื่นเต้นขึ้นมาเฉยๆ …นางเป็นอะไรของนางกัน?
  หยวนหยิงหยิงตกใจกับสายตาคนรอบข้างนางเริ่มพูดละล่ำละลักติดขัดโดยอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนมิได้ หยวนหวังปี่จึงถามขึ้นมา
  “น้องข้าหรือเจ้าเผลอคิดว่านักปรุงยาคนนั้นเป็นตัวเจ้าเองรึ?”
  แม้นางจะพูดปิดบังเจตนาแต่หยวนหยิงหยิงพบความเย้ยหยันที่เก็บซ่อนไว้อย่างชาญฉลาดได้ง่ายดาย เพราะมีหรือ เด็กสาวโง่ที่บุกเข้ามาในตระกูลหยวนเมื่อสองปีก่อนจะกลายเป็นนักปรุงยาได้? ความคิดนี้น่าขัน แต่มันก็ไม่ตลกเอาเสียเลย!
  เหล่าผู้เฒ่าตระกูลหยวนหมองหยวนหยิงหยิงและส่ายหัวพลันไม่พอใจ
  เจ้าตระกูลหยวนสิ้นหวังเขาสงสารบุตรสาวที่ถูกคนหมู่มากดูถูกอีกครา
  เขาถามด้วยเสียงอันดังก้อง
  “หยิงหยิงท่านผู้อาวุโสมาหาเจ้าอีกครั้งแล้วรึ?”
  หยิงหยิงตอบคำถามอย่างที่ซือหยูเคยบอกมาล่วงหน้านางส่ายหน้า
  “ท่านผู้นั้นยังไม่ได้มาหาข้าเลย”
  เหล่าผู้คนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบหยวนหวังปี่เริ่มสงสัยว่ากลใดเกิดขึ้นกันแน่ นางถามต่อเนื่องไปอีกครั้ง
  “น้องข้าจ้าวเทวะผู้นั้นคงจะไม่ได้พลั้งพูดไป แต่เหตุใดเขาถึงยังไม่ปรากฏตัวเล่า การทดสอบในตระกูลก็กำลังจะมาถึงมิใช่รึ?”
  หยวนหยิงหยิงทำเพียงนิ่งเงียบนางเลือกจะไม่ตอบคำถามเลย การพูดคุยของทั้งสองคนทำให้คนในตระกูลเริ่มเป็นกังวล เพราะดูเหมือนว่าการเริ่มต้นที่ทำให้ตระกูลตื่นเต้นจะเสียเปล่า
  “เอาเถอะจบการประชุมเท่านี้ จงแยกย้ายสืบหาข่าวเรื่องนักปรุงยาทันที”
  เจ้าตระกูลหยวนกโบกมือสั่งสลายตัวเขาสิ้นหวังอยู่เนืองๆ
  …
  เหตุการณ์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นภายในพันธมิตรนักปรุงยานักปรุงยาชั้นต้นทั้งยี่สิบคนถูกเรียกสืบสวนทีละคน
  “พี่เฉาคงไม่ใช่นักปรุงยาของเรา หรือจะเป็นตระกูลหยวน?”
  ชายวัยกลางคนจมูกแดงหน้าแดงถามชายชุดสีน้ำเงินที่กำลังอ่านตำราอยู่ตรงข้าม
  ชายชุดสีน้ำเงินผู้นี้คือพ่อของเฉินหยินเขาคือหนึ่งสองผู้นำของพันธมิตรปรุงยา ทั้งคู่ร่วมมือกันที่จะตรวจสอบตระกูลหยวน
  “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น”
  เขาส่ายหัวอย่างมั่นใจ
  “ตระกูลหยวนเก็บสูตรโอสถแน่นหนาแม้คนที่แอบแฝงเข้าไปก็มิอาจได้สูตรสักสูตรเดียวถึงจะผ่านมาสิบปี! คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนักปรุงยาคนอื่นได้สูตรโอสถขยายภูติไป”
  คนแอบแฝงรึ?ใครกัน? ชายจมูกแดงสงสัยใคร่รู้อย่างหนักถึงตัวตนคนผู้นั้น ใครกันล่ะจะไม่อยากรู้เรื่องคนที่แฝงตัวเข้าไปในตระกูลหยวน!
