เฮ่อจางตะลึงค้าง

 

 

เสียงราชเลขากรมขุนนางดังขึ้น “ท่านมหาเสนาบดีอยู่ด้านใน ข้าจะไปเชิญออกมาเดี๋ยวนี้ขอรับ” สิ้นเสียงก็เปิดประตูออก

 

 

เฮ่อจางขยับร่างเร็วรี่ บังตั่งและร่างของเฮ่อเหลี่ยนไว้ด้านหลัง

 

 

ราชเลขากรมขุนนางรับรู้ความคิดเขา และได้ยืนตรงกลางประตู บังสายตาที่มองเข้ามาของขันทีพอดี

 

 

เฮ่อจางมองเขาอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง ก้าวเท้าพ้นประตูออกไป แล้วตวัดมือปิดบานประตูทันที

 

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ขันทีส่งข่าวไม่ทันได้ช้อนตามองเข้าไปด้านใน ดังนั้นจึงไม่เห็นเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังนอนบนตั่งภายในห้อง

 

 

ขันทีส่งข่าวน้อมคำนับเฮ่อจาง ใช้น้ำเสียงเล็กแหลมระเคืองหูพูดขึ้น “ท่านมหาเสนาบดี ข้ากำลังจะไปถ่ายทอดราชโองการที่จวนของท่าน มีคนบอกว่าท่านมากรมขุนนาง ข้าจึงเข้ามาที่นี่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าวังหลวง”

 

 

เฮ่อจางพยักหน้า เดินตามขันทีออกไป เดินไปพลางหยั่งเชิงถามเสียงเบา “กงกง พอจะทราบหรือไม่ว่าฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าเข้าวังด้วยเรื่องอันใด”

 

 

เฮ่อจางเป็นถึงมหาเสนาบดี อำนาจบารมีสูง ทั้งบุตรสาวยังเป็นกุ้ยเฟย ปกติแล้วเหล่าขันทีต่างประจบเอาใจเขา ได้ฟังเขาถาม ก็มองซ้ายมองขวาตอบกลับเสียงเบา “หลังการว่าราชกิจเสร็จสิ้น ซื่อจื่ออ๋องฉีได้นำตัวพัศดีเรือนจำในสังกัดกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครเข้าวังเพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อฝ่าบาท บอกว่าคุณชายใหญ่ใช้อำนาจ สมคบหัวหน้าโต้วแห่งกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร จับตัวสตรีอันเป็นที่รักของเขาเข้าคุก ทั้งกราบทูลเรื่องระยำต่ำช้าที่พวกเขากระทำโดยสิ้น ทั้งนี้พัศดีก็ยอมรับสารภาพแต่โดยดี ฝ่าบาทโกรธกริ้ว สั่งคนไปตามหัวหน้าโต้วเข้ามา และรับสั่งผู้น้อยให้มาจวนมหาเสนาบดี ตอนนี้ท่านมหาเสนาบดียังไม่เข้าวังหลวง ทางที่ดีส่งคนไปแจ้งข่าวคุณชายใหญ่ก่อน ให้เขาเตรียมตัวรับมือ ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนักจริงๆ หากคุณชายใหญ่ไม่มีคำแก้ต่างที่ดี เกรงว่าจะเลี่ยงโทษมหันต์ครั้งนี้ไปไม่พ้นแล้ว”

 

 

เฮ่อจางร้องคร่ำครวญภายในใจ บัดนี้เฮ่อเหลี่ยนไร้สติสัมปชัญญะ หากฝ่าบาทมีรับสั่งถามหา เช่นนั้นเรื่องบัดสีที่เขาก่อขึ้นเมื่อวานก็จะปิดบังไม่อยู่ คิดได้ดังนี้ ก็หยุดชะงักฝีเท้า พูดอย่างสุภาพ “กงกงโปรดรอสักครู่ ข้ามีเรื่องสำคัญลืมบอกราชเลขากรมขุนนาง ข้าบอกเสร็จค่อยตามกงกงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้”

 

 

