หวงฝู่อี้เซวียนเห็นคนทั้งหมดจากไปไกลแล้ว ออกคำสั่งเสียงเ**้ยม “ไป ไปเรือนอีกหลัง”
องครักษ์เงาขานรับคำ เดินนำหน้ามุ่งไปยังเรือนอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลออกไปของเฮ่อเหลี่ยน
ภายในเรือนหลังนี้ พวกจอมยุทธ์กำลังดื่มสุรา ปกติเฮ่อเหลี่ยนจะใช้พวกเขาสำหรับภารกิจสำคัญ ดังนั้นจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ไม่ส่งคนนอกเข้ามาควบคุมพวกเขา แม่ครัวที่จ้างไว้จะเข้ามาทำอาหารให้พวกเขาตามเวลาทุกวัน โดยจะทำแต่อาหารชั้นเลิศ ทั้งยังมีสุราดื่มได้ไม่อั้น ดังนั้นนอกจากฝึกยุทธ์แล้ว ในแต่ละวันพวกเขาจะจับกลุ่มกันกินดื่มอย่างเต็มคราบ
หลายวันก่อนติดตามเฮ่อเหลี่ยนไปหาเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นสหายที่ได้รับบาดเจ็บถูกโยนทิ้งไว้ในกองเนินป่าช้าไร้ญาติทั้งเป็น พวกเขาก็ให้เศร้าระทมไปด้วย ราวกับได้เห็นจุดจบในภายหน้าของตัวเอง เริ่มมีความคิดจะไปจากเฮ่อเหลี่ยน แต่เฮ่อเหลี่ยนเป็นคนจิตใจเ**้ยมโหด หากพวกเขาเอ่ยปาก ไม่แน่ว่าเฮ่อเหลี่ยนจะโมโหสั่งคนมาฆ่าพวกเขาก็ได้ พวกเขาได้แต่กลัดกลุ้มใจ ในแต่ละวันนอกจากดื่มสุราก็ไม่รู้จะทำอะไร
เดินมาถึงหน้าประตูเรือน ก็ได้ยินเสียงพูดเอะอะมะเทิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ของพวกจอมยุทธ์ดังแว่วมา แค่ฟังก็รู้ว่าดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตูเรือน องครักษ์เงานายหนึ่งกระโดดลอยเข้าไปในเรือน เปิดบานประตูออกอย่างเบามือ
ทั้งสองเดินเข้าไป องครักษ์เงาที่เหลือก็ตามติดเข้าไป องครักษ์เงาที่เดินรั้งท้ายค่อยๆ ปิดบานประตู
คนทั้งหมดเดินดาหน้าเข้าไปในเรือน คนในเรือนไม่มีใครได้ยินเสียงจากด้านนอกเลย
เดินมาถึงหน้าประตู “ปัง” องครักษ์เงาถีบประตูห้องเปิดออก เห็นสภาพโดยรวมภายในห้องทั้งหมด
พวกจอมยุทธ์ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน แม้จะดื่มสุราเข้าไปมาก กลับตอบสนองไวคว้าอาวุธข้างกาย ตวาดถามพลัน “พวกเจ้าเป็นใคร”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เหล่าจอมยุทธ์ก็ถลึงตาเบิกกว้าง ชี้หน้านางราวกับเห็นผี ลิ้นพันกันพูดตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้าก็คือ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยิ้มตาหยีตอบกลับ “ถูกต้อง ข้าเอง!”
เหล่าจอมยุทธ์หวาดผวาสุดขีด คนที่ล่วงเกินคุณชายใหญ่ไม่มีวันได้มีจุดจบที่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ถูกคุณชายใหญ่ส่งเข้าคุก เหตุใดถึงยังมาปรากฏต่อหน้าตนเองได้อย่างครบถ้วนสามสิบสองเช่นนี้
คล้ายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าใจความเคลือบแคลงใจของพวกเขา ยกยิ้มพูดว่า “วันนั้นลืมบอกพวกเจ้าไป ข้าเป็นนายหญิงร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง”
นายหญิงก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง ก็คือผู้หญิงของซื่อจื่อจวนอ๋องฉี เหล่าจอมยุทธ์ตกใจถลึงตาโพลง ต่างเสียววาบไปทั้งลำคอ อาวุธในมือสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว “เจ้า เจ้า…”
ไม่รอให้พวกเขาได้สติกลับคืนมา เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม ออกคำสั่งเสียงเ**้ยม “ฆ่า!”
