เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา ดีดใส่หน้าผากเขาเต็มแรง
หวงฝู่อี้เซวียนร้องเจ็บ กุมหน้าผากมองนางอย่างคับข้องใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขา “ได้สติแล้วหรือไม่ ต่อให้เจ้าแกล้งตาย หนีการแต่งงานกับธิดาราชเลขาพ้น ข้าเล่า ข้าก็แกล้งตาย ให้ฮ่องเต้สั่งประหารสกุลเมิ่งเก้าชั่วโคตรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังดังนั้นถอดใจเฮือกใหญ่ รบเร้าถาม “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ข้าคิดได้แล้ว”
“รถมาถึงเขาย่อมมีทาง ตอนนี้สมรสพระราชทานยังไม่ลงมา เรื่องทุกอย่างยังมีทางออก เจ้าอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปก่อนเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบใจเขา
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่สบายใจ “ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ เมื่อเสด็จลุงตรัสเช่นนี้แล้ว จักต้องไม่เปลี่ยนแปลง จะยังเหลือทางออกใดได้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบเขา กลับวกไปพูดเรื่องอื่น “เรื่องที่เจ้าเข้าวังไปจัดการในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าถึงการจัดการปัญหาของฮ่องเต้
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ดูท่าฮ่องเต้จะพิโรธหนักจริงๆ แม้แต่เฮ่อจางยังถูกปรับเบี้ยหวัดหนึ่งปี รอให้เฮ่อเหลี่ยนฟื้นขึ้นมา เฮ่อจางรู้ว่าเป็นพวกเราลงมือ จะต้องโมโหจนกระอักเลือด ช่วงเวลานี้เจ้าออกไปไหนจงระวังตัวด้วย ให้องครักษ์ตามเจ้าไปมากหน่อย”
“อือ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับเสียงแผ่ว แล้วสั่งกำชับนางเช่นกัน “เจ้าก็เหมือนกัน ประเดี๋ยวข้าจะไปโยกย้ายองครักษ์หลวงเข้ามา ต่อไปให้มาคอยติดตามเจ้า”
กัวเฟยและเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ชิงหลวนและจูหลีแม้จะมีวรยุทธ์สูง แต่เพราะใช้ชีวิตแยกจากโลกภายนอกมานาน ไม่คุ้นชินกับงานจุกจิกในชีวิตประจำวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าพวกเขาทำแล้วเปลืองแรง จึงพยักหน้า ไม่คัดค้าน
พอถูกนางขัดจังหวะ หวงฝู่อี้เซวียนที่กลัดกลุ้มใจก็ให้สงบลงได้ไม่น้อย ไม่เอ่ยถึงเรื่องสมรสพระราชทานอีก หลังจากกินอาหารกลางวันกับเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ไปเหลาจวี้เสียน สั่งหลงจู๊เหลาจวี้เสียนให้เรียกระดมพลองครักษ์หลวงสิบนายไปประจำที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว
หลังจากเขาไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในห้องตลอดทั้งบ่าย ขบคิดเรื่องราวที่จะกระทำต่อจากนี้ ทั้งคิดว่า ด้วยกัวเฟยได้รับบาดเจ็บ ตนเองและหวงฝู่อี้เซวียนก็วุ่นวายกับการต่อกรกับเฮ่อเหลี่ยน ลืมเขียนจดหมายส่งให้ทางบ้าน จึงร้องบอกสาวใช้ให้เตรียมกระดาษพู่กัน ลงมือเขียนจดหมายถึงทางบ้านทันที
ในจดหมายยังคงบอกว่าตนเองสุขสบายดี ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งก็โด่งดัง บอกให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง ยังบอกว่าแป้งมันฝรั่งเหลือไม่มากแล้ว อยากให้ทางบ้านให้คนส่งมาให้ เขียนมาถึงตรงนี้ถึงพบว่า พวกเหวินเปียวต่างก็อยู่ที่นี่ ในบ้านไม่มีคนให้ใช้สอยได้อีก หากให้องครักษ์หลวงส่งสินค้ามาให้ กำลังคนที่บ้านก็จะลดน้อยลง จึงวางพู่กัน นั่งครุ่นคิดครู่ใหญ่ คิดว่าการต้องให้คนทางบ้านคอยส่งสินค้าไม่เป็นการดีในระยะยาว แม้เส้นทางถึงเมืองหลวงจะใช้เวลาเพียงสองสามวัน แต่ตามทางก็มีโจรภูเขาชุกชุม หากวันใดเจอเข้ากับขบวนส่งสินค้า จะมีคนต้องได้รับบาดเจ็บอีก ว่าแล้วก็ฉีกจดหมายที่เพิ่งเขียนทิ้ง แล้วจรดพู่กันเขียนใหม่ บอกความคิดของตัวเองกับคนทางบ้าน บอกพวกเขาว่า ตนเองคิดจะเปิดโรงงานแป้งมันฝรั่งสักแห่งในเมืองหลวง จะได้ไม่ต้องคอยรบกวนทางบ้านส่งแป้งมันฝรั่งเข้ามาอีก