  “ถ้าเช่นนั้น…แสดงว่ามีนักปรุงยาคนใหม่เกิดขึ้นสินะ?”
  ชายจมูกแดงตาลุกวาวเมื่อถามยืนยัน
  บิดาเฉินหยินพยักหน้าแต่เมื่อกำลังจะพูดต่อก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก
  “นักปรุงยาชั้นต้นคนใหม่จริงๆด้วยไม่ใช่นักปรุงยาที่พวกเรารู้จัก!”
  เสียงแล่นมาหลังชายชุดดำก้าวมาถึงตำหนักเขามีผมสีเทา ใบหน้าเหี่ยวย่น ลูกตาสีอำพันดูน่ากลัว
  ชายจมูกแดงกับชายชุดน้ำเงินตกตะลึงทั้งสองรีบลุกขึ้นยิ้มและกล่าวพร้อมกัน
  “ผู้เฒ่าเหลียว!”
  แม้ชายทั้งสองจะเป็นผู้นำของพันธมิตรปรุงยาทั้งคู่กลับนับคือชายคนนี้อย่างมาก นั่นก็เพราะเขาคือผู้เฒ่าของตำหนักชิงวิญญาณ
  เทือกเขาครามไม่ได้ห่างไกลจากตำหนักชิงวิญญาณนักแต่ละปีจะมีการเลือกศิษย์นอกจากเทือกเขาครามผ่านงานชุมนุมเทือกเขาคราม การได้เข้าสู่ดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดนั้นเป็นความฝันของเหล่านักบ่มเพาะของเทือกเขาคราม การที่คนทั่วไปคิดว่าจะได้รับโอกาสนั้นถือเป็นเรื่องน่าขัน
  เพราะมมีแค่คนที่มากพรสวรรค์ที่สุดเท่านั้นที่จะตำหนักชิงวิญญาณจะสนใจการจะได้โอกาสอันน่าอัศจรรย์จะต้องผ่านการประลองอย่างดุเดือด และ…บังเอิญนักที่กรรมการตัดสินคือผู้เฒ่าเหลียว บุรุษที่อยู่ตรงหน้า!
  เขามีความสัมพันธ์อันดีต่อพันธมิตรปรุงยานั่นจึงเป็นเหตุที่ผู้นำพันธมิตรทั้งสองนับถือเขา
  หลังผู้เฒ่าเหลียวมาที่ตำหนักเขานั่งอยู่ในที่นั่งหลักของแขกทรงเกียรติ ขณะที่ผู้นำพันธมิตรทั้งสองนั่งข้างคนละด้าน
  “ข้าได้เห็นโอสถที่คนผู้นั้นปรุงแล้ว”
  ผู้เฒ่าเหลียวหยิบขวดหยกเปื้อนเลือดออกมาจากแขนเสื้อ
  แน่นอนว่าเขาไม่ได้มันมาด้วยวิธีการปกติเขาควรจะสังหารใครสักคนแล้วชิงมา เขายื่นขวดหยกให้กับทั้งสองคน
  “เอาไปดูสิ”
DND.750 – พระคุณใหญ่หลวง
  ผู้เฒ่าเหลียวโยนขวดหยกให้กับชายวัยกลางคนทั้งสอง
  ทั้งคู่เป็นนักปรุงยาชั้นกลางพวกเขาสามารถปรุงโอสถระดับสี่ได้ ดังนั้นทั้งสองจึงเป็นผู้ที่ได้เสวยสุขอยู่ในโลกของการปรุงยา
  ทั้งสองเริ่มตรวจสอบโสสถและเกาผงของมันมาดม
  ผู้เฒ่าจมูกแดงพูดด้วยความตกใจ
  “โอสถนี้บริสุทธิ์ยิ่งนัก!มันบริสุทธิ์กว่าโอสถขยายภูติทุกเม็ดที่ข้าเคยเห็น…ห้าส่วน!”
  ผู้เฒ่าเหลียวถาม
  “เจ้าพบแล้วรึ?เหตุที่มันบริสุทธิ์ก็เพราะวัตถุดิบ คนที่ปรุงโอสถนี่สามารถชำระล้างวัตถุดิบได้ในระดับสูง พวกเจ้าสองคนทำได้หรือไม่?”