เหล่าจอมยุทธ์ยังไม่ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น องครักษ์เงาหลังหวงฝู่อี้เซวียนก็ลงมือทันที
คนทั้งหมดตวัดลำแสงในมือ ท่วงท่าเตรียมพร้อมของเหล่าจอมยุทธ์ยังไม่เปลี่ยน ก็ยืนไม่ไหวติงไร้ลมหายใจไปแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต่จะมองพวกเขาอีก หันหลังเดินออกไป หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปพลางออกคำสั่ง “จัดการให้เรียบร้อย!”
องครักษ์เงาขานรับเสียงต่ำ
กระทั่งทั้งสองเดินมาถึงกลางลานเรือน เสียงล้มตึงจากภายในห้องถึงดังลอยออกมา “พลั่ก! พลั่ก!”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ
เหวินซื่อพาเฮ่อเหลี่ยนที่สลบไสลมาถึงหอคณิกาอี๋หง ลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปทันที พอพ้นประตูเข้ามาก็ร้องโหวกเหวก “แม่เล้าอยู่ที่ไหน ให้นางออกมาเดี๋ยวนี้!”
แม่เล้าเดินนวยนาดส่ายสะโพกเข้ามา ส่งสายตามองประเมินเหวินซื่อแวบหนึ่ง เห็นเขารูปร่างสะโอดสะอง คิ้วเรียวตาโตได้รูป มีเครายาวหนาข้างแก้ม แต่งกายเยี่ยงชาวยุทธ์ทั่วไป ให้เกิดความดูหมิ่นดูแคลน เบ้ปากแสร้งพูดเอาใจ “นายท่าน ท่านมาแล้ว ท่านต้องการเด็กสาวเช่นไรก็ขอให้บอก รับประกันจะปรนนิบัติจนท่านพึงพอใจเจ้าค่ะ”
เหวินซื่อเกือบจะสำลักกลิ่นเครื่องหอมที่พรมทั่วร่างของนางตาย พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไปๆๆ ถอยออกไปไกลๆ กลิ่นเครื่องหอมบนร่างเจ้าเกือบทำข้าสำลักตายแล้ว”
แม่เล้าได้ฟังก็ชักสีหน้า น้ำเสียงเย็นชาลง “นายท่าน ท่านดมกลิ่นแป้งไม่ได้ยังจะมาหอคณิกาอี๋หง เจตนาจะมาหาเรื่องหรือเจ้าคะ”
เหวินซื่อทนไม่ไหวจริงๆ ปิดปากปิดจมูก พูดเสียงอู้อี้ “หาเรื่องอะไรกัน คนที่จะมาหอคณิกาอี๋หงของพวกเจ้าคือคุณชายของพวกเรา ไม่ใช่ข้า” พูดจบ ก็โบกมือไปด้านนอก องครักษ์เงาสองนายหามเฮ่อเหลี่ยนเดินเข้ามา
แม่เล้าทำอาชีพนี้มานาน พบเจอคนมาทุกประเภท เห็นเฮ่อเหลี่ยนแต่งกายไม่ธรรมดา มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นชายสกุลสูงศักดิ์ จึงไม่ถือสาการแสดงออกของเหวินซื่อ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง แล้วโบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าเดินเข้ามา “แหม นายท่าน ไยไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ทำเอาข้าเข้าใจท่านผิดไป ข้าต้องขอขมาท่านแล้วเจ้าคะ”
เหวินซื่อสำลักจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
