เล่มที่ 17 เล่มที่ 17 ตอนที่ 503 เยี่ยโยวเหยา ระยะห่างระหว่างพวกเราเป็นอย่างไร

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ใบหน้าของซูจิ่นซีปรากฏรอยยิ้มแห้ง นางกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ทันใดนั้น เสียงของมู่หรงเฟิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ขุนนาง ทำตามความต้องการของคัมภีร์เหล็กผลึกเทพฉบับย่อย ยกย่องให้ซูอวิ๋นคายเป็นปราชญ์แห่งแคว้นของราชวงศ์เรา เลือกวันแต่งตั้งและอย่าให้มีข้อผิดพลาด”

ปราชญ์แห่งแคว้น?

ไม่เพียงพวกเขาทุกคน กระทั่งซูจิ่นซียังยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังลอย

เพียงตอบคำถามไม่กี่ข้อ เหตุใดนางจึงกลายเป็นปราชญ์แห่งแคว้นไปได้?

แม้จะไม่เห็นว่าอักษรข้างรูปเต่าบนม้วนคำถามนั้นเขียนว่าอย่างไร ทว่าฮองเฮาฉางซุนผู้นั้นคงไม่โง่เขลาถึงเพียงนี้กระมัง?

นางนำหัวข้อประเภทนี้มาตั้งคำถามเหมือนคนสมองพิการ เพื่อหลอกล่อผู้คน และใช้แต่งตั้งตำแหน่งปราชญ์แห่งแคว้นหรือ?

แม้ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจว่าตำแหน่งปราชญ์แห่งแคว้นใหญ่โตเพียงใด

ภายในใจของนางรู้สึกสับสน ทั้งไม่พอใจอย่างมาก เหล่าขุนนางท่านอื่นๆ ของแคว้นหนานหลีต่างหันมาคำนับนาง

“ขอแสดงความยินดีกับท่านปราชญ์แห่งแคว้น ยินดีกับราชครูแห่งแคว้น! ”

“ขอแสดงความยินดีกับท่านปราชญ์แห่งแคว้น ยินดีกับราชครูแห่งแคว้น! ”

“ขอแสดงความยินดีกับท่านปราชญ์แห่งแคว้น ยินดีกับราชครูแห่งแคว้น! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วหนัก นางรู้สึกมึนงง ทั้งยังรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง จึงหันไปมองมู่หรงเฟิง

“ท่านมหาอุปราช นี่… นี่เป็นเพียงเรื่องขำขันใช่หรือไม่? หม่อมฉันกลายเป็นปราชญ์แห่งแคว้นได้อย่างไร? หม่อมฉันพอเข้าใจเกี่ยวกับตำแหน่งราชครูอยู่บ้าง ทว่าตำแหน่งปราชญ์แห่งแคว้นนี้ ใหญ่โตเพียงใดหรือ? ”

มู่หรงเฟิงแย้มยิ้ม และอธิบายว่า “เจ้าเห็นข้าและเหล่าขุนนางมีท่าทีว่ากำลังล้อเล่นอยู่หรือ? ปราชญ์แห่งแคว้นจะถูกคัดเลือกและกำหนดโดยคัมภีร์เหล็กผลึกเทพของฮองเฮาฉางซุนแห่งราชวงศ์โจว ตามตำนาน ฮองเฮาฉางซุนเป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ พระนางได้รับภารกิจจากสวรรค์ให้มายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยต้าโจวสร้างประเทศที่มีอายุนับร้อยปี ตอนที่พระนางสิ้นพระชนม์ได้ทิ้งคัมภีร์เหล็กผลึกเทพไว้ ทั้งยังทิ้งคำสั่งสอนให้คนรุ่นหลังคัดเลือกปราชญ์แห่งแคว้นจากคัมภีร์เหล็กผลึกเทพ เพื่อปกป้องและสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่แว่นแคว้น ทั้งยังเป็นรากฐานไม่ให้แว่นแคว้นเสื่อมถอยนับร้อยปี”

ไร้สาระ หลังจากข้ามมิติมา คนทั่วไปต่างก็พูดเช่นนี้ คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้าง เป็นข้ออ้างให้กับตนเอง

อย่างไรก็ตาม ต่อให้ซูจิ่นซีพูดออกมาในตอนนี้ ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ!

นอกจากนั้น ฮองเฮาฉางซุนแห่งต้าโจวได้ทิ้งคัมภีร์เหล็กผลึกเทพให้ทุกคน เพื่อให้ชาวต้าโจวเลือกปราชญ์แห่งแคว้น เช่นนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับแคว้นหนานหลีในปัจจุบัน?

แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีความสัมพันธ์กัน!

