ซูจิ่นซีมองตรงไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างกล้าหาญเป็นเวลานาน ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่มองมาที่ซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ใครบางคนในกลุ่มคนก็ตะโกนขึ้นมา “การประลองบุ๋นต้องแข่งขันกันสามครั้งมิใช่หรือ? นี่เพิ่งจะรอบที่สอง กลับถูกคัดออกจนเหลือปราชญ์แห่งแคว้นเพียงผู้เดียว ต่อไปรอบที่สามควรแก้ไขการแข่งขันอย่างไร? ”
“ใช่! มีเพียงคนเดียวจะแข่งขันอย่างไร? ”
“เช่นนั้น สรุปเลยว่าปราชญ์แห่งแคว้นเป็นผู้ชนะ”
“เป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้ปีศาจ”
ดอกไม้ปีศาจ?
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็กลับมาได้สติ นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวไร้ที่สิ้นสุด
เมื่อดวงดาวเริ่มปรากฏ อ้างอิงตามเวลาท้องฟ้า อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงยามจื่อแล้ว
ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงหันไปมองดอกไม้ปีศาจ ดอกไม้ปีศาจยังอยู่ ทว่าแสงสีทองของมันกลับจางหายไปมากแล้ว
ยิ่งเข้าใกล้ยามจื่อมากเท่าใด สรรพคุณทางยาของดอกไม้ปีศาจก็ยิ่งลดลง และทวีความเป็นพิษมากขึ้น
หากถึงยามจื่อแล้ว ดอกไม้ปีศาจจะกลายเป็นพิษอย่างสมบูรณ์ มันจะกลายเป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุดในใต้หล้า และนางคงไร้วิธีฟื้นฟูพลังภายในของอู๋จุน
เมื่อทุกคนพูดกันเช่นนี้ ใต้เท้าจางจึงถามความต้องการของมู่หรงเฟิง
หาได้ยากที่มู่หรงเฟิงไม่ได้แสดงท่าทีว่ากำลัง ‘ชมการแสดง’ อย่างไรก็ตาม เขายังคงไม่มีความคิดเห็นอันใด
“ทำตามกฎระเบียบเถิด! ต่อให้มีเพียงคนเดียว ก็ต้องดำเนินการจนจบสมบูรณ์”
ผายลม พวกชอบทำเรื่องไร้สาระ
ซูจิ่นซีสบถอยู่ในใจ
ทว่าอำนาจการตัดสินใจยังอยู่ในมือผู้อื่น ดอกไม้ปีศาจยังอยู่ในมือผู้อื่น ซูจิ่นซีไม่อาจตัดสินเองได้!
ดังนั้น นางต้องทำตามความต้องการของพวกเขา
“ใต้เท้าจาง การแข่งขันในรอบที่สามเป็นอย่างไร? ”
“ใช่! ”
“รอบที่สามเหลือเพียงปราชญ์แห่งแคว้นผู้เดียว จะแข่งขันอย่างไร? ”
ใต้เท้าจางยังคงยิ้มกว้าง “ตามกติกาก่อนหน้านี้ การแข่งขันรอบที่สาม ผู้เข้าแข่งขันสามารถแสดงความสามารถของตนเองได้อย่างอิสระ ในเมื่อเหลือปราชญ์แห่งแคว้นเพียงผู้เดียว ข้าจึงมีข้อเสนอ มิสู้ให้ปราชญ์แห่งแคว้นแสดงความสามารถให้พวกเราดู! แม้ไม่นับว่าเป็นการแข่งขัน ทว่าเป็นการแสดงชุดสุดท้ายสำหรับงานเทศกาลร้อยบุปผาและงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของมหาอุปราชในวันนี้ ทุกท่านว่าดีหรือไม่? ”
“ดีมาก! ”
“ดี! ”
“ดีอย่างแน่นอน! ”
“ทุกท่านอย่าพูดถึงมันเลย ปราชญ์แห่งแคว้นดูงดงามเมื่ออยู่ในชุดสตรี ด้วยรูปร่างที่งามสง่า ใบหน้าที่งดงาม ซึ่งหาได้ยากในแคว้นหนานหลีเรา หากเต้นรำแล้วต้องสวยงามอย่างมากเป็นแน่ เช่นนั้น ปราชญ์แห่งแคว้น ท่านเต้นรำให้พวกเราดูเถิด! ”
“ถูกต้อง เต้นรำสักเพลงเถิด! ขุนนางหลายท่านของพวกเราสามารถเล่นดนตรีได้ ให้พวกเราร่วมเล่นดนตรีขับขานไปพร้อมกับปราชญ์แห่งแคว้นดีหรือไม่? ”
ให้ขุนนางเล่นดนตรีประกอบการเต้นรำ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับราชวงศ์ในอดีต สิ่งนี้นับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากไม่มีสตรีใดได้รับการปฏิบัติอย่างสมเกียรติเช่นนี้
ทว่าจะให้นางเต้นรำหรือ?
