บทที่ 226 พวกปีศาจ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 226

พวกปีศาจ

มู่หรงเสวี่ยค้นหาหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในชั้นอีกครั้งแต่เธอก็ยังไม่เจอเล่มไหนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผู้ฝึกตนเลย

อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกผิดหวังที่หาไม่เจอสักเล่ม เธอนั่งลงที่เก้าอี้ จิตใจไม่อาจที่จะสงบได้ ทำไมฮวงฟูอี้ถึงทำแบบนี้? ถ้าเขาชอบเสี่ยวเข่อลี่จริงๆ เธอก็คงจะเอาตัวเองไปเทียบกับท่าทางของเสี่ยวเข่อลี่ไม่ได้ มีอะไรที่เธอมองข้ามไปหรือเปล่านะ? ช่วงครึ่งเดือนที่เธอไม่อยู่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?

ตอนนี้เธอค่อยๆที่จะสงบใจลงได้บ้างแล้ว วันก่อนเธอปล่อยให้เสี่ยวเข่อลี่จูงจมูกเพราะความไม่พอใจในชีวิตที่แล้วของเธอ

ตอนที่เธออยู่ที่จังหวัดAฮวงฟูอี้ไม่ได้รับโทรศัพท์เธอเลย แต่ตอนนี้เขาก็ยังบอกให้หลงอี้คอยปกป้องเธอ นั่นก็หมายความว่าเขายังเป็นห่วงเรื่องของเธออยู่

วันนี้เธอก็ใจร้อนเกินไป เธอควรที่จะตามเขาไปและถามว่าเขาถูกเสี่ยวเข่อลี่ข่มขู่อะไรหรือเปล่า

มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้จักความเจ้าเล่ห์ของเสี่ยวเข่อลี่ในชีวิตที่แล้วดีจนทำให้เธอต้องกลับมาเกิดใหม่ด้วยความหวาดกลัว บางทีฮวงฟูอี้อาจจะเจออะไรบางอย่างจนทำให้เขาต้องเป็นกังวลขึ้นมาอีกหรือเปล่า?! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของมู่หรงก็เริ่มที่จะพองโตขึ้นมา

ฮวงฟูอี้แยกตัวเองออกไป เขาจะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ๆ เธอไม่ควรที่จะเชื่อเขา เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน จนกว่าเขาจะบอกเธอเองว่าไม่รักเธอแล้ว งั้นเธอก็จะไม่ปล่อยมือง่ายๆแน่นอน

เธอเองก็ต้องทำงานอย่างหนักเหมือนกัน เธอจะคอยลากฮวงฟูอี้มาเกี่ยวด้วยทุกครั้งได้ยังไงล่ะ? เธออยากที่จะเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขา ไม่ใช่ผู้หญิงที่คอยหลบอยู่ข้างหลังเขาหรือให้เขามาปกป้องตลอดเวลา ราวกับว่าคิดอะไรได้บางอย่าง มู่หรงเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มโล่งอกออกมา

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเก็บหนังสือเรียบร้อย เธอก็เดินออกมาและเห็นคุณปู่คุณย่ากำลังนั่งอิงแอบกัน มันดูกลมกลืนมากจนรู้สึกได้เลยว่าพวกท่านเต็มไปด้วยความสุข เธอค่อยๆเดินผ่านมาพยายามทำเสียงให้เบาที่สุด เธอไม่อยากที่จะปลุกพวกท่าน

มู่หรงเสวี่ยว่ายน้ำผ่านผิวน้ำและตรงผ่านเข้าไปในหลุมม่าน เธอกดไปที่เหลี่ยมของกำแพงหินที่เธอเห็นครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เธอไม่ได้รีบเดินเข้าไปแต่มองที่รูปที่กำแพงอย่างละเอียด

