ตอนที่ 557 ควรนอนได้แล้ว / ตอนที่ 558 ใช้กำลังและผลประโยชน์บีบบังคับ

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ทว่านางไม่ได้พูดต่อหน้า แต่ท่าทีของนางก็เย็นชาจนเกินพอ แล้วคอยชื่นชมท่าทีเป็นทุกข์เป็นร้อนของเขาเพราะคำพูดของนาง 

 

 

ฉู่ป๋ายทำราวกับจับจุดในคำพูดของนางได้ ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “อีกอย่าง อาจจะเป็นหญิงคนอื่นก็เป็นได้ แต่เป็นเพราะนางสามารถซ่อนหลังยุทธ์ของนางเอาไว้อย่างล้ำลึก เพราะอย่างนั้นเจ้าจึงมองไม่เห็น” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปหาหลักฐานมาสิ หากไม่มีหลักฐาน อย่างน้อยข้าก็จำต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อเอาไว้ก่อน ความเป็นไปได้ของข้าก็คือการที่นางผู้นั้นมีพลังยุทธ์ ถ้าหากเจ้ามีหลักฐาน ข้าถึงจะยอมเชื่อ” อวี้อาเหราไม่สนใจคำพูดของเขา ในใจของนางรู้ดีว่าอาจจะไม่ใช่อวิ๋นเซิ่นก็ได้ และพลังยุทธ์เป็นสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ได้ แต่ในยามนี้ใจของนางเอาแต่พร่ำบอกว่าจะต้องต่อต้านฉู่ป๋ายทุกวาจา 

 

 

และจะต้องทำให้เขาโกรธเสียจนโต้ตอบนางไม่ได้ ต่อไปจะได้ไม่กล้าที่จะต่อต้านนางอีก 

 

 

ฉู๋ป๋ายไม่พูดอะไรออกมาอีก เพราะเขาหาหลักฐานมาไม่ได้ แต่ใบหน้าก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความยินดีกลับมองดูนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก 

 

 

อวี้อาเหรามองเขาด้วยสายตาเย็นชา ในใจหัวเราะเสียงเย็น 

 

 

หลังจากผ่านไปสักพัก ราวกับฉู่ป๋ายไม่สามารถหาคำอธิบายมาได้ ดังนั้นจึงพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่อง พยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องจากเรื่องผ้าเช็ดหน้า มองท่าทีนิ่งเฉยของนาง “นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าไม่ง่วงหรือ” 

 

 

“ง่วง” อวี้อาเหรากลอกตาใส่เขาอย่างจนใจ หากไม่ใช่เพราะเขาที่มาวุ่นวายยามดึกดื่นเช่นนี้ นางที่อาบน้ำเสร็จแล้วคงจะได้นอนหลับอย่างสบายใจ เมื่อฉู่ป๋ายพูดออกมาเช่นนี้ ความง่วงของนางก็พุ่งเข้าโจมตีในทันที จึงพยักหน้าพร้อมทั้งหาว “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมาทำไม แต่กลับไปเสียเถิด ข้าจะนอนแล้ว” 

 

 

“ใช่ ควรนอนได้แล้ว” ฉู่ป๋ายเอ่ยซ้ำในคำพูดของนาง 

 

 

อวี้อาเหรามองเขาพูดด้วยท่าทางราวกับไม่เข้าใจในความหมายของนาง และในวินาทีนั้น ฉู่ป๋ายก็คว้าข้อมือของนางไว้แล้วดึงอย่างแรง ตัวของนางแทบจะเอนลงไปชนอกเขาทั้งตัว ได้ยินเสียงดังตึง เหมือนกับหัวใจกระทบกัน 

 

 

ความโกรธของนางหายไปในทันที เมื่อได้กลิ่นหอมแปลกประหลาด ในชั่ววินาทีที่นางปะทะอกของเขานั้น ก็ได้สัมผัสถึงเนื้อตัวของเขา ไม่เหมือนร่างของเขาในยามปกติที่ทั้งป่วยไข้และอ่อนแอ แต่ยามนี้กลับดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก คงเกี่ยวกับเรื่องที่เขาฝึกพลังยุทธ์มาแต่เล็กกระมัง  