มหาเสนาบดีและราชเลขากรมขุนนางล้วนดูแลราชการงานสำคัญ เรื่องสำคัญของพวกเขาจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ขันทีส่งข่าวตอบกลับทันควัน “เรื่องสำคัญต้องมาก่อน ข้ารอท่านมหาเสนาบดีสักครู่ก็ได้”

 

 

เฮ่อจางผงกศีรษะ รีบเดินเข้าไปในห้องราชเลขากรมขุนนาง กำชับหมอหลวงที่ยังไม่จากไป “รบกวนท่านหาวิธีปลุกเหลี่ยนเอ๋อร์ให้ฟื้นด้วย เกรงว่าอีกประเดี๋ยวฝ่าบาทจะต้องมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า”

 

 

หมอหลวงกำลังจะตอบ เฮ่อจางก็พรวดพราดเดินออกไปแล้ว

 

 

หมอหลวงมองไปที่ราชเลขากรมขุนนาง พูดอย่างลำบากใจ “จะให้ข้าคิดหาวิธีใดเล่า หรือจะให้สาดน้ำเย็นจนกว่าเขาจะฟื้น”

 

 

เฮ่อจางตามขันทีเข้ามาในห้องทรงอักษร หลังจากถวายบังคมฮ่องเต้แล้ว ก็แสร้งเอ่ยถามราวกับไม่รู้เรื่องอะไร “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทรับสั่งหาหม่อมฉันด้วยเรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ชักสีหน้าหม่นมัว ตวาดเสียงกร้าว “เฮ่อจาง บุตรชายที่เจ้าอบรมเลี้ยงดู ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว กระทำเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมือง”

 

 

เฮ่อจางคุกเข่าดัง “พลั่ก” ฟ้องร้องหวงฝู่อี้เซวียนกลับอย่างแนบเนียน “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้สอนสั่งเขาแล้ว และคิดจะให้เขาเข้าไปขอขมาซื่อจื่อและแม่นางท่านนั้น แต่พวกซื่อจื่อลงมือรุนแรง ทำให้เหลี่ยนเอ๋อร์บาดเจ็บ หม่อมฉันจำต้องให้เขาพักรักษาตัวอยู่ที่จวน เลื่อนการขอขมาซื่อจื่อออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนทำร้ายเฮ่อเหลี่ยน ฮ่องเต้ย่อมทราบเรื่องแล้ว เดิมทีนึกว่าเป็นความแค้นส่วนตัวของพวกเขา จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ ยอมปิดตาข้างหนึ่งให้พวกเขาพิพาทกัน ไม่คิดว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนฟังออกว่าเฮ่อจางต้องการปัดปัญหาให้พ้นตัว น้อมพูดว่า “เสด็จลุง เดิมหลานคิดว่าท่านมหาเสนาบดีเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นกำลังสำคัญของพระองค์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะกระทบต่อเกียรติ และเสื่อมเสียต่อตำแหน่งชื่อเสียงของเขาได้ จึงคิดจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แต่ก็ทนความคับแค้นใจไม่ไหว จึงคิดวิธีจะเข้าไปซ้อมเฮ่อเหลี่ยนกลางถนน ระบายความแค้นที่มี แล้วให้เรื่องนี้จบกันไป แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับไม่ออกจากบ้านสิบกว่าวัน หลานไม่ได้ปลดปล่อยความแค้น จึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมจากเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

วาจานี้เข้าถึงพระกรรณฮ่องเต้ กลับกลายเป็นเรื่องของเด็กที่ถูกเอาเปรียบทำเรื่องไม่ประสาออกไป แอบยกยิ้มในใจ ทั้งชื่นชมยกย่องในความเล่นใหญ่ของเขา

 

 

