ยู่ยี่คิดว่าหัวใจตนจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป ทว่าคาดไม่ถึงว่ายังคงเจ็บปวดอยู่ เจ็บเข้ากระดูกส่วนลึกเลยทีเดียว
เธอไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีสักวันหนึ่งจะได้ยินคำที่เอ่ยจากปากของหัสดินว่าผู้หญิงปากร้าย
ทันใดนั้นเธอสูญสิ้นเรี่ยวแรง พละกำลังในร่างกายเธอถูกสูบออกมาหมดเกลี้ยง แม้แต่ยืนก็ยังรู้สึกยืนไม่มั่นคง
เชอร์รีนกับนาโนก็ได้ยินชัดเต็มสองหู
เชอร์รีนรีบยื่นมือพยุงยู่ยี่ไว้ พลางมองหัสดินอย่างเย็นเยียบ แรงสังหารเขาเต็มเปี่ยมในดวงตา
นาโนกล่าวเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “คนหน้าไม่อายอยู่ชั้นไหน?”
ย่อมไม่มีใครตอบคำตอบเธออยู่แล้ว ทว่านาโนก็ไม่ได้ซักไซ้หาคำตอบให้จงได้ แค่ใช้รองเท้าส้นสูงยาวสิบเซนติเมตรเหยียบรองเท้าหนังของหัสดินแล้วเดินไปยังโรงพยาบาล
หลังถามที่เคาน์เตอร์จนได้ความแล้ว นาโนก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน เรนนี่ยังคงนอนบนเตียงด้วยร่างกายอ่อนแอ สภาพเปราะบางชวนให้สงสารยิ่ง
ทว่าความน่าสงสารไม่เกิดผลกับนาโน เธอก้าวเข้าไปด้านหน้าหลายก้าว ต่อด้วยดึงเส้นผมของอีกฝ่ายแล้วลากไปตรงหน้าต่าง จากนั้นก็ตบหน้าอย่างไม่เกรงใจ
พยาบาลตกตะลึงพรึงเพริด เตรียมจะเข้าไปห้ามปรามพร้อมกับคุณหมอ ทว่านาโนกลับเม้มริมฝีปากแดงก่ำยิ้มอย่างมีเสน่ห์ และทิ้งประโยคโหดว่า “ใครกล้าเข้ามา กูจะกระทืบคนนั้นด้วย”
เรนนี่รับการโดนตบลักษณะนี้ไม่ไหว ใบหน้ายิ่งซีดขาวมากขึ้น
หัสดินรู้ว่านาโนจะไปทำอะไร เท้ายาวก้าวไปด้วยความเร่งรีบ
“เดี๋ยว”ทันใดนั้นยู่ยี่ตะโกนเสียงดังลั่น
จากนั้น เธอผละออกจากมือที่เชอร์รีนช่วยพยุง ก้าวไปด้านหน้า จากนั้นก็ใช้กำลังทั้งหมดที่มีตบหน้าหัสดินต่อหน้าผู้คน จากนั้นก็ตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราด “ไสหัวไป”
ส่วนด้านหลังพวกเขามีรถเบนท์ลีย์สีดำเงางามจอดอยู่ โชเฟอร์ในนั้นกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “คุณฉันทัช ตรงนี้เป็นทางตันสิบนาทีแล้ว พวกเราจะไปด้านประตูหลังไหมครับ?”
ดวงตาลุ่มลึกของฉันทัชหยุดอยู่ที่ตัวยู่ยี่ จากนั้นก็หรี่ขึ้น ไม่มีใครรู้ความคิดของเขาตอนนี้
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยคว่า“ไปประตูหลัง……”
หัสดินไปแล้ว เชอร์รีนพยุงยู่ยี่ไปนั่งด้านข้างสวนดอกไม้ เธอรับรู้ได้ว่าร่างกายยู่ยี่สั่นเทาไม่หยุด
ต้องบอกว่าชีวิตคู่ของหัสดินกับยู่ยี่นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ซึ่งล้วนมีความผิดกันทั้งสองฝ่าย
เพราะหัสดินเป็นคนชนชั้นสูง มีชื่อเสียงในเมืองS จึงเห็นความสำคัญของหน้าตาที่สุด
ส่วนนิสัยของยู่ยี่ที่ตรงไปตรงมา ไม่เล่ห์เหลี่ยมอะไร ในสายตาเธอ ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยาธรรมดาคู่หนึ่ง เธอไม่ใช่เห็นแก่ฐานะของหัสดินแล้วแต่งงานกับเขา
ส่วนเรนนี่เป็นผู้หญิงเล่ห์กลแพรวพราว ในเมื่อเธอทำให้หัสดินเปลี่ยนไปถึงขั้นนี้ได้ แสดงว่าอุบายของเธอไม่ใช่ย่อยเลย
“ฉันเหนื่อยมาก ฉันเหนื่อยจริง ๆ เชอร์รีนฉันรับไม่ไหวแล้ว ฉันอยากหย่า ……”เสียงยู่ยี่แผ่วเบามาก เธอกัดริมฝีปากจนเลือดสดซึมออกมาในปาก
เดิมทีเธอคิดว่าหัสดินแค่ติดเสน่ห์บนเตียงของอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้ดูแล้ว หัวใจเขาก็ไปอยู่กับคนอื่นแล้วด้วย ไม่ได้อยู่ที่เธออีกต่อไป……
“แล้วลูกล่ะ?”เชอร์รีนถามเธอ
จิตใจยู่ยี่ล่องลอย สายตาเหม่อลอย ไม่จดจ่ออยู่กับที่