 

 

ไม่ต้องบอกเลยว่าเขานั้นได้ฝึกวิชายุทธ์มามากกว่าสิบปีเป็นแน่ 

 

 

แม้ว่าใครก็ไม่อาจเป็นศัตรูของเขาได้เลย ในเมื่อสามารถฝึกวิชามาได้นานถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องลำบากมามาก  

 

 

เป็นเพราะเขาช่วยเหลือนางจึงได้สูญเสียพลังยุทธ์ ในเรื่องนี้อวี้อาเหราก็จำจ้องรับผิดชอบด้วย 

 

 

ในชั่ววินาทีที่อวี้อาเหราคิดว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบเขาอยู่นั้น นางก็เกือบถูกเขากอดเข้าไปในอ้อมอก แต่ก็เพียงแค่เกือบ ทว่าไม่ได้กอด ในยามนี้สมองของนางก็ตื่นเต็มที่ รีบถอยไปทางด้านหลังในทันที พยายามที่จะสะบัดมือใหญ่ของเขาที่เกาะกุมมือของนางเอาไว้ เป็นนานก็ยังสะบัดไม่หลุด นางจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วกัดฟันแน่น 

 

 

“เจ้าจะดึงข้าทำไมกัน?” 

 

 

“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าจะนอนมิใช่หรือ” 

 

 

ฉู่ป๋ายปรายตามอง 

 

 

อวี้อาเหราไม่อาจเข้าใจได้ “ข้าจะนอนแล้วมันทำไม” 

 

 

“ข้าอุตส่าห์มาถึงจวนหลิงอ๋องแล้ว ข้าก็เหนื่อยเสียจนไม่อยากจะไปไหนแล้ว” ฉู่ป๋ายพูดขึ้นมาด้วยท่าทีไร้เดียงสา 

 

 

“ไปให้พ้น!” อวี้อาเหรายังจะไม่รู้ใจเขาได้อีกหรือ? 

 

 

“ข้าเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว เจ้าก็รู้ว่าตั้งแต่ช่วยเจ้าแล้วพลังยุทธ์ของข้าก็หายไปจนหมด ข้าอ่อนแอและอ่อนแรงเหลือเกิน” ฉู่ป๋ายพูดขึ้นเพราะเชื่อว่านางไม่อาจจะโต้แย้งได้ 

 

 

“เจ้าเหนื่อยจริงหรือ” อวี้อาเหราแสดงสีหน้าเบื่อที่จะใส่ใจเขา แต่เมื่อได้ยินเรื่องที่เขาบอกว่าช่วยนางเสียจนสูญเสียพลังยุทธ์ไปจนหมด ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะนางจริงๆ แน่นอนว่านางต้องรู้สึกผิด ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นใส่ใจเขาเสียหน่อย  

 

 

ฉู่ป๋ายจึงพยักหน้าลงอย่างหนักแน่นแสดงความจริงใจ “จริงสิ!” 

 

 

“เช่นนั้นก็ดี” อวี้อาเหรารำคาญ ยามที่ฉู่ป๋ายกำลังจะเอ่ยปากหัวเราะนั้นออกมา นางก็พูดต่อว่า “ในเมื่อเจ้าเหนื่อยจนขยับไม่ได้ ข้าจะบอกให้รถม้าไปส่งที่จวน หากยังไม่ได้อีก ข้าจะให้เขาช่วยกันหามเจ้าออกไป อย่างไรก็คงไม่ต้องเหนื่อยอีก” 

 

 

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เมื่อฉู่ป๋ายได้ยินดังนั้น ก็ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?” อวี้อาเหรารู้สึกแปลกใจ อยากจะรู้นักว่าเขาจะพูดอะไร 

 

 