แต่พอเฮ่อจางได้ยินดังนั้น กลับโมโหเกือบสิ้นสติ ทำร้ายคนโดยภายนอกไร้ร่องรอย แต่อวัยวะภายในกลับบาดเจ็บไปทุกส่วน หากถูกพวกเขาซ้อมอีกครั้งจริงๆ เกรงว่าชีวิตของเฮ่อเหลี่ยนคงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ครั้นแล้วน้ำเสียงเริ่มเจือแววโกรธเกรี้ยวหลายส่วน “ซื่อจื่อพูดได้ง่ายดายนัก เหลี่ยนเอ๋อร์ถูกท่านสั่งคนซ้อมเขาจนอวัยวะภายในบอบช้ำ หากถูกเล่นงานอีกครั้ง ผู้น้อยเกรงว่าคงได้เสียบุตรชายไปแล้ว”

 

 

“ไม่มีทาง” หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “ข้าสั่งคนที่ลงมือแล้ว ไม่ให้ลงมือหนักเกินไป พวกเขาไม่มีทางทำร้ายคุณชายใหญ่เฮ่อจนตาย” แล้วก็พูดขึ้นต่อว่า “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก เขาทำงานให้ราชสำนัก ข้าจึงให้ซ้อมเขาตัวช้ำหน้าบวมไม่ได้ จำเป็นต้องดำเนินการเช่นนั้น”

 

 

เฮ่อจางสะอึกพูดไม่ออก

 

 

ที่หวงฝู่อี้เซวียนต้องหายสาบสูญไปสิบกว่าปี ล้วนเป็นเพราะในตอนนั้นอ๋องฉีต้องเข้าวังมาช่วยตนเองและเสด็จแม่ ดังนั้นฮ่องเต้จึงรู้สึกติดค้างกับเขามาตลอด ทว่าหวงฝู่อี้เซวียนเองก็มีพรสวรรค์ เก่งกาจสามารถทั้งด้านอักษรและการต่อสู้ ปกติฮ่องเต้ก็โปรดปรานเขาเป็นพิเศษอยู่แล้ว บวกกับเป็นหลานแท้ๆ ของตัวเอง ดังนั้นฮ่องเต้ย่อมมีใจโอนเอียงไปทางเขา หันไปพูดเสียงกร้าวกับเฮ่อจาง “มหาเสนาบดีเฮ่อ เฮ่อเหลี่ยนเป็นถึงข้าราชการ รู้กฎหมายแต่กระทำผิดเอง สมควรได้รับโทษสถานหนัก เซวียนเอ๋อร์เพียงลงโทษเขาเพื่อตักเตือนเท่านั้น ไม่ถือว่าทำเกินไป”

 

 

เฮ่อจางไฉนเลยจะกล้าโต้แย้งฮ่องเต้ ก้มหน้านิ่งเงียบ

 

 

ฮ่องเต้นึกว่าเขาไม่พอใจ ชักสีหน้า หมายจะพูดต่อ เสียงเล็กแหลมของขันทีร้องดังขึ้น “ฝ่าบาท ผู้ตรวจการหลิวมีเรื่องสำคัญจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หน้าที่ของฝ่ายตรวจการก็คือจับผิดและเปิดโปงความผิดของข้าราชการ มีเรื่องเข้าเฝ้าเร่งด่วนเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องมีข้าราชการคนไหนกระทำความผิดร้ายแรง ฮ่องเต้พูดทันควัน “ให้เขาเข้ามาได้”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนดวงใจกระตุกวูบ ลางสังหรณ์ร้ายเอ่อล้นขึ้นมา

 

 

ผู้ตรวจการหลิวเดินเข้ามา โขกศีรษะถวายบังคมฮ่องเต้ ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเฮ่อจาง ก็กราบทูลฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอถวายฎีกาเฮ่อเหลี่ยนบุตรชายของมหาเสนาบดีเฮ่อจางพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สิ้นเสียงเขา เฮ่อจางก็รู้ว่าครั้งนี้เฮ่อเหลี่ยนจบเห่แล้ว ตำแหน่งที่มีคงจะรักษาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

 

 

ฮ่องเต้นึกว่าผู้ตรวจการหลิวก็ได้ยินข่าวที่เฮ่อเหลี่ยนลอบทำร้ายเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเข้ามาถวายฎีกา เหล่มองเฮ่อจางแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างน่าเกรงขาม “เจ้าจะถวายฎีกาเรื่องใด”