แม่เล้าหันไปยิ้มถามเฮ่อเหลี่ยนที่ยังสลบไสล “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ต้องการหญิงสาวเช่นไรเจ้าคะ”
เฮ่อเหลี่ยนก้มหน้า ไม่พูดอะไร
แม่เล้ารู้สึกผิดปกติ คิดจะเข้าไปดูให้แน่ชัด
เหวินซื่อแสร้งกระแอมหนึ่งครั้ง ปิดปากอุดจมูกเดินเข้าใกล้แม่เล้า พูดเสียงต่ำ “นายน้อยของพวกเรากินสิ่งผิดสำแดงเข้าไป ควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเราจำต้องตีเขาให้สลบไป”
แม่เล้าเข้าใจความหมายของเขาในทันที แย้มยิ้มจนใบหน้ายับย่น “แหม ไม่ยากเลยเจ้าค่ะ เด็กๆ ของข้าที่นี่ฝีไม้ลายมือไม่เบา รับประกันว่า…”
ไม่รอให้นางพูดจบ เหวินซื่อชิงพูดตัดบทนาง ส่งเสียงแผ่วเบาพูดต่อว่า “นายน้อยของพวกเรากินเข้าไปมาก เกรงว่าสตรีแค่คนสองคนจะไม่คณามือเขา”
แม่เล้ากลิ้งกลอกนัยน์ตาวาววับ “ก็ไม่ยากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านยอมจ่าย ต้องการสตรีกี่นางก็ได้เจ้าค่ะ”
เหวินซื่อพยักหน้า ล้วงตั๋วเงินจากอกเสื้อออกมาหนึ่งใบ ก้มลงมองแล้วมอบให้แม่เล้า “เจ้าดูว่าเงินนี้เพียงพอหรือไม่”
แม่เล้ารับมาดู เห็นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึง ก็พยักหน้าหงึกหงักเหมือนไก่จิกข้าวเปลือกพลัน “พอๆๆ ข้าจะเรียกเด็กๆ เข้ามาต้อนรับเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
เหวินซื่อโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้าพาพวกเราไปที่ห้อง แล้วให้พวกนางเข้าไปเองก็พอ”
แม่เล้าย่อมต้องยินยอม ไม่ชักช้านวยนาดแล้ว เดินนำหน้าพาคนทั้งหมดขึ้นชั้นบน เปิดประตูห้องชั้นสองที่อยู่สุดทางเดิน “นี่เป็นห้องที่ดีที่สุดของหอคณิกาอี๋หงของพวกเรา ทั้งโอ่อ่าและกว้างขวาง เหมาะกับคนที่ชอบเล่นโลดโผนอย่างคุณชายของพวกท่านที่สุดเจ้าค่ะ”
เหวินซื่อส่งสายตาให้องครักษ์เงานำตัวเฮ่อเหลี่ยนไปวางไว้บนเตียง แล้วหันมาพูดกับแม่เล้าว่า “คุณชายของพวกเรากินของผิดสำแดงเข้าไประยะหนึ่งแล้ว เจ้าจงรีบเตรียมสตรีเข้ามา บ่ายวันพรุ่งนี้ พวกเราถึงจะเข้ามารับคุณชาย จำไว้ให้ดี ห้ามพูดเรื่องนี้กับคนอื่นเด็ดขาด”
แม่เล้าทำอาชีพนี้มาหลายปี พบเจอเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อย ย่อมเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ้มพูดรับรอง “ท่านวางใจเถอะ ปากข้าแน่นหนาเป็นที่สุด ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี คุณชายของเราเป็นขุนนางมีหน้ามีตา หากเจ้านำเรื่องนี้โพนทะนาออกไป เขาจะต้องสั่งคนมาปิดหอคณิกาอี๋หงของเจ้าเป็นแน่” เหวินซื่อกล่าว