ต้องการให้นางเป็นที่ขบขันของทุกคน ทำให้พวกเขาสนุกสนานหรือ?
เดิมทีซูจิ่นซีไม่เต็มใจ ไม่ว่าอย่างไร นางไม่มีทางตอบตกลงเป็นแน่
ทว่าเมื่อพูดถึงการเต้นรำ ซูจิ่นซีก็นึกถึงตอนที่อยู่เรือนชิงโยว นางเต้นรำให้เยี่ยโยวเหยาชมหลายครั้ง
ดูเหมือน… นางเคยพูดไว้ว่าชั่วชีวิตนี้ของนาง การเต้นรำมีไว้สำหรับคนผู้หนึ่งเท่านั้น
เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ ซูจิ่นซีพลันคิดวิธียั่วยุเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาได้
นางตอบตกลงทุกคนด้วยความไม่พอใจ “ตกลง! ”
บัดซบ แสแสร้ง ดูสิว่าท่านจะแสแสร้งไปถึงเมื่อใด
ซูจิ่นซีอดมองไปทางเยี่ยโยวเหยาไม่ได้
เยี่ยโยวเหยา หากท่านลืมซูจิ่นซีแล้วก็ช่างเถิด!
ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ซูจิ่นซีมีจิตใจกว้างขวาง จึงไม่ใส่ใจท่านมากนัก
หากท่านยังไม่ลืม…
“ปราชญ์แห่งแคว้น ไม่ทราบว่าท่านต้องการเต้นรำแบบใด? ”
“ต้องการซักซ้อมสักครั้งหรือไม่? ”
“ใช่ หากต้องการ ข้าจะรีบไปเตรียมตัว! ”
ขุนนางระดับสูงหลายท่านขอเครื่องดนตรีจากนักดนตรีมาเตรียมพร้อมให้ซูจิ่นซีไว้ก่อนแล้ว
ขนมธรรมเนียมของแคว้นหนานหลีเปิดกว้าง ผู้มีความสามารถนั้นมีมากมาย เหล่าขุนนางต่างมีความสามารถและการแสดงที่โดดเด่น ส่วนใหญ่มักชำนาญด้านการเข้าจังหวะและดนตรีทุกรูปแบบ ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เค้าโครงที่ไม่เป็นรูปร่างนักปรากฏขึ้นมาในความคิดของนาง
“ใต้เท้าทั้งหลาย ดนตรีที่ใช้ประกอบการเต้นรำของข้านั้น หาใช่ดนตรีของแคว้นหนานหลีเรา ใต้เท้าทุกท่านอาจไม่คุ้นเคย ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งหลายสามารถเรียนรู้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่? ”
อย่างไรก็ตาม การเอาใจปราชญ์แห่งแคว้นเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ต่อให้ยากเพียงใด พวกเราต้องพยายามใช้สติปัญญาเรียนรู้ให้ได้
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ปราชญ์แห่งแคว้น ปกติยามว่าง พวกเรามักเล่นดนตรีในจวนด้วยกัน มีความเข้าใจกันเป็นอย่างดี ขอเพียงปราชญ์แห่งแคว้นเขียนเสียงดนตรีให้พวกเรา พวกเราฝึกซ้อมไม่นานก็สามารถบรรเลงได้แล้ว”
เสียงดนตรีอันใดนั้น ซูจิ่นซีเขียนไม่เป็นจริงๆ