เธอรู้สึกว่าคนที่สร้างประตูกลนี้คงไม่ได้ทิ้งรูปพวกนี้ไว้แค่เพราะเรื่องความสวยงามอย่างเดียวหรอก ในรูปไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย แต่มันต้องมีอะไรบางอย่างอีกสิ

มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่รูปลวดลายบนกำแพงหิน มองอย่างละเอียด และดูเหมือนจะมีเรื่องปริศนาผุดขึ้นมาในหัวใจของเธอ ใจของเธอเริ่มจะแขว่งและก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างแวบเข้ามาในใจของเธอ เธอนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงข้ามกับรูปลวดลายของภาพ เธอรู้สึกได้ถึงออร่ารอบ ๆ ตัวราวกับว่ามีแสงซุกซนกำลังบินอยู่รอบตัวเธอ ราวกับภูตกำลังกะพริบเพื่อพยายามจะเข้าใกล้ มู่หรงเสวี่ย เธอเอื้อมมือออกไปและพยายามที่จะแตะแสงพวกนั้นแต่ลำแสงก็ดูเหมือนกับว่าจะกลัว ในเวลานี้พวกมันหนีออกห่างไปไกล มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างใจดี ทันใดนั้นแสงก็ปรากฏขึ้นและพุ่งเข้าสู่ร่างกายของมู่หรงเสวี่ยจากฝ่ามือของเธอ เมื่อฝ่ามือของเธอปิดลง ก็ดูเหมือนว่าเธอจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครบนกำแพงหิน แสงออร่าไหลผ่านเส้นลมปราณทั่วร่างกายของเธอและสุดท้ายก็ไหลไปยังตันเถียน

เธอไม่รู้เลย หลังจากที่ผ่านมาหลายอาทิตย์ ตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยแทบจะรู้สึกได้ถึงความเบาของร่างกายและทั่วทั้งร่างกายก็ดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่สิ้นสุดเลย

ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้นดวงตาคู่สวยแพรวพราวสวยงามเกินกว่าที่จะมองเห็นได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ร่างกายได้เกิดชั้นของวัสดุสีเทาดำและกลิ่นจาง ๆ เหมือนกับตอนที่เธอกินผลไม้ในมิติลับเป็นครั้งแรก

มู่หรงแทบจะทนกลิ่นไม่ได้ ความคิดพุ่งขึ้นมาในทันทีและก็รีบวิ่งตรงเข้าไปที่ห้องน้ำในห้องทันที หลังจากที่อาบน้ำอยู่หลายครั้งเธอก็รู้สึกว่าตัวเองสะอาดแล้ว หลังจากที่เธอใส่เสื้อผ้าแล้วเธอก็รู้สึกสบายตัวมากขึ้นเพราะความรู้สึกที่ทรงพลังในร่างกายของเธอ เธอลองเอื้อมมือออกไปเพื่อทนสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง ไม่คิดเลยว่ากำแพงอิฐในห้องจะพังจนเกิดเสียงดัง แล้วก็เกิดรูที่แตกขึ้นมาทันที

เสียงดัง “ปัง”

การ์ดที่อยู่ด้านนอกวิลล่าจู่ๆก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องอย่างตื่นตระหนกและตรงเข้าไปในตำแหน่งที่มู่หรงเสวี่ยยืนอยู่ตอนนี้

คนทั้งสิบรีบดึงอาวุธออกมาทันทีแต่พวกเขาก็ไม่เห็นศัตรูอยู่ที่ไหนเลย มีเพียงคุณมู่หรงเท่านั้นที่กำลังยืนมองมือตัวเองอย่างงงๆ

“คุณมู่หรง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” การ์ดที่อยู่ด้านหน้าพร้อมอาวุธในมือมองไปรอบๆ ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติกลับมาและมองไปที่พวกการ์ดทั้งสิบคนที่ถืออาวุธอยู่ในมือด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ฉันขอโทษ ฉันแค่ลองกระสุนนิดหน่อยแต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้…” โอเค เป็นข้ออ้างที่แย่มากแต่มันก็ดีกว่าที่จะไม่พูดอะไรเลย