แม่เล้าได้ฟัง ยิ่งแสดงอาการพะเน้าพะนอ “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะสั่งพวกเด็กๆ ให้ปิดปากให้สนิท เรื่องนี้จะไม่ถูกแพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน”
เหวินซื่อพยักหน้า นำองครักษ์เงาสองคนหันหลังเดินลงมา
แม่เล้าไม่ได้ตามลงไป แต่ส่งเสียงเรียกหญิงคณิกาเข้ามา
เหวินซื่อก้าวจ้ำๆ ออกมาจากหอคณิกาอี๋หง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหลายครั้ง ถึงพูดกับองครักษ์เงา “กลับไปเรียนนายของพวกเจ้า จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เหลือก็อยู่ที่พวกเขาแล้ว”
องครักษ์เงารับคำ ควบม้าออกไปทันที
เหวินซื่อก็ขึ้นหลังม้า ควบกลับไป ระหว่างทางไม่เห็นมีคน ก็ดึงเคราปลอมที่แปะติดบนใบหน้าตนเองออก ดมร่างกายตัวเองว่าไม่ได้กลิ่นแป้งหอมแล้ว จึงควบม้ามุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนส่งเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่บ้าน ถึงควบม้ากลับจวน เข้ามาภายในห้องตนเอง นั่งบนเก้าอี้รอฟังข่าว
องครักษ์เงากลับมา นำความจากเหวินซื่อบอกแก่เขา หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า สั่งองครักษ์เงา “พรุ่งนี้เช้า ส่งคนนิรนามไปแจ้งความที่กรมขุนนาง บอกว่ามีขุนนางเริงสวาทกับหญิงคณิกาที่หอคณิกาอี๋หง”
องครักษ์เงารับคำ ถอยออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนมองดูท้องฟ้าด้านนอก ถอดเสื้อล้มตัวนอนลงบนเตียง ไม่นานก็หลับสนิทไป
ค่ำคืนผ่านไป
เช้าวันถัดมา หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปกั๋วจื่อเจียน แต่หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปเรือนพระชายาเอก อยู่พูดคุยกับนาง
พระชายาเอกให้กังขา ถามเขา “เซวียนเอ๋อร์ เหตุใดวันนี้ลูกถึงไม่ไปกั๋วจื่อเจียน”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ตอบว่า “วันนี้ลูกมีเรื่องต้องทำ เมื่อวานได้ทำเรื่องขอลาไว้แล้วขอรับ”
พระชายาเอกพยักหน้า ไม่ถามความอีก
หวงฝู่อี้เซวียนมองดูท้องฟ้า คาดว่าน่าจะเลยเวลาเข้าเฝ้าแล้ว “พระมารดา ลูกต้องไปแล้ว”
พระชายาเอกสะบัดมือ “ไปเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาถึงนอกเรือน สั่งองครักษ์เงาเสียงเย็น “นำตัวพัศดีมา พวกเราจะเข้าวัง!”
องครักษ์เงาขานรับคำ นำตัวพัศดีที่ถูกทรมานมาหลายวันจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้วเข้ามา
และในตอนนี้ ก็เกิดข่าวโหมสะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ที่แท้ก็มีคนไปแจ้งความที่กรมขุนนางแต่เช้าตรู่ บอกว่ามีขุนนางเริงสวาทกับหญิงคณิกาที่หอคณิกาอี๋หง กระทั่งคนอยู่ห้องไหนก็บอกได้อย่างชัดแจ้ง