มู่หรงเฟิงเห็นดวงตาสดใสของซูจิ่นซีกลอกไปมา ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่

“ซูอวิ๋นคาย เจ้าตอบคำถามทั้งสามข้อในคัมภีร์เหล็กผลึกเทพฉบับย่อยได้แล้ว ทั้งข้ายังทำตามความต้องการของม้วนคำถามข้อสุดท้าย โดยการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นปราชญ์แห่งแคว้นของราชสำนักเรา เจ้ายินดีจะเป็นปราชญ์แห่งแคว้นหรือไม่? หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับม้วนคำถามนี้อีกต่อไป! ”

ดวงตาของซูจิ่นซีพลันเปล่งประกาย ทว่านางไม่ได้ตอบคำถามของมู่หรงเฟิงในทันที

“มหาอุปราช ให้หม่อมฉันดูม้วนคำถามนั้นอีกครั้งได้หรือไม่? ”

มู่หรงเฟิงยกมือ ใต้เท้าจางจึงนำม้วนคำถามยื่นให้ซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีถือม้วนคำถามไว้ในมือ ทันใดนั้นนางก็หัวเราะตัวงออยู่พักใหญ่

ครู่หนึ่งจึงยกมือปิดบังรอยยิ้มที่ริมฝีปาก “มหาอุปราช พระองค์รีบแต่งตั้งให้หม่อมฉันเป็นปราชญ์แห่งแคว้น เพราะเกรงว่าจะเป็นลูกเต่าตระบัดสัตย์ที่เขียนไว้บนม้วนคำถามใช่หรือไม่? ”

มีผู้ใดบ้างที่กล้าพูดกับมหาอุปราชเยี่ยงนี้?

เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ล้วนไม่เคยชินกับวิธีการ ‘พูดจาโดยไม่ยั้งคิด’ ของซูจิ่นซี พวกเขาต่างขมวดคิ้วแน่น

อย่างไรก็ตาม นึกไม่ถึงว่ามู่หรงเฟิงจะไม่โกรธ ทั้งยังแย้มยิ้มเล็กน้อย และชี้ไปที่ซูจิ่นซีอย่างชอบใจ

“เจ้า! เริ่มซุกซนอีกแล้ว? ”

ซุกซน?

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจิ่นซีพลันเหือดแห้ง

ความรู้สึกถึงลางร้ายผุดขึ้นในใจอีกครั้ง นางไม่กล้าเงยหน้ามองมู่หรงเฟิง ทำได้เพียงยืนกุมมือด้วยท่าทีจริงจัง

“ในเมื่อหม่อมฉันใช้ความสามารถแข่งขันจนได้รับตำแหน่งปราชญ์แห่งแคว้น ดังนั้น หม่อมฉันขอน้อมรับตำแหน่งนี้ ขอบพระทัยมหาอุปราช ขอบพระทัยฮองเฮาฉางซุน! ”

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกว่าการเอ่ยปากกับมู่หรงเฟิงในตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก ทว่านางยังคงต้องถาม

“มหาอุปราช พระองค์ยังไม่ได้บอกขุนนางใต้บังคับบัญชาเลย! ตำแหน่งปราชญ์แห่งแคว้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด? ”

ในเมื่อเป็นตำแหน่งที่ได้มาโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นไม่ควรมีเพียงตำแหน่ง ควรทำให้เกิดประโยชน์หน้าที่ชัดเจน นางต้องถามถึงอำนาจและความรับผิดชอบเสียก่อน

“เจ้าสามารถมีสถานะเท่าเทียมข้า”

“โอ้! ”

ซูจิ่นซีส่งเสียงตอบรับพลางกลอกตาไปมา ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใด

“ยินดีกับปราชญ์แห่งแคว้น ขอแสดงความยินดีกับปราชญ์แห่งแคว้น! ”

“ปราชญ์แห่งแคว้น เจ้าพำนักอยู่ที่แคว้นหนานหลีมาระยะหนึ่งแล้ว คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่หรือยัง? อาหารเล่า? การดื่มกินเล่า? การใช้ชีวิตเล่า? หากยังไม่คุ้นชิน เจ้าบอกข้าได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจ! ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หรงเฟิง ขุนนางใจกล้าทั้งหลายก็ไม่หวาดกลัวอีกต่อไป พวกเขารินสุราให้ซูจิ่นซี และยกสุราฉลองให้ปราชญ์แห่งแคว้นคนใหม่

ซูจิ่นซีตอบรับอย่างไม่ลังเล

“ขอบพระทัยเพคะ! ”

“ชินแล้วเพคะ หม่อมฉันคุ้นชินกับอาหารและความเป็นอยู่ในจวนฉีอ๋องทุกอย่าง ดีทุกอย่าง! ”

“ปราชญ์แห่งแคว้นยังคงนึกถึงฉีอ๋องหรือ? ท่านช่างเกรงใจฉีอ๋องเสียจริง! ”