“เช่นนี้ดีหรือไม่? ข้าจะร้องเพลงให้ทุกท่านฟังหนึ่งครั้ง ดูว่าผู้ใดมีความสามารถทางดนตรี ก็ช่วยข้าเขียนเสียงดนตรีนั้นออกมา? ”
“ตกลง! ”
จากนั้น ซูจิ่นซีก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการเตรียมตัวกับทุกคน
ประการแรก ซูจิ่นซีร้องเพลงให้ขุนนางเขียนตัวโน้ต เพื่อแก้ไขปัญหาเสียงดนตรี
อีกด้านหนึ่ง ซูจิ่นซียังมีเวลาได้เตรียมตัวเรื่องอื่น สำหรับการเตรียมการในส่วนนี้นั้น เป็นเนื้อหาการแสดงที่ต้องเก็บเป็นความลับ
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีและทุกคนก็กลับมา แม้นางยังคงสวม ‘ชุดกว่างหาน’ สีขาวหิมะชุดนั้น ทว่ากลับมีเครื่องประดับที่แตกต่างออกไป
ซูจิ่นซีคิดว่าสีขาวนั้นดูเรียบง่ายและสง่างามเกินไป ไม่เหมาะสำหรับเป็นชุดเต้นรำ นางจึงวาดลวดลายตกแต่งด้วยสีที่ตัดกับสีขาว โดยใช้สีแดงเป็นหลัก วิธีนี้ทำให้ชุดดูสะดุดตามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เพื่อประกอบการเต้นรำ นางยังเพิ่มความยาวของแขนเสื้อทั้งสองข้าง
ในส่วนของใบหน้า นางได้มีการตกแต่งเป็นพิเศษด้วยการแต้มดอกไม้สีแดงสดบนหน้าผาก สีของคิ้ว ตา และริมฝีปากปรับให้ดูเข้มและหนาขึ้นกว่าเดิม ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเต้นรำ
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่เคยคาดคิดเลยว่าการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เช่นนี้ จะทำให้นางเป็นจุดสนใจและโดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน
ความสดใสของนางเปล่งประกายออกจากเรือนร่าง นางแตกต่างจากผู้อื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปกปิดความงดงามของนางได้ ท่ามกลางดอกไม้มากมายที่บานสะพรั่ง การเปิดฉากอันยิ่งใหญ่และทรงพลัง สร้างความอัศจรรย์ต่อผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง
กระทั่งความสง่างามล้ำค่าของดอกโบตั๋น ความงดงามเลอค่าของดอกแพร์ ความบริสุทธิ์สดใสของดอกท้อ ความเร่าร้อนชวนหลงใหลของดอกกุหลาบ หรือความเรียบง่ายของดอกไห่ถาง สีสันของดอกไม้เหล่านี้ล้วนจางหายไปเมื่ออยู่เบื้องหน้านาง
ขณะนั้น แม้แต่ดวงจันทร์สุกสกาวบนท้องฟ้ายังต้องเหนียมอาย และค่อยๆ เคลื่อนคล้อยเข้าไปหลังเมฆดำ
ซูจิ่นซีไม่รู้หรอกว่า ยามนี้นางเป็นเพียงโครงร่างที่ยังไม่ได้แกะสลัก ทว่ารูปลักษณ์ของนางกลับเปล่งประกายเจิดจรัสเพียงใด