 

 

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมตรวจสอบพบว่าเมื่อวานเฮ่อเหลี่ยนกระทำเรื่องผิดกฎข้อบังคับ ไปเที่ยวเสพสวาทที่หอคณิกาอี๋หง กระทั่งช่วงเช้าของวันนี้ ถึงถูกคนของกรมขุนนางหามกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ได้ฟัง โกรธเกรี้ยวบันดาลโทสะ ตวาดถามเฮ่อจางพลัน “มีเรื่องเช่นนี้เรอะ”

 

 

เฮ่อจางเหงื่อผุดซึมไปทั่วร่างแล้ว ไม่กล้าเพ็ดทูล ตอบด้วยความสั่นกลัว “มีเรื่องนี้จริงๆ กระหม่อม…”

 

 

ยังพูดไม่ทันจบ ฮ่องเต้ก็ตวาดแทรก “เฮ่อเหลี่ยนบังอาจยิ่งนัก กล้าละเมิดกฎซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

 

 

เฮ่อจางโขกศีรษะเสียงดังก้อง “ฝ่าบาทโปรดอภัย”

 

 

“อภัย” คำพูดนี้ของเขา ทำให้ฮ่องเต้ที่กำลังพิโรธหันกลับมายังร่างเขา “เริ่มจากใช้อำนาจหน้าที่ให้ร้ายผู้อื่น เข้าออกสถานที่โสมมโดยไม่สนใจกฎหมาย เจ้าจงบอกข้ามา จะให้ข้าให้อภัยเขาอย่างไร”

 

 

เฮ่อจางเห็นฮ่องเต้เดือดดาลแล้ว ยิ่งให้เหงื่อผุดซึมไปทั่วทั้งใบหน้า โขกศีรษะขอร้องไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย”

 

 

ฮ่องเต้ไม่แยแสการโขกศีรษะของเฮ่อจาง สั่งการขันทีเสียงกร้าว “นำตัวเฮ่อเหลี่ยนเข้ามา ข้าจะถามเขาเองว่า ใครกันที่ให้ความกล้าใหญ่หลวงนี่แก่เขา ถึงกล้าละเมิดกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ไยดี”

 

 

ขันทีข้างกายรับคำ นำราชโองการออกไป

 

 

เฮ่อจางไม่รู้ว่าเฮ่อเหลี่ยนฟื้นขึ้นมาหรือยัง ร้อนใจจนเหงื่อซึมไปทั่วหน้าผากแล้ว

 

 

ขันทีตรงมายังกรมขุนนาง เฮ่อเหลี่ยนยังคงหลับใหลไม่ได้สติ จึงไม่อาจรับราชโองการได้ ขันทีก็ไม่อาจกลับไปรายงาน จึงสั่งคนหามเฮ่อเหลี่ยนเข้ามา แล้วสั่งพวกเขาให้รอหน้าห้องทรงอักษร ตัวเองเข้าไปกราบทูลตามจริง “ฝ่าบาท เฮ่อเหลี่ยนเสพสังวาสมากเกินพอดี บัดนี้ยังไม่ได้สติ ตอนนี้คนอยู่ด้านนอกแล้ว จะให้หาบเขาเข้ามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ได้ฟังยิ่งให้โกรธเกรี้ยว ตวาดสั่งเสียงลั่น “ให้คนโยนเขาออกไปจากวัง อย่าให้เป็นเสนียดตาข้า”

 

 

มังกรพิโรธ ขันทีย่อมไม่กล้ารอช้า น้อมขานรับคำ ลุกลนออกไปจากห้องทรงอักษร ถ่ายทอดคำสั่งฮ่องเต้ทันที

 

 

นี่เป็นราชโองการ คนที่หามเฮ่อเหลี่ยนเข้ามาตะลีตะลานหามเฮ่อเหลี่ยนออกไปนอกประตูวัง แล้วโยนออกไปดังว่าจริงๆ

 

 

