ตอนที่ 555 เห็นสิ่งที่ควรเห็น / ตอนที่ 556 ชนวนระเบิด

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 555 เห็นสิ่งที่ควรเห็น 

 

 

 

 

 

คำว่าเหราเอ๋อร์ที่พูดออกมาจากปากของเขา ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่งนัก ร้ายกาจจนเหลือร้ายจริงๆ 

 

 

นางที่ถูกเรียกว่าเหราเอ๋อร์นั้นขนลุกไปทั่วทั้งร่าง บุรุษผู้นี้จะต้องตั้งใจให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่ เพราะอยากให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนเสียจนอาบน้ำไม่ได้ หลังจากที่คิดเช่นนี้แล้ว อวี้อาเหราก็พยายามที่จะควบคุมความไม่พอใจของตัวเอง เพื่อบังคับให้เสียงของตัวเองฟังดูดีเสียบ้าง 

 

 

“ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่?” 

 

 

“แล้วเหตุใดข้าต้องไปด้วย?” 

 

 

ฉู่ป๋ายถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ทำราวกับมองไม่ออกจริงๆ ว่านางกำลังโกรธเคือง 

 

 

“เจ้า!” อวี้อาเหราโกรธเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้แต่เพียงใช้ความเงียบเข้าตอบโต้ 

 

 

หลังจากที่คิดมานานแล้ว นางเห็นว่าทำอย่างไรฉู่ป๋ายก็ไม่ยอมไปไหนเสียที นางก็คร้านที่จะใส่ใจ จึงออกคำสั่งกับเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ว่า “ข้าจะขึ้นมาสวมเสื้อผ้า เจ้ารีบไปเอาผ้ามากางปิดไว้เถิดไป” 

 

 

มุมปากของฉู่ป๋ายโค้งขึ้น “อะไรที่ข้าควรจะเห็นข้าก็เห็นจนหมดแล้ว อะไรที่ควรทำข้าก็ทำมาจนหมดแล้ว จะปิดบังไปทำไม…” 

 

 

“เจ้ายังจะพูดอะไรส่งเดชอีกหรือ!” ครั้งนี้อวี้อาเหราถูกคำพูดของเขายั่วยุจนโมโห ในใจคิดว่าทำไมถึงมีผู้ชายเช่นนี้อยู่บนโลกนี้ได้ ต่อหน้าคนอื่นกลับทำตัวใสซื่อสุขุม ทว่าความจริงกลับแฝงไว้ซึ่งความร้ายกาจยิ่งนัก 

 

 

ทว่าแม้อวี้อาเหราจะโกรธเคืองเป็นที่สุด แต่ในสายตาของเมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์กลับมองว่ามันเป็นการเกี้ยวพาราสี 

 

 

ในชั่ววินาทีถัดมา 

 

 

เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ก็เอาผ้ามากางกั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกนางตั้งใจหรือไม่ แต่ผ้านั้นก็บางเหลือเกิน นางที่ไม่พอใจกำลังจะบอกให้เอามาเปลี่ยน แต่พวกนางเอาผ้ามากางแล้วก็รีบไปในทันที นางทำได้แต่เพียงเม้มริมฝีปาก จำต้องใช้เสียแล้ว ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย 

 

 

ยามที่อวี้อาเหรากำลังเปลี่ยนอาภรณ์อยู่นั้น ในสมองก็คิดถึงชายหนุ่มที่อยู่ด้านนอกขึ้นมา ก็ยิ่งไม่สบายใจขึ้นไปอีก อดไม่ได้ที่จะมอง ในเมื่อมีผ้าบางกั้นอยู่ เงาร่างของฉู่ป๋ายก็รางเลือนเต็มที และมองไม่ชัดว่าเขานั้นกำลังมองมาทางนี้หรือไม่ 

 

 