  คนชุดสีน้ำเงินตอบ
  “ข้าทำได้แต่หกวันน่ะเป็นไปไม่ได้ ขั้นตอนชำระล้างกินเวลามากนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะทำในเวลาอันสั้น นอกจากจะเป็นนักปรุงยาที่ปรุงโอสถระดับห้า”
  ชายจมูกแดงพยักหน้าอย่างหมองหม่นเขายืนยันคำพูดของอีกคน
  “เจ้าพูดถูกคนผู้นี้อาจจะเป็นนักปรุงยาชั้นกลาง ดูเหมือนว่าจะมีผู้ยิ่งใหญ่มาถึงเทือกเขาครามแล้ว”
  ผู้เฒ่าเหลียวยิ้มจางๆ
  ชายชุดน้ำเงินตากระตุก
  “ผู้เฒ่าเหลียวเราจะทำอย่างไรดี?”
  ผู้เฒ่าเหลียวหัวเราะ
  “ถ้าหากมาปรากฏในเขตแดนตำหนักชิงวิญญาณคนผู้นั้นก็ต้องทำงานให้กับตำหนักของเรา ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นชะตาก็ถูกตัดสิน เพราะอย่างไรตำหนักชิงวิญญาณก็มิเคยปล่อยคนมีพรสวรรค์ให้มีชีวิตจนศัตรูชิงตัวไปใช้!”
  ถ้าหากหาทางซื้อใจชายผู้นี้ไม่ได้เขาก็จะฆ่าทิ้งเสีย!
  “พวกเจ้าไม่ต้องถ่วงว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปข้าจะไปหาเขาเอง”
  ผู้เฒ่าเหลียวพูดก่อนจะก้าวออกไป
  ตลอดห้าวันต่อมาซือหยูอยู่ในห้องลับและปรุงโอสถอย่างบ้าคลั่ง หลังจากพยายามอย่างหนัก เขาได้เรียนรู้วิธีหลอมวัตถุดิบลงในเม็ดโอสถแล้ว แม้จะยังด้อยกว่าหยวนหยิงหยิงที่ทำได้ง่ายๆ เขาก็ค่อนข้างพอใจที่ปรุงโอสถได้สำเร็จแล้ว! โอสถที่เขาปรุงขึ้นมาก็คือโอสถขยายภูติระดับหนึ่ง
  ตอนนี้อาจเรียกขานได้ว่าซือหยูคือนักปรุงยาเขาตื่นเต้นมากแม้จะเป็นโอสถระดับต่ำสุด แต่ถ้าเขาปรุงโอสถระดับสามได้เมื่อไหร่ เขาก็จะปลายเป็นนักปรุงยาชั้นต้น!
  สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในวิชาปรุงยาเขาจะทำให้วิชาปรุงยาขั้นสูงสุดพาเขาไปยังจุดที่เหนือกว่าเดิม!
  ตลอดวันคืนที่พ้นผ่านซือหยูได้กินโอสถคืนชีพหยางพิสุทธิ์ต่อไป สายพลังโลหิตสองในสามได้ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว เขาใช้พลังวิญญาณครึ่งส่วนได้อิสระ เขากลับมาบ่มเพาะพลังได้แล้ว! แต่ก็รู้ดีว่าต้องฟื้นฟูสายพลังให้สมบูรณ์ก่อนจะพยายามฝ่าด่านสุดท้ายเป็นภูติ
  มิใช่เพียงแต่ซือหยูที่ประสบความสำเร็จในวันที่ผ่านมา หยวนหยิงหยิงเองก็กินโอสถระดับสามไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ฐานพลังของนางได้เลื่อนขึ้นหนึ่งระดับเป็นกึ่งภูติแก้วสองดวง!