ประเทศอู่มีข้อบังคับต่อขุนนางเคร่งครัด ห้ามไม่ให้ขุนนางมีพฤติกรรมเช่นนี้เด็ดขาด ครั้นราชเลขากรมขุนนางได้ยิน ก็สั่งคนไปตรวจสอบที่หอคณิกาอี๋หงทันที
ผู้ตรวจสอบนำนายทหารบุกไปที่หอคณิกาอี๋หง ฟ้าสว่างแจ้งแล้ว ลูกค้าหอคณิกาอี๋หงทยอยกับเดินลงมา เตรียมจะกลับบ้าน พลันเห็นทหารจำนวนมากบุกเข้ามา ต่างตกใจเสียขวัญ ยืนตัวสั่นไม่กล้าปริปากอยู่อีกด้าน
แม่เล้าก็ตกใจไม่น้อย ลุกลนเดินเข้ามา คิดจะสอบถาม กลับถูกทหารขวางไว้
ผู้ตรวจสอบไม่พูดไม่จา นำทหารจำนวนหนึ่งเดินตรงขึ้นไปชั้นสอง มุ่งหน้าไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน
แม่เล้าร้องโวยวาย แต่ก็ขวางพวกเขาไม่ได้ ได้แต่ทนดูทหารขึ้นไปเตะประตูห้องนั้นออก
กลิ่นอายราคะคลุ้งตลบอบอวลปะทะใบหน้า ผู้ตรวจสอบขมวดคิ้วมุ่น เดินเข้าไป กลับตกใจกับสภาพตรงหน้าจนพูดไม่ออก
ภายในห้องมีเสื้อผ้าหลากหลายแบบของหญิงสาวโยนกลาดเกลื่อนเต็มห้อง บนเตียงมีสตรีเจ็ดแปดนางและชายหนึ่งคนนอนอยู่ด้วยกัน
ผู้ตรวจสอบขมวดคิ้วอีกครั้ง ปัดป้องมือไล่กลิ่นยากจะสูดดมนั้น ถึงเดินเข้าไปในห้องอย่างระแวดระวัง ตรวจดูชายที่นอนอยู่บนเตียง ครั้นเห็นชัดว่าเป็นใคร ก็ตกใจสะดุ้ง ถอยกรูดออกไปฉับพลัน สั่งการทหารเฝ้าหน้าประตูให้ดี แล้วตะลีตะลานกลับไปรายงานที่กรมขุนนาง
หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบกรมขุนนางได้ยินวาจาเขา ก็ให้ตกใจไม่น้อย ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ รอจนกระทั่งราชเลขากรมขุนนางกลับมาจากท้องพระโรง ค่อยรายงานเรื่องนี้แก่เขา ให้เขาตัดสินใจว่าจะสอบสวนคนผู้นี้หรือไม่
ราชเลขากรมขุนนางก็ไม่กล้าตัดสินใจ รีบสั่งคนไปขวางมหาเสนาบดีเฮ่อจางที่ออกมาจากท้องพระโรงกำลังจะกลับบ้านไว้
ผู้ที่มาขวางบอกว่าราชเลขากรมขุนนางมีเรื่องอยากให้เฮ่อจางเข้าไปพบ เฮ่อจางฟังแล้วก็ไม่พอใจ ชักสีหน้าพูดว่า “ราชเลขากรมขุนนางช่างยิ่งใหญ่นัก ถึงกับให้ข้าเข้าไปพบเขา”
เจ้าหน้าที่ที่มาขวางเขาได้ยินเรื่องของเฮ่อเหลี่ยนแล้ว เห็นเขาโมโห จึงเดินขึ้นหน้า เข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูเขา
เฮ่อจางถึงกับหน้าถอดสี ลนลานถาม “อยู่ที่ไหน”
คนที่มาขวางเขายังตอบเสียงเบา “อยู่หอคณิกาอี๋หงที่มีชื่อที่สุดของเมืองหลวง ได้ยินว่าภาพค่อนข้างอื้อฉาว ท่านใต้เท้าราชเลขาไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร จึงให้ข้าเข้ามาเชิญท่านมหาเสนาบดีเข้าไปขอรับ”
“รีบไปกรมขุนนางเดี๋ยวนี้!”