“ข้าจะนอนที่จวนหลิงอ๋อง” ฉู่ป๋ายไม่ลังเล แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมา  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 558 ใช้กำลังและผลประโยชน์บีบบังคับ 

 

 

 

 

 

“เจ้าอยากอยู่ที่จวนหลิงอ๋อง?” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นสูง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าเพ้อเจ้อหรืออย่างไรกัน” 

 

 

ราวกับฉู่ป๋ายรู้ว่านางจะพูดเช่นนี้ เขาจึงพยักหน้าด้วยท่าทีนิ่งเฉยเหนือความคาดหมายของอีกฝ่าย แล้วพูดย้อนคำของนาง “ใช่ ข้ากำลังเพ้อเจ้อ” 

 

 

“หึๆ” อวี้อาเหราหัวเราะเสียงหยัน 

 

 

ฉู่ป๋ายปล่อยมือที่ดึงมือของนางเอาไว้ แล้วยื่นมือออกไปจับบ่าของนางเอาไว้ ค่อยๆ เดินเข้าหา 

 

 

อวี้อาเหรามองใบหน้าของเขาที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ นางก็พลันชะงักไป นี่เขาจะทำอะไรอีก? 

 

 

“ไม่ต้องคิดมาก” ยามที่ฉู่ป๋ายพูด ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปยังเส้นผมที่ถูกผูกเอาไว้หลังอาบน้ำเสร็จ เขาเห็นอวี้อาเหราตื่นตกใจ มีความตระหนกอยู่เต็มใบหน้า แล้วพูดต่อว่า “ข้าจะทำผมให้เจ้า หากว่ามันชื้น เมื่อตกดึกเจ้าจะปวดหัวได้” 

 

 

“เจ้าไม่ต้องยุ่ง” อวี้อาเหรามองเขาที่จู่ๆ ก็เข้ามาประชิดอย่างไม่เหมาะสมนัก 

 

 

“เหราเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้าได้” ฉู่ป๋ายพูดขึ้นมาทันที อวี้อาเหราตัวสั่นขึ้นมาในทันที จากนั้นเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ก็เดินเข้ามา จึงได้พบฉู่ป๋ายที่กำลังจัดทรงผมให้นางอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นดังนั้นทั้งสองก็ชะงักไป 

 

 

ไม่เพียงแต่เป็นพวกเขาเท่านั้น แม้เป็นอวี้อาเหราก็ยังชะงัก 

 

 

พวกนางเข้ามาทำไมกัน? 

 

 

ทั้งยังเข้ามาได้เวลาพอดีนัก คงจะได้ยินตอนที่ฉู่ป๋ายเรียกนางว่าเหราเอ๋อร์เป็นแน่  

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็นึกได้ขึ้นมาในทันที บ้าจริง ตกหลุมพรางฉู่ป๋ายอีกแล้ว! 

 

 

เขาคงจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้เรียกนางว่า “เหราเอ๋อร์” แล้วเข้ามาช่วยนางจัดแต่งทรงผม ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเสียเหลือเกิน หากจะคิดพิเคราะห์อย่างละเอียด เขาช่างไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย เขาทำให้เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของนางและเขาได้เช่นนี้ ช่างไม่ธรรมดานัก 

 

 

ต่อไปเขาก็คงจะพูดว่า… 

 

 

เมื่อนางกำลังนิ่งคิด ฉู่ป๋ายก็เกี่ยวเอวของนางอย่างแรงให้เข้ามาหา อวี้อาเหราถูกความเจ็บปวดทำให้ฟื้นคืนสติ รีบหันกลับไปจ้องหน้าเขาในทันที ฉู่ป๋ายตั้งใจที่จะกดเสียงต่ำลงที่หูของนางจนกลายเป็นเสียงกระซิบ “หากไม่อยากให้สาวใช้ทั้งสองของเจ้าเข้าใจผิดว่าเจ้าและข้ามีความสัมพันธ์ถึงเนื้อถึงตัวกันถึงเพียงนี้ ก็ตอบตกลงในสิ่งที่เราพูดเมื่อครู่นี้เสียดีๆ” 