  แต่นางมิได้สนใจกับพลังนี้นักเพราะนางหลงใหลในการปรุงยาเท่านั้น ดังนั้นแล้วความสามารถในการปรุงยาเองก็เพิ่มขึ้นด้วย
  ซือหยูรู้สึกว่าต่อให้ไม่ชำระล้างวัตถุดิบให้นางนางก็จะสร้างโอสถระดับสามได้ด้วยตัวเอง เพราะนางตอนนี้คือนักปรุงยาชั้นต้นไปแล้ว ซือหยูนับถือในพรสวรรค์ของนาง
  “หยิงหยิงบ่มเพาะต่อไปตอนที่ข้าไปตลาด ข้าจะรีบกลับมา”
  ซือหยูต้องไปซื้อวัตถุดิบครั้งต่อไปเพราะใช้จนหมดแล้ว
  ในไม่ช้าซือหยูจะได้บอกลาตระกูลหยวนและไปค้นหาคนเฉินหลง แม้จะมีจ้าวเทวะอย่างราชาแห่งความมืดปกป้องอยู่ จิวโจวก็เต็มไปด้วยยอดฝีมือ มันคือสถานที่อันตราย และหลายๆคนจะได้ประโยนชน์จากโอสถของเขา
  เขาตั้งใจจะขายโอสถทั้งหมดที่ทำมาและแลกเป็นแก้วเพื่อซื้อวัตถุดิบทำโอสถขยายภูติและเตรียมการปรุงโอสถระดับสี่และเขาจะได้ใช้มันในขอบเขตที่สูงกว่า! มีอีกหลายอย่างที่เขาต้องทำ!
  ซือหยูวางแผนทั้งหมดในหัวเขาไปที่ร้านของชายร่างอวบอีกครั้ง เขาตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น
  มีกึ่งภูติแก้วสามดวงจำนวนมหาศาลในร้านจำนวนค้นล้นจนต่อแถวออกมานอกประตู! มีแม้กระทั่งภูติปะปนอยู่ด้วย รวมถึงกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวงและหนึ่งดวง
  ซือหยูยังคงสวมชุดฟางกันฝนเขาแสร้งทำเป็นเดินเข้าร้าน
  “ท่านเจ้าของร้านข้าขอสั่งซื้อโอสถจะได้หรือไม่?”
  ซือหยูเดินไปที่หน้าร้านโดยตรงเจ้าของร้านในตอนนี้ดูย่ามใจไม่เหมือนกับสภาพไม่สู้ดีในอดีต
  เขามิใช่เจ้าของร้านกระจอกๆที่ทุกคนมองข้ามอีกแล้วแต่เขากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกกลุ่มใต้ดินถึงสี่กลุ่มจากเทือกเขาครามให้การปกป้อง เขาทั้งรู้สึกดีและมั่นใจ
  แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นการมาของซือหยูเพราะโอสถของซือหยูจึงทำให้เขาได้เปลี่ยนฐานะมาเช่นนี้ หากไร้ซือหยู เจ้าของร้านก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่จะโดนข่มเหงเมื่อใดก็ได้
  “ท่านลูกค้ามาสั่งโอสถงั้นรึ?มากับข้าสิ”
  เจ้าของร้านพยายามจะทำสีหน้าคงเดิมและพาซือหยูไปยังหลังร้าน
  หม้ายอสรพิษกับหัวหน้ากลุ่มขวานมองซือหยูเพียงครั้งเดียวและไม่สนใจอีกเพราะลูกค้าที่มาที่นี่เพื่อสั่งโอสถล่วงหน้านั้นมีอยู่มากจนมิใช่เรื่องพิเศษ
  กริ๊ก!
  เสียงแหลมเล็กดังมาจากหลังร้านซือหยูโยนแหวนมิติลงบนโต๊ะ
  “มันอยู่ในนี้หมดแล้ว”
  เจ้าของร้านมือสั่น
  “ท่านผู้เฒ่าครั้งนี้ท่านเอามาเท่าใดรึ?”