พวกการ์ดต่างก็มองหน้ากันและกัน อันที่จริงพวกเขาไม่อยากที่จะเชื่อแต่ในห้องก็ไม่มีคนอื่น

“ทุกอย่างโอเคจริงๆ เก็บอาวุธไปกันได้แล้ว…”

หลังจากนั้น พวกการ์ดก็เก็บอาวุธไปและเดินกลับออกไปที่ด้านหน้าของวิลล่าเหมือนเดิม ก่อนที่จะออกไปพวกเขาก็ตรวจดูในวิลล่าด้วยว่ามีคนที่น่าสงสัยแอบอยู่ตรงไหนหรือเปล่า มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้ว่านี่เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ห้ามพวกเขา เธอเพียงแค่ย้ายออกมาจากห้องที่อยู่ไม่ได้ และต้องไปนอนในห้องพักแขก

หลังจากที่เข้าไปในห้องพักแขก เธอก็มองไปที่ฝ่ามือตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อแต่หลักฐานก็เห็นอยู่ชัดๆที่กำแพง เธอได้รับพลังที่ไม่รู้จักจริงๆ เธอทั้งประหม่าและตื่นเต้น นี่คือการบ่มเพาะเป็นผู้ฝึกตนที่ชายแปลกหน้าพูดถึงหรือเปล่า

เมื่อคิดถึงท่าทางที่เขาบินออกไปจากขอบหน้าต่าง งั้นก็ยังมีอีกหลายคนในโลกนี้ที่ฝึกตนสิ บางทีเธออาจจะเทียบไม่ได้กับชายคนนั้นเลยแม้สักนิดก็ได้ ความตื่นเต้นในตอนแรกของเธอค่อยๆสงบลง เธอยังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้ฝึกตนเลยและเธอก็ไม่รู้ว่าในตอนท้ายของโลกจะเป็นอย่างไร

งั้นระวังไว้ก่อนจะดีกว่า

เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดไปที่เบอร์ของฮวงฟูอี้โดยตรง โทรศัพท์ดังอยู่นานแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่รับสายอยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยวางสายไปอย่างผิดหวังแล้วก็เปลี่ยนเป็นส่งข้อความแทน “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันเชื่อในนายนะ” หลังจากที่พิมข้อความเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็ส่งออกไปและรออยู่นานแต่ก็พบว่าเขาก็ยังไม่ตอบกลับมาอยู่ดี

ถึงแม้เธอจะเดาว่าเขาน่าจะมีเหตุผลบางอย่าง แต่เธอก็ยังสงบใจไม่ได้และหัวใจก็สั่นรัว

มู่หรงเสวี่ยวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆและค่อยๆผล็อยหลับไปในที่สุด

ที่อีกด้าน ในห้องทำงานของฮวงฟูอี้ในดราก้อน พาวิลเลี่ยน

ฮวงฟูอี้ถือโทรศัพท์อยู่นานและไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเขาเห็นข้อความ สีหน้าของเขาก็ล้นไปด้วยความรู้สึกมากมายและดวงตาของเขาก็เริ่มที่จะเอ่อล้นเล็กน้อย

เสี่ยวเข่อลี่ที่อยู่ในฐานลับหอบเล็กน้อยอยู่ภายใต้ร่างของชายแก่

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นและสูบบุหรี่ แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ว่าไงบ้าง? ได้ข้อมูลอะไรเรื่องดราก้อนพาวิลเลี่ยนบ้างหรือเปล่า…”

เสี่ยวเข่อลี่จ้องไปที่ด้านหลังของชายคนนั้นและแวบประกายเกลียดชัง แล้วเธอจึงตอบออกไปว่า “ฉันเกือบจะหนีออกมาไม่ได้ คุณไม่สนใจเลยสักนิด…”