เฮ่อเหลี่ยนที่ยังไม่ได้สติกลิ้งกลุกๆ นอนร่างแผ่หลาอยู่บนพื้น เสื้อผ้าที่สวมลวกๆ ให้เขา เผยให้เห็นรอยจูบพรมไปทั่วทั้งร่าง

 

 

คนแบกเกี้ยวของเฮ่อจางกำลังรออยู่นอกประตูวัง เห็นคนถูกโยนออกมาจากด้านใน ให้สนใจใคร่รู้ หันหน้าสบตากัน เดินเข้าไปดู กระทั่งเห็นชัดเจนว่าเป็นเฮ่อเหลี่ยน ก็สะดุ้งตกใจ หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา รีบปกปิดร่างกายให้เฮ่อเหลี่ยน แล้วช่วยกันหามเขาเข้าไปไว้ในเกี้ยวของเฮ่อจาง

 

 

ฮ่องเต้สั่งคนโยนเฮ่อเหลี่ยนออกไปแล้ว ยังคงขุ่นเคือง มีราชโองการ “เฮ่อเหลี่ยนกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ขับออกจากตำแหน่งข้าราชการ เฮ่อจางเป็นถึงมหาเสนาบดี ไม่เคร่งครัดสั่งสอนบุตร เดิมควรขับออกไปพร้อมกัน เห็นแก่ที่เขาตั้งใจถวายงานเคียงข้างข้ามานานหลายปี จะลงโทษสถานเบา ปรับเบี้ยหวัดหนึ่งปี หากภายหน้ายังตามใจให้เฮ่อเหลี่ยนกระทำเรื่องเหลวแหลกอีก จะริบคืนตำแหน่งมหาเสนาบดี สำหรับพัศดี รับเงินสินบน ใช้อำนาจหน้าที่ลงทัณฑ์ ประหารทันที ส่วนหัวหน้าโต้ว แม้จะจับคนตามกฎหมาย แต่มิได้ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี ให้ลงทัณฑ์เขาไปเฝ้าประตูเมือง ไม่มีคุณความชอบ ห้ามมิให้โยกย้าย”

 

 

จบราชโองการ พัศดีตกใจหมดสติไปทันที

 

 

เฮ่อจางโขกศีรษะซาบซึ้งในพระกรุณา

 

 

ส่วนหัวหน้าโต้วที่เพิ่งลนลานตามขันทีเข้ามา กลับนั่งทรุดลงไปกับพื้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองแล้ว กล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วยความปิติยินดี

 

 

ฮ่องเต้มองเขาแวบหนึ่ง “แม้คนพวกนั้นจะเป็นผู้เคราะห์ร้าย แต่เป็นพวกเขาที่กระทำผิดกฎหมายก่อน ตามกฎแล้วต้องถูกนำตัวไปจองจำในคุก เห็นแก่ที่พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ข้าจะมีเมตตา อภัยให้พวกเขา นับแต่นี้ไป ห้ามพวกเขาเหยียบเข้าเรือนที่ถูกสั่งปิดแม้เพียงครึ่งก้าว”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าหวงฝู่อี้เซวียนหดหาย เม้มริมฝีปาก ขานรับคำ

 

 

ฮ่องเต้รับสั่งเสร็จก็โบกมือ “เซวียนเอ๋อร์อยู่ก่อน คนอื่นออกไปได้”

 

 

เฮ่อจางและผู้ตรวจการหลิวกล่าวขอบพระทัย แล้วถอยออกไปจากห้องทรงอักษร

 

 