เขียนจดหมายเสร็จ ให้คนส่งไป เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปุ๊บทำปั๊บ เดินไปหาเหวินเปียวที่เรือนบ่าว ซักถามเขาว่าหากต้องการเปิดโรงงานแป้งมันฝรั่ง ควรเลือกทำเลที่ตั้งใดถึงจะเหมาะที่สุด
เมืองหลวงราคาที่ดินเป็นเงินเป็นทอง ราคาบ้านฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ยิ่งแพงหูฉี่ ส่วนฝั่งตะวันตกและฝั่งเหนือยังพอรับได้บ้าง แต่ฝั่งตะวันตกเป็นแหล่งรวมของคนไร้บ้านและคนที่หนีความลำบากเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ผู้คนวุ่นวายไม่ปลอดภัย ฝั่งเหนือค่อนข้างดี ล้วนเป็นคนที่เกิดและโตในเมืองหลวง เทียบกันแล้วมีความปลอดภัยกว่ามาก อีกทั้งด้วยความที่ฝั่งเหนืออัตคัดฝืดเคือง ราคาข้าวของรวมถึงบ้านเรือนและคนงานจึงค่อนข้างถูก
ฟังคำพูดเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้า สั่งพวกเขาให้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพาชิงหลวนและจูหลีออกไปฝั่งเหนือ
หลังการพักฟื้นสิบกว่าวัน พวกกัวเฟยร่างกายฟื้นคืนไม่น้อยแล้ว กัวเฟยกลัวนางจะมีอันตราย ตะเกียกตะกายลุกขึ้น คิดจะไปฝั่งเหนือกับนางด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ด้วยร่างกายของเจ้าในตอนนี้ อย่าว่าแต่คุ้มครองข้า แค่เจ้าออกไปเดินสักรอบยังลำบากเลย ชิงหลวนและจูหลีมีวรยุทธ์ไม่ด้อย ข้าจะพาพวกนางไปเจ้าวางใจเถอะ”
ต่างเป็นคนมีวรยุทธ์ กัวเฟยย่อมดูออกว่าพวกนางมีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่เป็นรองตนเอง จึงไม่ยืนหยัดอีก กำชับชิงหลวนและจูหลี “แม้ความเป็นอยู่ทางฝั่งเหนือจะดีกว่า แต่ก็ย่อมมีคนที่คิดไม่ซื่อ พวกเจ้าจะต้องเฝ้าคุ้มกันแม่นางให้ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาดได้”
ตลอดหลายวันที่ชิงหลวนและจูหลีมาอยู่ที่นี่ ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวชี้แนะ คลุกคลีกับคนในเรือนจนสนิทสนม ทั้งรู้เรื่องในอดีตของพวกเขาอย่างละเอียด รู้ว่ากัวเฟยและพวกเหวินเปียวติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาเป็นเวลานาน จึงเชื่อฟังคำสั่งของพวกเขาเป็นอย่างดี พยักหน้าจดจำขึ้นใจ
กัวเฟยยังไม่วางใจ ให้องครักษ์หลวงอีกสองคนตามพวกเขาไป
หลายวันหลังจากนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวพาพวกเขาเดินดูจนทั่วทั้งฝั่งเหนือ หาทำเลที่เหมาะสมกับการตั้งโรงงาน
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงใช้ชีวิตปกติ
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่ตนเองจะเปิดโรงงานแก่เขา
หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ดี ทั้งแนะนำนาง “เช่นนั้นเจ้าก็ซื้อที่ดินแถบฝั่งเหนือเพิ่ม ไว้เป็นที่เพาะปลูกมันฝรั่งขนาดใหญ่ ต่อไปแม้แต่มันฝรั่งก็จะได้ไม่ต้องส่งเข้ามาอีก”