“หย่า?หย่าอะไรกัน?เธอหย่าตอนนี้ก็เท่ากับหนีทางให้ไอ้หน้าไม่อายสิ ให้มันทนดูน้ำลายย้อยแหละ จากนั้นก็ให้ตรอมใจตายไปเลย”
นาโนลงมาด้วยอารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“เรนนี่มันรออะไรอยู่?มันรอเธอบอกว่าหย่าอยู่ไง จากนั้นมันก็เข้ามาแทนที่ เธอจะให้มันสมหวังเหรอ?เธอต้องให้มันเหมือนหมาเฝ้ามองตัวหนึ่ง”
เชอร์รีนก็เห็นด้วย“ฉันก็เกลียดเรนนี่มาก ไม่อยากเห็นมันมีความสุข”
ยู่ยี่มองนาโน จากนั้นก็มองเชอร์รีนสลับกันไปมา ไม่ได้ตอบ นั่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับเขยื้อน
ภายในห้องผู้ป่วย หลังจากเรนนี่ถูกทำร้ายอย่างหนัก ตอนนี้คุณหมอกำลังตรวจสุขภาพทั่วร่างกายให้เธอ และหัสดินรู้สึกผิดในใจ
มนุษย์เรามักจะเห็นใจคนที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม
“นั่งอยู่ที่นี่มันดึงดูดสายตาเกินไป ไป พวกเราไปร้านกาแฟกัน”นาโนยื่นเสนอ
ยู่ยี่ส่ายหัว“พวกเธอไปเลย ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว”
เชอร์รีนพยักหน้าพร้อมกับลากตัวนาโนที่เตรียมจะพูดอะไรอีก ตอนนี้เธอเข้าใจสภาพจิตใจยู่ยี่ดี
ตอนนี้ยังอยู่ฤดูใบไม้ร่วง ไม่ถึงฤดูหนาว ทว่ายู่ยี่กลับรู้สึกหนาวสั่นยิ่ง เธอเดินออกออกโรงพยาบาลอย่างเชื่องช้า
เมื่อเดินไปไม่นาน รองเท้าผ้าก็ขาด เธอยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง ทว่ากลับดูแย่กลับตอนร้องไห้เสียอีก จึงตัดสินใจถอดรองเท้าทิ้งเสียเลย
รถเบนท์ลีย์สีดำเงางามขับตามหลังเธอช้า ๆ จากนั้นก็ลดกระจกรถลง ใบหน้าหล่อเหล่าของผู้ชายปรากฏสู่สายตา “ขึ้นรถไหม?เหมือนคุณเดินไม่ได้แล้ว……”
เสียงทุ้มต่ำที่แสนจะคุ้นเคยส่งมา ยู่ยี่เงยหน้ามอง
จากนั้นก็ก้มหน้าต่อ เธอเดินเท้าเปล่าไปด้านหน้า คล้ายกับไม่เห็นฉันทัชอย่างไรอย่างนั้น
เปิดประตูรถออก ร่างสูงโปร่งในมาดผู้ดียืนขวางทางเธอ เตือนเสียงเบา ๆ “คุณเดินต่อไม่ได้แล้ว……”
เท้าอันขาวนวลของเธอถูกเศษกระจกบนพื้นบาด เลือดสดจึงไหลริมออกมา
“หลบไป”เธอพูดด้วยความโมโห
ฉันทัชปิดตาเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นนิด ๆ นิ้วมือยาวชี้ไปที่เท้าของเธอ“ไม่เจ็บเหรอ?”
ความเจ็บปวดเหรอ ตอนนี้เธอด้านชาหมดแล้ว ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น เธอไม่รู้ว่าเจ็บหมายความว่าอะไรแล้ว
เขามองใบหน้าดื้นด้านของเธอ พลางเลิกคิ้ว กล่าวเสียงเรียบเฉย“ทำร้ายตัวเองต่อไปก็ไร้ประโยชน์ คนอื่นจะมองคุณเป็นคนบ้าเท่านั้นเอง และยิ้มเยาะเย้ยต่อสภาพที่ย่ำแย่ของคุณ เข้าใจไหม?”
ยู่ยี่ก้มหน้ามองตัวเองปราดหนึ่ง เธอสวมชุดคลุมท้องตัวใหญ่ เท้ายังเปื้อนฝุ่นเล็กน้อย แลดูเหมือนคนเสียสติจริงๆ
“ขึ้นรถเถอะ คุณต้องทำแผลที่เท้า……”ฉันทัชมีความขึงขังจริงจังโดยกำเนิด
อย่างไรเสียเธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว จึงก้มหน้าขึ้นรถ ใบหน้ายังคงซีดขาว ไม่มีเส้นเลือดฝอยเลยสักนิด
ฉันทัชนั่งไขว้ขาด้านข้างเธอ เอ่ยปากถามว่า“อยากไปไหน?”
“ดื่มเหล้า……”เธอตอบโดยไม่คิดอะไรเลย
“แม่ที่ดีไม่ควรดื่มเหล้าช่วงนี้……”สายตาเขากวาดมองท้องของเธอ พลางเตือนด้วยความหวังดี
ตอนนี้ยู่ยี่จะยอมฟังเขาเสียที่ไหน เริ่มคุยอย่างไร้เหตุผล “ฉันจะดื่ม จะให้ดื่มไหม ถ้าไม่ก็ให้ฉันลงรถ ฉันไปดื่มเอง”
ฉันทัชทอดถอนใจ พลางส่ายหัวแล้วสั่งโชเฟอร์ว่า“ไปร้านเหล้า”
เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ เธอจึงสงบลง นั่งมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถเงียบๆ จากนั้นก็ลืมทิ้งความรู้สึกที่มีทิ้ง