ซูจิ่นซีหัวเราะ แม้ในใจจะชัดเจนดี ทว่านางยังแสร้งทำเป็นคนโง่

เมื่อเห็นซูจิ่นซีเช่นนี้ จงเนี่ยก็รู้สึกไม่สบายใจ

เขาไม่เพียงไม่อาจก้าวไปอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ แต่กลับทำให้นางประสบความสำเร็จ ทั้งยังทำให้นางเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก จนกลายเป็นปราชญ์แห่งแคว้นหนานหลี

ขณะนั้น แววตาที่โกรธแค้นและเปี่ยมไปด้วยไอสังหารของท่านแม่ทัพใหญ่จงพลันพลุ่งพล่าน

อีกทั้งเสียงที่ทุกคนเยินยอซูจิ่นซี ยิ่งทำให้ความเดือดดาลทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่อาจอดกลั้นไว้ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้เขาจะโกรธแค้นเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์

กระดูกสันหลังส่วนล่างของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ง่ายเลยที่จะยืนหยัดจนถึงเวลานี้ หากยังรั้งอยู่ต่อไป เกรงว่ากระทั่งชีวิตก็คงไม่อาจรักษาไว้ได้

อีกทั้งอารมณ์โกรธของตน เกรงว่าเขาจะไม่ได้ตายเพราะอาการบาดเจ็บ ทว่าอาจตายเพราะความโกรธก็เป็นได้

ท่านแม่ทัพใหญ่จงไม่ปรารถนาจะอยู่นานนัก จึงอาศัยโอกาสนี้ให้องครักษ์และหมอหลวงหามกลับจวนแม่ทัพทันที

ขณะที่รับมือกับทุกคน ซูจิ่นซีไม่เคยลืมว่าเส้นทางที่รุ่งโรจน์ ถ้วยสุราที่สอดประสาน ท่ามกลางความบันเทิงยามค่ำคืนนี้ ยังมีคนผู้หนึ่ง ยังมีคนสำคัญผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังของนาง

ดังนั้นแววตาของซูจิ่นซีจึงมองไปทางนั้นโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ นางมองเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ในชุดสีดำ ร่างอันเคร่งขรึมและเย็นชาของเขากลมกลืนไปกับค่ำคืนที่มืดมิด

เยี่ยโยวเหยา ท่านยังจำซูจิ่นซีผู้นี้ได้หรือไม่?

ซูจิ่นซีปรารถนาในตำแหน่งและอำนาจหรือ? ซูจิ่นซีมีใจละโมบในยศถาบรรดาศักดิ์หรือ?

ดังนั้น การที่ซูจิ่นซีตอบรับตำแหน่งปราชญ์แห่งแคว้นหนานหลีจากมู่หรงเฟิง เพราะต้องการสังเกตการตอบสนองของท่านเท่านั้น!

ทว่า เหตุใดท่านจึงไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้แต่น้อย?

เหตุใดท่านไม่ออกมาขัดขวาง หรือพูดคำที่แสนเย็นชาสักประโยค

เหตุใดซูจิ่นซีจึงมองไม่เห็นสิ่งใดในดวงตาของท่าน?

ราวกับควันไฟที่พัดผ่านและจางหายไปตลอดกาล

เยี่ยโยวเหยา ท่านยังจำเรื่องราวในอดีตได้หรือไม่?

ซูจิ่นซีมองร่างสูงใหญ่และสง่างามบนที่ประทับ ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่า เยี่ยโยวเหยามีสถานะสูงศักดิ์ ส่วนนางในยามนี้ แม้จะมีสถานะเป็นพระชายาโยวอ๋อง ทว่ามีเพียงชื่อเท่านั้น ทั้งนางยังต้อยต่ำดั่งดินโคลน

ยามนี้ สำหรับนางแล้ว เขาอยู่ห่างไกลเหมือนเมฆบนท้องฟ้า ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองแตกต่างกันดุจเมฆกับพื้นดิน

แต่ถึงกระนั้น นางในตอนนี้กลับยึดมั่นต่อความเชื่อในหัวใจ ไม่เคยคิดยอมแพ้

เพราะความมุ่งมั่นของนาง หากระยะห่างระหว่างพวกเขามีหนึ่งร้อยก้าว ตราบใดที่เยี่ยโยวเหยาเต็มใจก้าวมาหานางเพียงหนึ่งก้าว อีกหนึ่งร้อยก้าวที่เหลือ นางยินยอมที่จะเดินไปหาเขาเอง

ทว่าตอนนี้ ระยะห่างหนึ่งร้อยก้าวของพวกเขา เหลืออีกกี่ก้าว?

สถานการณ์เช่นวันนี้ ควรนับระยะห่างระหว่างพวกเขาอย่างไร?

ผู้ใดสามารถบอกนางได้บ้าง?