การขนส่งมันฝรั่งยุ่งยากยิ่งกว่าแป้งมันฝรั่ง เดิมเมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดเอาไว้แล้ว พูดว่า “ข้าจะรอฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่อยออกไปเดินดูรอบฝั่งเหนือ ดูว่ามีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ที่เหมาะสมหรือไม่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยซื้อไว้”
“เจ้าไม่ต้องไปแล้ว ข้าจะให้คนไปถามดู หากมีที่เหมาะสม พวกเราค่อยเข้าไปดู” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งอี้ได้ยินเช่นนั้นก็เห็นพ้องด้วย “แป้งมันฝรั่งแห้งกับแป้งมันฝรั่งสดที่ต้มออกมาย่อมให้รสชาติต่างกัน พวกเราสามารถเปิดโรงงานแป้งมันฝรั่งในเมืองหลวงได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก รอให้โรงงานเปิดแล้ว พวกเราใช้โอกาสนี้ขยายร้านก๋วยเตี๋ยวในเมืองหลวงเพิ่มอีกหลายสาขา อีกอย่าง ไม่เพียงโรงงานแป้งมันฝรั่ง แม้แต่โรงงานกุนเชียงและโรงงานเนื้อรมควันก็เปิดได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุก หลายปีมานี้นางให้กุนเชียงกับเซี่ยเจียงเฟิงมาขายต่อในเมืองหลวง การขนส่งกุนเชียงเข้ามาในเมืองหลวงก็มีค่ารถที่ต้องจ่ายไม่น้อย หากตนเองเปิดโรงงานกุนเชียงในเมืองหลวง เช่นนั้นทั้งเขาและนางก็จะประหยัดไปได้มากโข ยังมีโรงงานเนื้อรมควัน ต้นทุนไม่สูง ราคาขายก็ไม่สูง พวกชาวบ้านยากจนก็สามารถซื้อหาได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ เมิ่งเชี่ยนโยวดีอกดีใจยกใหญ่ กลับเข้าห้องไปหยิบกระดาษพู่กัน ทำการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียของการเปิดโรงงานในเมืองหลวงอย่างขะมักเขม้น
ตอนเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากบ้านบอกว่าจะส่งจดหมายเข้ามาทุกสิบวัน ครั้งแรกก็ตรงเวลาดี แต่ฉบับที่สองกลับผ่านไปหลายวันก็ยังไม่มา เมิ่งชื่อรู้สึกกระวนกระวายใจ หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “พ่อเอ๊ย โยวเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กที่ขี้หลงขี้ลืม ตอนนี้ผ่านมาหลายวันแล้วจดหมายกลับยังไม่ถึง คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นดอกนะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ประหลาดใจ เมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากตำบลชิงซี ต่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนจดหมายส่งกลับมาในวันที่สิบ ไปรษณีย์ก็น่าจะส่งจดหมายมาถึงแล้ว พวกเขากลับยังไม่ได้รับ จะต้องเป็นเพราะเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้ส่งจดหมายมา ทั้งตอนที่เหวินเป้าและเหวินจงไปเมืองหลวงก็บอกว่า อย่างมากเจ็ดวันอย่างน้อยห้าวัน พวกเขาก็จะกลับมา แต่ตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว แม้แต่เงาพวกเขาก็ไม่เห็น จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แต่ด้วยกลัวเมิ่งชื่อจะร้อนใจ เมิ่งเอ้ออิ๋นจึงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เพิ่งจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวได้ไม่นาน โยวเอ๋อร์งานยุ่ง อาจจะหลงลืมไปบ้าง รออีกสองสามวันเถอะ หากจดหมายยังไม่มา พวกเราค่อยส่งคนไปเมืองหลวง”
เมิ่งชื่อคิดว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผล จึงอดทนรออีกสองสามวัน และก็ได้รับจดหมายจากเมิ่งเชี่ยนโยวจริงๆ เมิ่งชื่อถอนหายใจยาว ความกลัดกลุ้มกังวลมลายหายไปสิ้น ร้องเรียกเมิ่งเสียน ให้เขามาอ่านจดหมายให้ฟัง