 

 

“เจ้า…” อวี้อาเหราไม่พูดอะไรอีก และเอวก็ยังถูกเกี่ยวเอวไว้ไม่ปล่อย 

 

 

ฉู่ป๋ายเอ่ยเตือนว่า “หากเจ้ากล้าที่จะด่าทอข้า ข้าจะจูบเจ้าต่อหน้าสาวใช้ทั้งสอง ในเมื่อข้าเคยทำไปแล้วหนึ่งครั้ง ก็ไม่แน่ว่าจะมีครั้งที่สองเกิดขึ้น”  

 

 

หน้าไม่อาย! คนชั่ว! ลามก! นางใช้สามคำนี้เพื่อฉู่ป๋ายโดยเฉพาะ อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะนิยามความอัดอั้นในใจของตัวเองอย่างไรดี คนอย่างฉู่ป๋ายนี่จะเรียกว่าเป็นคนเช่นไรดี? เหตุใดจึงชอบราดน้ำมันลงกองเพลิงอยู่เรื่อย? 

 

 

อวี้อาเหราหมดหนทาง แต่ก็ไม่อยากเสียรู้อีกรอบ จึงทำเพียงแค่นยิ้มออกมา 

 

 

“เจาเอ๋อร์ เมี่ยวอวี้ พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องมารับใช้ที่นี่ อีกสักพักเมื่อข้าคุยกับเซิ่นซื่อจื่อเสร็จแล้ว หานสือก็จะมารับเขาเอง ออกไปเถิด” 

 

 

“เจ้าค่ะ…” เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์มองตากัน คิดว่าพวกนางหลอกง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? 

 

 

ไม่น่าใช่หรอกน่า 

 

 

ทั้งสองลอบหัวเราะในใจ แล้วรีบออกไปในทันที 

 

 

เมื่อคนทั้งสองจากไปแล้ว อวี้อาเหราจึงค่อยผ่อนลมหายใจยาว เห็นฉู่ป๋ายยังคงโอบเอวของนางเอาไว้ ดังนั้นจึงยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไปอย่างอารมณ์เสีย ฉู่ป๋ายกลับเตรียมตัวเอาไว้แล้ว เขาหลบได้ทันท่วงที นางอารมณ์สะดุด จะไปต่อก็ได้จะกลับหลังก็ทำไม่ได้ เป็นทุกข์ใจแสนสาหัส 

 

 

นึกอยากจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายไปเสียให้พ้นๆ 

 

 

เหลือเกินจริงๆ! บีบบังคับนางถึงเพียงนี้ อย่างไรเสียนางก็เป็นคนในยุคปัจจุบัน อีกอย่างนางยังแตกต่างจากผู้อื่น ทว่ากลับโดนคนในยุคโบราณหลอกลวงเช่นนี้ และกลับสลัดไม่หลุด ในใจของนางเกิดความรู้สึกว่าหากยังติดต่อกับเขาอยู่อีก ต่อไปนางจะต้องมีความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นอยู่ไม่ช้าก็เร็ว 

 

 

ช่างร้ายกาจยิ่งนัก! 

 

 

ตอนนี้มองของอวี้อาเหราเหมือนโดนฟ้าผ่าฟาดลงมากลางศีรษะในจำนวนนับไม่ถ้วน จนทำให้หัวสมองแทบจะระเบิด 

 

 

ไม่ แม้แต่สีหน้าของนางก็ดูมืดมนยิ่ง 

 

 

นางโกรธจนไม่รู้ว่าจำต้องทำอย่างไร แต่ฉู่ป๋ายกลับนิ่งงัน ส่วนใบหน้าแฝงรอยยิ้มเล็กน้อยให้เห็น 

 

 

ไม่ผิดแน่ นี่คือรอยยิ้มแห่งชัยชนะใช่หรือไม่? ส่วนอวี้อาเหราคือฝ่ายแพ้จึงโดนรังแก