เจ้าหน้าที่รับคำ
เฮ่อจางเข้าไปนั่งในเกี้ยว ตามเจ้าหน้าที่มาถึงกรมขุนนางด้วยหัวใจร้อนรุ่มดั่งไฟ
ราชเลขากรมขุนนางออกมารอหน้าประตูเรือนแล้ว เฮ่อจางเพิ่งจะลงจากเกี้ยว ก็รีบเข้าไปน้อมคำนับเขา
“ไม่ต้องแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เฮ่อจางไม่สนใจว่ากำลังยืนอยู่หน้าประตูกรมขุนนาง ก็รบเร้าถามราชเลขากรมขุนนางทันที
ราชเลขากรมขุนนางก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว บอกว่าวันนี้มีคนเข้ามาแจ้งความแต่เช้าตรู่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบส่งคนไปดู พบว่าเป็นเฮ่อเหลี่ยน ไม่กล้าตัดสินใจ จึงรีบร้อนกลับเข้ามารายงาน
เฮ่อจางฟังจบ โมโหก่นด่า “ตัวเสนียดจัญไร กล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นได้ยังไง”
ราชเลขากรมขุนนางยืนอย่างนอบน้อม ไม่กล้าพูดอะไร
เฮ่อจางถึงรู้สึกตัวว่าตรงนี้ไม่เหมาะจะพูดคุย พูดขึ้นฉับพลัน “เจ้าสั่งการลงไป ให้คนนำเจ้าตัวจัญไรนั่นมาที่นี่เดี๋ยวนี้ ข้าจะถามความเขาด้วยตัวเอง”
ราชเลขากรมขุนนางรับคำ สั่งการเจ้าหน้าที่ตรวจการ
เจ้าหน้าที่ตรวจการรีบตรงกลับไปหอคณิกาอี๋หง เดินเข้าไปในห้อง ตะโกนร้องปลุกเฮ่อเหลี่ยน แต่ไม่ว่าเขาจะผลักตัวร้องเรียกอย่างไร เฮ่อเหลี่ยนก็เอาแต่หลับตาพริ้ม ไม่ไหวติง
เจ้าหน้าที่ตรวจการแม้จะประหลาดใจ กลับไม่มีเวลาสงสัยแล้ว โบกมือเรียกทหารเข้ามา สวมเสื้อผ้าให้เฮ่อเหลี่ยนตัวหนึ่งอย่างขอไปที แล้วสั่งพวกเขาให้หามเฮ่อเหลี่ยนออกไป
แม่เล้าเห็นเฮ่อเหลี่ยนถูกทหารหามออกมาในสภาพสลบไสล ร้องโอดครวญในใจ รีบพูดอธิบาย “นายท่าน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลยนะเจ้าคะ คุณชายท่านนี้กินยากระตุ้นกำหนัด และถูกบ่าวของเขาส่งตัวมาหอคณิกาอี๋หงเอง…”
เจ้าหน้าที่ตรวจการร้องตวาด “หุบปาก ถ้ายังกล้าพูดเหลวไหล จะสั่งปิดหอคณิกาอี๋หงของเจ้าเดี๋ยวนี้”
แม่เล้าตกใจปิดปากเงียบพลัน
เจ้าหน้าที่ตรวจการสั่งทหารหามเฮ่อเหลี่ยนกลับกรมขุนนาง
เฮ่อจางที่รออยู่ในห้องทำงานราชเลขากรมขุนนาง เห็นเฮ่อเหลี่ยนถูกทหารหามเข้ามา ทะลึ่งตัวลุกพรวด ตกใจร้องถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เจ้าหน้าที่ลนลานตอบ “ผู้น้อยก็ไม่ทราบขอรับ ตอนที่ข้าเห็นคุณชายใหญ่เขาก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว ข้าเขย่าตัวเขาอย่างไรก็ไม่เป็นผล ด้วยความจำใจ จึงต้องให้ทหารหามเขากลับมาขอรับ”
เฮ่อจางเข้าไปตะโกนเรียกใกล้ๆ “เหลี่ยนเอ๋อร์ เหลี่ยนเอ๋อร์”
เฮ่อเหลี่ยนคออ่อนคอพับ ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ราวกับหมดสติไป
เฮ่อจางตกใจ ร้องสั่งลั่น “รีบไปตามหมอหลวงมา!”