ฮ่องเต้ชี้ม้านั่งนุ่มให้หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง ถึงเก็บคืนความโกรธกริ้ว ผ่อนคลายน้ำเสียงพูดตามตรง “เรื่องของเจ้าและสตรีชนบทนางนั้น เสด็จย่าเจ้าได้มาหารือกับข้าแล้ว ด้วยสถานะของนางไม่มีแม้คุณสมบัติจะเป็นกุ้ยเชี่ย เห็นแก่ที่ครอบครัวพวกเขาเลี้ยงดูเจ้ามาสิบกว่าปี ทั้งซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้า ข้าจะถอยให้ก้าวหนึ่ง แต่งตั้งนางเป็นพระชายารองให้เป็นกรณีพิเศษ อีกไม่กี่วันสมรสพระราชทานก็จะไปถึงมือนาง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกพรวดแล้วคุกเข่า หมายจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง กลับถูกฮ่องเต้สกัดไว้ “อย่าได้คิดใช้การถอนตัวจากตำแหน่งซื่อจื่อมาข่มขู่ข้า หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าจะสั่งประหารนางเก้าชั่วโคตร”

 

 

คำพูดแน่วแน่ของหวงฝู่อี้เซวียนสะอึกค้างอยู่ในลำคอ

 

 

ฮ่องเต้ตรัสอีกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ยึดมั่นกตัญญู ไม่เคยลืมบุญคุณที่ครอบครัวชาวนาเลี้ยงดูเจ้ามา เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงเจ้าตั้งใจเป็นซื่อจื่อให้ดี ข้าจะประทานลาภยศสูงสุดให้ครอบครัวพวกเขาเอง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร

 

 

ฮ่องเต้รู้ว่าเขาไม่ยินดี แต่เขาไม่มีวันยอมให้หญิงชนบททำลายชีวิตของหวงฝู่อี้เซวียนได้

 

 

เฮ่อจางออกมาจากห้องทรงอักษรก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปประตูวังหลวง เพื่อจะดูว่าเฮ่อเหลี่ยนถูกโยนไปไว้ที่ไหน คนแบกเกี้ยวเห็นเขาออกมา เดินเข้าไปรายงานทันที “นายท่าน คุณชายใหญ่ถูกโยนออกมาจากในวังหลวง บ่าวนำตัวเขาเข้าไปไว้ในเกี้ยวแล้วขอรับ”

 

 

เฮ่อจางวางใจลง สั่งพวกเขา “ข้าจะไปสำนักหมอหลวง พวกเจ้าพาคุณชายใหญ่กลับบ้านไปก่อน แล้วรีบมารับข้าที่สำนักหมอหลวง”

 

 

คนแบกเกี้ยวรับคำ ยกเกี้ยวขึ้นเร่งฝีเท้ากลับจวนมหาเสนาบดี

 

 

เฮ่อจางเดินมาถึงสำนักหมอหลวง หัวหน้าสำนักหมอหลวงรู้ว่าเฮ่อจางจะต้องมา กำลังนั่งรอเขา พอเห็นเขาเข้ามาก็แสดงความเคารพ

 

 

เฮ่อจางเข้าไปประคองรับ พูดเสียงต่ำว่า “ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน ข้ามาเพื่อขอร้องท่าน คิดหาวิธีให้เหลี่ยนเอ๋อร์ฟื้นคืนดังเดิม”

 

 

หัวหน้าสำนักหมอหลวงคาดเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องพูดเช่นนี้ ส่ายหน้าอย่างจนใจ “มิใช้ข้าไม่อยากคิดหาวิธี แต่คุณชายใหญ่บาดเจ็บร้ายแรง ข้าเองก็อับจนปัญญา ท่านมหาเสนาบดีคงต้องไปหายอดฝีมือท่านอื่นแล้ว”

 

 

“ท่านเป็นหัวหน้าสำนักยังอับจนปัญญา ข้าจะไปหาใครได้อีกเล่า”

 

 

หมอหลวงหัวใจกระตุกสั่น คิดถึงตอนที่พระชายาเอกสลบไม่ได้สติ ตนเองนำหมอหลวงหลายคน เข้าไปรักษาอยู่หลายวันก็ไม่เห็นผล หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรพระชายาเอกถึงฟื้นขึ้นมาได้ มีใจคิดอยากให้เขาไปขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ก็คิดถึงคำสั่งตายของอ๋องฉี หากตนเองแพร่งพรายแก่เฮ่อจาง เกรงจะรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่ จึงพูดก้ำกึ่งชี้นำเขาว่า “ตอนพระชายาเอกนอนไม่ได้สติอยู่หลายวัน ข้าและเหล่าหมอหลวงทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล แต่เพราะอ๋องฉีเชิญยอดฝีมือเข้ามารักษา พระชายาเอกถึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ ไม่เช่นนั้นท่านมหาเสนาบดีลองไปสอบถามที่จวนอ๋องฉีว่ายอดฝีมือท่านนี้เป็นใคร ขอให้นางมารักษาอาการให้คุณชายใหญ่”