  ซือหยูตอบ
  “ข้าไม่ได้นับแต่ถ้าเจ้าอยากนับก็ทำเลย”
  ซือหยูยุ่งอยู่กับการปรุงโอสถจนไม่ได้นับมันเลย
  เจ้าของร้านคาดหวังในใจเมื่อวิญญาณเข้าไปในแหวน เจ้าของร้านก็แข็งไปทั้งตัว หลากหลายอารมณ์ผันแปรบนใบหน้า
  แรกเริ่มตกตะลึงจากนั้นดีใจ พลางเจ็บปวด ตามด้วยทุกข์ทน สุด ท้ายจึงขมขื่น
  “ท่านผู้เฒ่าท่านจะให้ข้าหัวเราะหรือร้องไห้กัน? มีมากกว่าสองร้อยเม็ดเสียอีก ต่อให้ขายทั้งหมดกับข้า ท่านก็ไม่ได้เงินมากพอกับมูลค่าของมัน”
  ซือหยูหัวเราะเมื่อมองท่าทางแปลกๆของเจ้าของร้าน
  “ข้ารอให้เจ้าขายหมดได้เจ้าค่อยให้แก้วกับข้าทีหลัง”
  นี่คือข้อเสนอในอุดมคติเจ้าของร้านรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยกความหนักอึ้งออกไปได้ เขาดีใจและโค้งคำนับต่อซือหยูซ้ำแล้วซ้ำอีก
  “ข้าสำนึกในพระคุณของท่านยิ่งนัก”
  ด้วยชื่อเสียงของโอสถเจ้าของร้านรู้ว่าซือหยูจะขายมันให้กับใครก็ได้ การขายให้กับคนสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างเขานั้นถือเป็นพระคุณยิ่ง
  ซือหยูมองเจ้าของร้านอย่างไม่สู้ดีนัก
  “แต่เจ้าควรจะรู้ว่าหลังจากขายหมดเจ้าจะต้องหนีไปจากที่นี่ จะไม่มีที่อยู่ให้แก่เจ้าในเทือกเขาครามอีกแล้ว”
  ซือหยูรู้ว่าชื่อเสียงกับความมั่งคั่งจะต้องมาสู่เจ้าของร้านอย่างแน่นอนพอถึงตอนนั้น เขาจะกลายเป็นแกะอ้วนที่รอถูกคนโลภเชือด! ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยท่าทีต่อเหล่ายอดฝีมือของเจ้าของร้าน เขาได้ทำให้หลายคนไม่พอใจ ภัยพิบัติคงจะตกมาสู่เขาในไม่ช้าแน่
  “หึหึขอบคุณที่เป็นห่วงข้า ข้าเตรียมทางหนีเอาไว้แล้ว หลังขายโอสถหมด ข้าจะหนีไปที่ทะเลสาบเมฆขาวทันที ข้าจะไปซ่อนตัวบ่มเพาะพลังที่นั่นอย่างสงบ”
  เจ้าของร้านยิ้มอย่างมีเลศนัย
  ซือหยูพยักหน้า
  “ดีแล้วข้าไม่อยากจะเห็นอดีตคู่ค้ากลายเป็นศพในคืนนี้!”
  เขาพูดต่อ
  “เตรียมวัตถุดิบให้ข้าด้วย!”
  เจ้าของร้านรู้สึกเดียวดายขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุความรู้สึกทุกอย่างเอ่อล้นในใจ เขาหยิบวัตถุดิบยื่นให้ซือหยู
  “ท่านผู้เฒ่าเป็นเพราะการช่วยเหลือของท่าน ชีวิตข้าจึงได้พลิกฝ่ามือขึ้นมา ถ้าข้าทำได้ ข้าจะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
  ซือหยูหัวเราะ
  “ก็ดีแต่รีบจัดการโอสถพวกนี้ แล้วก็อย่างที่เจ้าพูด …จงหนีออกจากเมืองซะ”
  เจ้าของร้านพยักหน้าและรับโอสถไปเขากลับมาหลังจากผ่านไปเพียงสองชั่วยาม
  ซือหยูเลิกคิ้วถาม
  “ทำไมเร็วนัก?”
  เพราะโอสถสองร้อยเม็ดไม่น่าจะขายหมดได้รวดเร็วเช่นนี้
  เจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ
  “ข้าจะชักช้าตอนที่ถือของร้อนเช่นนี้ได้รึ?ข้าขายทั้งหมดในราคาสี่สิบสามแก้วกับหม้ายอสรพิษกับหัวหน้ากลุ่มขวาน ถึงกำไรจะน้อยไปสักสามสี่ร้อยแก้วก็ยังคุ้ม ข้าจะได้มีเวลาหนีไปจากที่นี่!”