ราชเลขากรมขุนนางรีบโบกมือ ให้คนวิ่งไปเชิญหมอหลวงที่สำนักหมอหลวงเข้ามาทันที
เฮ่อจางสั่งให้คนวางตัวเฮ่อเหลี่ยนไว้บนตั่งที่ราชเลขากรมขุนนางใช้สำหรับพักผ่อน พอหมอหลวงเข้ามา ก็ไม่รอช้า รีบย่อตัวลงจับชีพจรให้เฮ่อเหลี่ยนทันที
เฮ่อจางมองเขาอย่างกระวนกระวายใจ
หลังจากจับชีพจร สีหน้าของหมอหลวงก็ผันเปลี่ยนไม่หยุด อึดใจใหญ่ถึงลุกยืนขึ้น
เฮ่อจางรบเร้าถาม “เหลี่ยนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงมองคนภายในห้อง อึกอักพูดไม่ออก
ราชเลขากรมขุนนางเข้าใจทันที โบกมือให้ทุกคนออกไป ตนเองก็เดินตามไปด้วย ค่อยๆ ปิดบานประตูลง ยืนเฝ้าหน้าประตู
หมอหลวงกดเสียงต่ำพูดว่า “คุณชายใหญ่ใช้ยาเกินขนาด เสพกามราคะมากเกินพอดีทำให้มีสภาพเช่นนี้ พักฟื้นสองสามวันก็จะดีขึ้นขอรับ”
เฮ่อจางถอนใจโล่งอก คลายความกังวลลง ขอเพียงไม่มีอันตรายถึงชีวิตก็พอ
คล้ายว่าหมอหลวงยังมีบางสิ่งจะพูด เขาพินิจมองท่าทีของเฮ่อจางไม่รู้ว่าสมควรพูดออกมาหรือไม่
เฮ่อจางสังเกตเห็นอาการของเขา ขมวดคิ้วพูดขึ้น “เราต่างก็คุ้นเคยกันดี ไม่ต้องอึกๆ อักๆ แล้ว มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
หมอหลวงมองไปทางประตูแวบหนึ่ง แล้วยื่นหน้าเข้าใกล้เฮ่อจาง กดเสียงลงต่ำกว่าเดิม “ครั้งนี้คุณชายใหญ่เล่นหนักเกินไป เกิดความเสียหายต่ออวัยวะเพศชาย เกรงว่าต่อไปจะใช้การไม่ได้อีกแล้ว”
เฮ่อจางราวกับถูกสายฟ้าฟาดกลางศีรษะ ร่างกายโงนเงน
หมอหลวงเข้าไปประคองเขา
ครู่ใหญ่ เฮ่อจางถึงถามอย่างมีความหวังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พอจะมีวิธีรักษาหรือไม่”
หมอหลวงส่ายหน้า “ในเรื่องนี้ผู้น้อยไร้ความสามารถ ท่านลองเชิญหมอหลวงท่านอื่นมาดูอาการเถอะ”
หมอหลวงตรงหน้าเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง หากเขายังอับจนปัญญา เช่นนั้นหมอหลวงท่านอื่นยิ่งไม่มีหวัง เฮ่อจางรู้สึกภาพตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือน
เฮ่อเหลี่ยนอยู่ในวัยฉกรรจ์ ภายหน้ากลับไม่อาจมีเพศสัมพันธ์ได้อีก นี่หมายความว่าอะไร หมอหลวงและเฮ่อจางต่างรู้แก่ใจดี หมอหลวงส่ายหน้า มองเฮ่อจางอย่างเห็นใจสุดซึ้ง แม้แต่คำปลอบใจก็พูดไม่ออก
อึดใจใหญ่เฮ่อจางถึงผ่อนคลายความรู้สึกลงได้ หันไปพูดกับหมอหลวง “เรื่องนี้ขอท่านเก็บไว้เป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
หมอหลวงพยักหน้า “ท่านมหาเสนาบดีวางใจ การรักษาความลับของคนป่วยเป็นหน้าที่ของพวกเรา ข้าไม่มีทางพูดออกไปแม้แต่ครึ่งคำ”
ขณะที่เฮ่อจางกำลังจะขอร้องเขาให้หาสูตรยามารักษาเฮ่อเหลี่ยน เสียงเล็กแหลมของขันทีก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านมหาเสนาบดีอยู่กรมขุนนางหรือไม่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าวัง”