 

 

ได้ยินเช่นนี้ เฮ่อจางดวงตาลุกวาว รบเร้าถาม “ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าหมอเทวดาท่านนั้นเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน ข้าจะส่งคนไปเชิญมาเดี๋ยวนี้”

 

 

หัวหน้าสำนักหมอหลวงถูกห้ามไว้ ให้พูดได้เพียงเท่านี้ เห็นเฮ่อจางเค้นถาม ก็ส่ายหน้าพูดปด “ข้าเองก็ไม่ทราบ และไม่เคยพบเห็นหมอเทวดาท่านนั้น มหาเสนาบดีให้คนไปสืบความเองเถอะ”

 

 

เฮ่อจางพยักหน้า เตรียมกลับจวนแล้วส่งคนฝากเรื่องไปยังบุตรสาวตนเอง ถามนางว่ารู้จักคนที่อ๋องฉีเชิญมาหรือไม่

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินหัวใจหนักอึ้งออกมาจากวังหลวง นำองครักษ์ขี่ม้าตรงมาบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังสอนสาวใช้ชิงหลวนและจูหลีจำแนกสมุนไพร เห็นเข้าเดินทำหน้ามุ่ยเข้ามา จึงพูดกับคนอื่นๆ “วันนี้สอนเพียงเท่านี้ พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

 

 

คนทั้งหมดรับคำ แสดงความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน แล้วเดินออกไปพร้อมกัน

 

 

“จัดการเรื่องในวันนี้ไม่ราบรื่นหรือ” เมื่อคนออกไปหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอ่ยปากถาม

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก เดินเข้ามาจ้องหน้านางเขม็ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจสั่นวูบ ยิ้มถาม “อย่าบอกว่าเสด็จลุงเจ้าทำให้เจ้าลำบากใจเรื่องการแต่งงานของเราดอกนะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าตนเองเดาถูก ยิ้มแล้วกดเขานั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำชาให้เขา “พวกเราต่างรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่มีทางยอมรับการแต่งงานนี้โดยง่าย ไยเจ้าต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้ด้วยเล่า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังจับจ้องนางเขม็ง “เขาใช้การประหารสกุลเมิ่งเก้าชั่วโคตรมาข่มขู่ข้า บอกว่าหากข้ากล้าคืนตำแหน่งซื่อจื่อ เขาจะสั่งประหารพวกเขา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักอึ้งเล็กน้อย พลันกลับคืนสภาพเดิม “ดังนั้นเล่า เจ้ายอมประนีประนอมแล้ว”

 

 

“เจ้าให้ความสำคัญต่อสายเลือดวงศ์ตระกูลที่สุด หากข้าไม่รับปาก เกรงว่าเสด็จลุงจะพูดจริงทำจริง ถึงตอนนี้หากสกุลเมิ่งไม่เหลืออยู่อีกต่อไป เจ้าจะต้องทนรับไม่ไหว ทว่า ข้าไม่ได้รับปากสมรสพระราชทานของเขา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน “เจ้าทำถูกต้องที่สุดแล้ว ข้าทิ้งญาติพี่น้องไม่ได้จริงๆ หากจำเป็นต้องเลือกระหว่างสองสิ่งนี้จริงๆ ข้าคง…”

 

 

“โยวเอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนตัดบทนาง พูดด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าคิดดีแล้ว หากเสด็จลุงประทานสมรสพระราชทานมาให้ บังคับให้ข้าสมรสกับธิดาราชเลขาจริงๆ ข้าจะแกล้งตายแล้วหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวกับเจ้า”