เพียงไม่นานนางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อย นี่คงเป็นการสวมเสื้อผ้าที่รวดเร็วที่สุดของนาง โดยใช้เวลาทั้งหมดเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น และเสื้อผ้าในยุคโบราณนี้ยังสวมยากเสียเหลือเกิน ไม่ง่ายเหมือนเสื้อผ้าที่สวมในยุคปัจจุบัน นางเองก็เรียนรู้การสวมเสื้อเสื้อผ้าอย่างไม่ง่ายดายนัก ความเร็วนี้คือว่าเร็วจนไม่รู้จะเร็วอย่างไรแล้ว 

 

 

หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย นางจึงก้าวออกมาจากฉากกั้น 

 

 

ทันทีที่ออกมาก็มองเห็นใบหน้าสง่างามของฉู่ป๋ายก่อนเป็นอันดับแรก เขาไม่ได้มองมาทางนี้ แต่กำลังพิจารณาลายดอกไม้ที่ชายเสื้ออย่างตั้งใจ มือของเขาลูบเบาๆ ที่ฝาครอบถ้วยชา ราวกับถ้วยชาธรรมดาในมือนั้นเหมือนดอกไม้งดงามที่เพิ่งผลิบาน 

 

 

ช่างสมกับเป็นสุภาพบุรุษผู้สง่างาม 

 

 

อวี้อาเหราวางใจไปมากโข ถอนสายตาพินิจของตัวเอง แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า 

 

 

ฉู่ป๋ายสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าของนาง เช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมองนาง 

 

 

สายตาสบประสานกันอย่างยาวนาน จนอวี้อาเหรารู้สึกขนลุกชัน ลูบใบหน้าของตัวเองก่อนเลิกคิ้ว แล้วถามว่า “เจ้ามองหน้าข้าทำไมกัน หน้าของข้ามีอะไรติดอยู่อย่างนั้นหรือ?” 

 

 

“ดูเหมือนว่าจะมี” ฉู่ป๋ายตอบอย่างเรียบเฉย 

 

 

“ตรงไหน” อวี้อาเหราลูบใบหน้าของตัวเองส่งเดช แต่หากบอกว่ามีจริงๆ นางจะลูบออกหมดได้อย่างไรกัน เมื่อเห็นใบหน้าที่แสนจริงจังของฉู่ป๋าย ก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้กำลังแกล้งหลอกนางอยู่ ในใจของนางก็เชื่อเขาไปหลายส่วน มองไปรอบด้าน เพื่อหากระจกส่อง หลังจากที่พบแล้ว นางก็ไปมองใบหน้าของตัวเองบนกระจก 

 

 

นอกจากผิวที่ขาวราวหิมะ ใบหน้าที่แดงก่ำเล็กน้อย ก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่ดูสกปรก  

 

 

ชั่ววินาทีต่อมาก็พลันรู้ว่าตัวเองถูกหลอกเสียแล้ว จึงหันกลับไปอย่างโกรธๆ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีสิ่งติดอยู่ นี่ก็ไม่เห็นมีเลย?” 

 

 

ฉู่ป๋ายเม้มปาก “ข้าบอกว่าดูเหมือน” 

 

 

อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรดี ยิ่งแสดงสีหน้าแย่ๆ ใส่เขาเข้าไปอีก เพียงแค่ที่เขามาหานางยามดึกดื่นถึงเพียงนี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว เขาก็เป็นพวกกินอิ่มแล้วฟุ้งซ่านจนต้องหาเรื่องมากลั่นแกล้งคนอื่นหรืออย่างไรกัน? เขาร่ำรวยเหลือคณา อยากจะได้สตรีนางใดก็ได้ แต่กลับมาหาเรื่องนางถึงที่นี่ คิดว่านางพร้อมที่จะสนทนากับเขาหรืออย่างไร? 

 

 

ไม่ผิด ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! 