“อืม เธอจะตายไม่ได้ ฉันลงทุนลงแรงฝึกเธอไปตั้งเยอะ แล้วฉันจะปล่อยให้เธอตายได้ยังไงล่ะ? อยากให้ฉันย้ำเรื่องอะไรกับเธออีกหรือเปล่า…” ชายคนนั้นหันกลับมาและหยิกไปที่ใบหน้านวลของเธอ

เสี่ยวเข่อลี่แวบประกายแสงสีแดงแปลกๆในดวงตาแล้วพูดต่อ “มันไม่ง่ายขนาดนั้น ฉันเข้าไปในห้องควบคุมไม่ได้เลย…การคุ้มกันที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนแน่นหนามากซึ่งจะแทรกเข้าไปไม่ได้ง่ายๆเลย…” วันก่อน เธอเพิ่งได้เข้าไปในห้องที่อยู่ข้างๆห้องของฮวงฟูอี้แต่ในนั้นก็ไม่มีอะไรเลย

“ฮ่ะ!” ชายคนนั้นดูไม่พอใจอย่างมากกับคำเชิดชูดราก้อนพาวิลเลี่ยนของเสี่ยวเข่อลี่ เขาควรที่จะได้ครองโลกนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนั้นที่ไม่ยอมรับเงินสินบน พวกเขาต้องเจอปัญหามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร? คนเหล่านั้นต้องออกมาและเปิดเผยเท่านั้น

พวกคนที่อยู่ในสถาบันวิจัยก็ไร้ประโยชน์เหมือนกัน หลังจากที่ศึกษาอยู่นาน พวกเขาก็ทำได้แค่สิ่งที่มนุษย์ก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง

เสี่ยวเข่อลี่ลุกขึ้น ไม่สนใจร่างกายที่เปลือยเปล่าและเดินออกไปที่ประตูทั้งแบบนี้ อย่างไรก็ตามชายคนนั้นดุเหมือนจะจู่ๆก็เกิดบ้าขึ้นมา เขาตบเสี่ยวเข่อลี่เข้าที่หน้า “นังตัวดี…”

เสี่ยวเข่อลี่เอามือปิดหน้าตัวเองและไม่กล้าที่จะพูดอะไร เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก บางครั้งชายคนนี้ก็ปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยน แต่บางครั้งก็ทำเหมือนเมื่อกี้คืออยู่ดีๆก็ตบหน้าเธอ เธอคิดว่าชายคนนี้จะต้องเป็นบ้า จะต้องบ้ามากแน่ๆ

ครั้งหนึ่งเธอเคยพยายามที่จะสู้กับชายคนนี้แต่ผลที่ออกมาก็แย่อย่างมาก เธอเกือบที่จะตาย ชายคนนี้โยนเธอให้ลูกน้องของเขาจริงๆ ผู้ชายเกือบสิบคนผลัดเปลี่ยนกันเข้าหาเธอ เธอคิดว่าตัวเองจะตายซะแล้ว

แต่ชายคนนี้ก็ฉีดเลือดให้เธอ ตอนนี้คงพูดไม่ได้ว่าเธอยังเป็นมนุษย์อยู่ บางทีเธออาจจะไม่มีวันตาย เลือดนั้นเป็นพลังขับเคลื่อนของความเป็นอมตะ

เสี่ยวเข่อลี่กลายเป็นครึ่งคน ครึ่งปีศาจไปแล้ว ซึ่งพูดได้ว่าร่างปีศาจนี้เป็นขององค์กรนี้

แต่ถึงเป็นแบบนั้นเธอก็ยังสู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ดีเพราะเขาผิดปกติมากกว่าเธอซะอีก เขาทดลองกับตัวเองไปมากมาย ตอนนี้มือซ้ายของชายคนนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเพราะมันไม่น่าที่จะเรียกว่ามือ แต่น่าจะเรียกว่ากรงเล็บมากกว่า