  เขาพูดต่อ
  “ค่อยคุยกันทีหลังเถอะท่านควรหนีไปกับข้าด้วย หม้ายอสรพิษกับหัวหน้ากลุ่มขวานเตรียมจะลอบสังหารพวกเราแล้ว!”
  เจ้าของร้านเปิดพรมที่พื้นเผยให้เห็นอุโมงค์ใต้ดินที่อยู่ในพื้น!เขาเพิ่งจะขุดมันขึ้นมา
  “ข้าขุดอุโมงค์เมื่อสามวันก่อนข้าขุดมันไปถึงนอกเมือง พอออกจากเมืองได้พวกนั้นก็ตามหาเรายากแล้ว!”
  เจ้าของร้านคิดไว้แล้วว่าวันนี้จะมาถึงเขาจึงได้เตรียมทางหนีไว้ล่วงหน้า!
  เขาเป็นผู้นำฝ่าอุโมงค์ลงไปซือหยูขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่ามีกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงพุ่งเข้ามาในหลังร้าน แม้เขาจะไม่กลัว เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านั้น เขาจึงกระโดดลงอุโมงค์ก่อนจะปิดเส้นทาง
  ผ่านไปครึ่งวันทั้งสองได้มาถึงนอกเมืองสำเร็จ เมื่อออกจากอุโมงค์ ทั้งคู่ได้
อยู่ในพื้นที่เปล่าที่กว้างใหญ่
  “ท่านผู้เฒ่านี่ส่วนแบ่งของท่าน”
  เจ้าของร้านผู้รู้สึกขอบคุณส่งแหวนมิติที่มีแก้วจำนวนมากให้กับซือหยู
  “ท่านผู้เฒ่าเป็นเพราะท่านข้าถึงได้ชีวิตใหม่ ข้าจะไม่มีวันลืมแม้ฟันจะร่วงหมดปากจากความแก่เฒ่า”
  เจ้าของร้านปลื้มปิติเพราะเขาเป็นแค่เจ้าของร้านธรรมดาที่กำลังจะล่มจมแต่ซือหยูได้ช่วยเขาเอาไว้ ซือหยูยังให้โอกาสเขาเป็นคนที่มีความมั่งคั่ง!
  แก้วเหล่านี้มากพอที่เขาจะใช้ตลอดชีวิตและถ้าเขาอยากค้าขายอีกครั้ง เขาก็เปิดได้แม้กระทั่งร้ายใหญ่ ชั้นฟ้าก็เป็นแค่เพียงขีดจำกัดเท่านั้น!
  ซือหยูมองแก้วในแหวนมิติแต่ไม่รับส่วนแบ่งเขากลับทิ้งแก้วอีกพันดวงให้กับเจ้าของร้าน
  “ข้าไม่เคยเอาเปรียบผู้ใดจงรับเอาไว้ คิดเสียว่าเป็นค่าชดเชยที่ข้าบังคับให้เจ้าต้องออกจากเมือง แก้วส่วนนี้จะเกื้อหนุนกิจการต่อไปของเจ้า!”
  “นี่มัน…”
  เจ้าของร้านงุนงงกับความใจกว้างของซือหยู
  ซือหยูยัดแหวนมิติลงในกระเป๋าของเขาโดยไม่รอให้พูดจบ
  “ดูแลตัวเองด้วย”
  ซือหยูหันหลังจากไปเจ้าของร้านมองแผ่นหลังซือหยูด้วยแววตาว่างเปล่า ในใจอบอุ่นอย่างมิอาจอธิบาย เขามักคุ้นกับการถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา ไม่เคยสักครั้งที่จะมีคนใจดีกับเขาในชีวิตนี้
  เจ้าของร้านโค้งคำนับให้ซือหยูที่เดินจากไปพร้อมน้ำตาไหลพราก
  “ข้าหูเสี่ยวเตี้ยสาบานต่อฟ้าว่าจะต้องตอบแทนท่านให้ได้!”
  …
  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องราวเล็กในห้วงชีวิตอันยาวไกลของซือหยูเขาเพียงคิดว่าได้ช่วยเหลือเจ้าของร้านที่กำลังดิ้นรน เขาไม่เคยคิดว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการปลุกปั้นบุรุษที่ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจขึ้นมา!