 

 

เมื่อคิดและยอมรับอยู่ในใจเพียงคนเดียว แล้วจึงมองไปทางฉู่ป๋าย จ้องหน้าเขาอย่างเกลียดชัง 

 

 

ราวกับสายตาของนางนั้นตราตรึงเขาเอาไว้กับที่ ไม่ได้มองไปยังที่ใดเลย 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 556 ชนวนระเบิด 

 

 

 

 

 

ฉู่ป๋ายถอนสายตากลับมาจากร่างของนาง แล้วเผยยิ้มบางเบา “ข้าเห็นว่าเจ้าเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา เห็นผิวขาวราวหิมะของเจ้ากลับเหมือนเจือด้วยเครื่องสำอาง ใบหน้างดงามเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นจึงมองนาน” 

 

 

“เจ้าน่ะสิใบหน้าเหมือนฤดูใบไม้ผลิ” อวี้อาเหราทำปากคว่ำ เหตุใดจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปบรรยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้ หลังจากที่นางโต้กลับ ใบหน้าของนางก็แดงก่ำขึ้นมา ไม่เพียงแต่แดงเท่านั้น อีกทั้งยังคงร้อนจนลวกเสียด้วย ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะสายตาไม่เกรงอกเกรงใจคำพูดชวนคิดของฉู่ป๋ายทั้งหมด 

 

 

อย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน จะพูดอะไรก็ควรจะต้องอ้อมค้อมบ้างมิใช่หรือ? 

 

 

ใบหน้าของนางแดงก่ำ หัวใจก็พลันเต้นแรง 

 

 

นางด่าทอเขาออกมาเช่นนี้ แต่ฉู่ป๋ายกลับไม่โกรธเคือง เขาทำเพียงแค่ยิ้มแล้วมองนางทั่วทั้งร่าง สุดท้ายสายตาของเขาก็มาหยุดลงที่ริมฝีปาก สายตามืดทะมึนลง กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ผ้าเช็ดหน้าที่ให้เจ้าในวันนี้ เจ้าได้ใช้หรือไม่” 

 

 

ผ้าเช็ดหน้า เมื่อกล่าวถึงผ้าเช็ดหน้าแล้ว ความโกรธของอวี้อาเหราก็เหมือนจะปะทุขึ้นมา หากไม่พูดถึงก็ดีแล้ว แต่เมื่อพูดขึ้นมานางก็กลับคิดถึงการกระทำของเขาในวันนี้ ยังมีหน้ามาพูดเรื่องผ้าเช็ดหน้าได้อย่างไรกัน? หากไม่ใช่เพราะเมี่ยวอวี้เข้ามาช่วยเหลือนางได้อย่างทันท่วงที ตอนนี้นางก็คงโดนหลิงอ๋องดุว่าไปแล้ว หากจะพูดไป นางคงโดนส่งไปแต่งงานที่จวนเซิ่นอ๋องเป็นแน่! 

 

 

หลิงอ๋องเป็นบิดาที่ค่อนข้างหัวโบราณ ในความรู้สึกของเขานั้น หากรู้ว่านางถูกจูบไม่ว่าจะที่ผิวเนื้อส่วนใดก็ตาม แน่นอนว่าจะต้องส่งนางไปแต่งงานเป็นแน่ เพียงแค่คิด นางก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน อดไม่ได้ที่จะกวาดตามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าที่ยังคงมีท่าทีสบายอกสบายใจ เผยให้เห็นความงดงามสง่าออกมา เสื้อผ้าสีขาวปักลายสีเงินนั้น ยิ่งดูสงบและเยือกเย็น  

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว ใบหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มบาง 

 

 

อวี้อาเหรานึกอยากจะยกหมัดขึ้นต่อยหน้าเขาสักครั้ง ดูสิว่าจะรู้สึกรู้สาบ้างหรือไม่ หลังจากพิจารณามาอย่างยาวนาน ก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร นางจึงเก็บงำความโกรธเคืองบนใบหน้า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเรียบเฉย 

 

 

“ผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าให้ข้าในวันนี้นั้นไม่สำคัญหรอก แต่ผ้าเช็ดหน้าที่เจ้านำมาให้ข้าดูในวันนั้นต่างหากที่สำคัญ คงจะเป็นผ้าเช็ดหน้าของคนผู้นั้นเป็นแน่ แต่นางกลับไม่มีพลังยุทธ์ เจ้าว่านางจะร่วมมือกับคุณหนูเซิ่นหรือไม่” 

 

 

คนที่นางพูดถึง แน่นอนว่าคือจวินเสวียนจี 

 

 

ในเมื่อเขายั่วให้นางไม่พอใจ เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถึงอวิ๋นเซิ่นเพื่อให้เขาไม่พอใจบ้าง ดูสิว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร 

 

 

ท่าทีของฉู่ป๋ายกลับดูนิ่งสงบ แต่สายตากลับสว่างวาบ “ครั้งก่อนก็บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ? อย่างไรนางก็ไม่ใช่คนร้ายแน่” 

 

 

“แล้วเจ้ามีหลักฐานหรืออย่างไร” อวี้อาเหราถามกลับอย่างเย็นชา 

 

 

เพียงพูดถึงอวิ๋นเซิ่นสองคำเท่านั้น ในที่สุดท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ราวกับไม่ใช่เพียงความสนิทชิดเชื้อ แต่เหมือนเป็นความเชื่อมั่นจากส่วนลึก เหมือนกับเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่ง เป็นเพราะเหตุผลใดกันแน่เล่า เขาจึงได้มั่นใจในตัวนางได้ถึงเพียงนี้? 

 

 

ยิ่งคิด อวี้อาเหราก็ยิ่งขมวดคิ้ว 

 

 

นางไม่กล้าคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและอวิ๋นเซิ่น ความรู้สึกนี้ราวกับนางกำลังถูกพิษร้ายอย่างไรอย่างนั้น ในส่วนลึกของจิตใจก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปสัมผัสแนบชิด แต่สัญชาตญาณได้บอกนางว่าไม่ควรแตะต้องความรู้สึกเช่นนี้เลย และนางจะต้องไม่แตะต้อง นี่คือความรู้สึกของอวี้อาเหราในขณะนี้ 

 

 

ฉู่ป๋ายเอียงคอเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า “แล้วเจ้ามีหลักฐานหรืออย่างไรว่านางเป็นคนร้าย?” 

 

 

บางครั้งชื่อของอวิ๋นเซิ่นก็เหมือนชนวนระเบิด ที่เพียงแตะต้องก็ทำให้ระเบิดแตกออกมา 

 

 

บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลายเป็นความอึดอัดคับข้อง 

 

 

อวี้อาเหราได้ยินคำของเขา ก็ยิ่งโมโห “คนที่ทำร้ายข้านั้นมีพลังยุทธ์ อวิ๋นเซิ่นเป็นเพียงหญิงคนเดียวที่มีพลังยุทธ์ในเมืองเฟิ่งเฉิง ทั้งยังเป็นคนที่ข้ารู้จักอีกด้วย” 

 

 

ฉู่ป๋ายย้อนคำพูดของนาง “แม้ว่าจะดูออกได้อย่างง่ายได้ว่าคนผู้นั้นเป็นหญิง แต่เจ้าก็ไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหญิงหรือชาย อีกอย่างก่อนหน้านี้เจ้าเองก็บอกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงผู้ชาย ดูสิ นี่ก็ยังไม่สามารถระบุได้เสียหน่อย” 

 

 

“เจ้า…เจ้าพูดส่งเดช!” ความโกรธของอวี้อาเหรายิ่งทวีคูณ จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร ไม่เพียงสามารถระบุได้ว่าเป็นหญิง เพราะสรีระร่างกายนั้นใช่อย่างแน่นอน แต่ทำไมเขาจึงไม่เชื่อ? ทำอย่างไรนางก็คิดไม่ตก