เมิ่งเสียนอ่านจดหมายโดยไม่ตกหล่นสักคำ เมิ่งชื่อขมวดคิ้วมุ่น ถามอย่างเป็นห่วง “เมืองหลวงไม่เหมือนบ้านนอก หากเปิดโรงงานที่นั่น จะต้องมีค่าใช้จ่ายสูง เงินที่นางนำไปจะพอหรือไม่”
เมิ่งเสียนพูดว่า “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล นี่เป็นเพียงการคาดการณ์เบื้องต้นของนาง ยังไม่ได้บทสรุป อีกอย่าง ก็ยังมีข้าและน้องรอง มีพวกเราอยู่ จักไม่ยอมให้น้องสาวต้องลำบากเรื่องเงินอย่างแน่นอน”
เมิ่งชื่อพยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจ ตกค่ำพอเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับเข้ามา ก็พูดกับเขาว่า “ข้าเอาแต่รู้สึกว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับโยวเอ๋อร์ นางกลัวพวกเราเป็นห่วง ไม่บอกพวกเราในจดหมาย พวกเราให้ฉีเอ๋อร์เข้าไปดูนาง จะได้ส่งสิ่งของที่นางต้องการไปให้ด้วย อีกทั้งหากโยวเอ๋อร์ต้องการเปิดโรงงาน ฉีเอ๋อร์จะได้อยู่ช่วยพวกนางได้อีกแรง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นครุ่นคิด พยักหน้าเห็นชอบ “เช่นนี้ก็ดี โรงงานที่นี่ให้เสียนเอ๋อร์กับสะใภ้ดูแลก็ได้แล้ว ฉีเอ๋อร์จะได้เข้าไปช่วยเหลือ แต่ภรรยาฉีเอ๋อร์เพิ่งจะออกจากอยู่เดือน หากเขาไปแล้ว ใครจะดูแลพวกนาง”
“เรื่องนี้ไม่ยาก เราก็ไปรับตัวพวกนางแม่ลูกมาอยู่กับพวกเราที่นี่ก็ได้แล้ว โยวเอ๋อร์ไม่อยู่บ้าน ห้องหับปล่อยว่าง ให้พวกเขามาอยู่ห้องนั้น ข้าและเชี่ยนเอ๋อร์จะได้ดูแลนางด้วย”
นับว่าเป็นวิธีที่ดีมาก เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าเห็นชอบ เตรียมตัวไปหาเมิ่งฉีในเช้าวันรุ่งขึ้น
สุดท้าย กลายเป็นเมิ่งฉีที่เข้ามาเองแต่เช้าตรู่ พ้นประตูเข้ามาก็พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าได้ยินพี่ใหญ่บอกว่าน้องสาวจะเปิดโรงงานในเมืองหลวง เมื่อวานข้ากลับไปหารือกับครอบครัว ตัดสินใจว่าวันนี้จะเข้าเมืองไปช่วยนางทำโรงงาน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อย่อมรับปากอย่างยินดี ทั้งบอกเรื่องที่ตระเตรียมให้สะใภ้เมิ่งฉี
เมิ่งฉีโบกมือ “เรื่องนี้พวกเราก็หารือกันแล้ว ในบ้านมีสาวใช้แม่นมคอยดูแล ไม่ต้องเป็นห่วง หากท่านแม่ไม่วางใจ เข้าไปหานางทุกวันก็ได้”
เมื่อพวกเขาตกลงกันดีแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่ทัดทานอีก
เมิ่งฉีได้รับความเห็นชอบจากพวกเขาแล้ว ก็มายังโรงงาน บอกพวกอู๋ต้าเตรียมบรรทุกของขึ้นรถม้า ให้พวกเขาตามตนเองไปเมืองหลวง
เมืองหลวงเชียวนะ นั่นเป็นสถานที่ใต้ฝ่าพระบาท ได้ยินว่ามีแต่เงินทองหล่นเกลื่อนกลาด พวกอู๋ต้าคิดอยากจะไปใจจะขาดมานานแล้ว พอได้ยินเมิ่งฉีบอก ตื่นเต้นจนเลือดในกายเดือดพล่าน เตรียมรถม้าหลายคันเสร็จด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากปกติหนึ่งเท่า
เมิ่งฉีกลับมาบ้านหยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่ง บอกลาภรรยาและลูกน้อย แล้วกลับมาโรงงาน เห็นพวกอู๋ต้าเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากบอกลาเมิ่งเสียน ก็สั่งให้ออกเดินทางทันที
เมื่อก่อนเวลาไปส่งสินค้า จะเตรียมรถม้าเสร็จแต่เช้าตรู่ ฟ้าเพิ่งสางก็ออกเดินทาง วันนี้เตรียมรถม้ากะทันหัน ทำให้เสียเวลา ตอนที่ขบวนรถม้าออกเดินทางก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ด้วยกลัวจะพลาดที่พักดีๆ ระหว่างทาง คนทั้งหมดไม่รอช้า ตวัดแส้เร่งความเร็วเดินทาง เข้ามาถึงเมืองหลวงในช่วงเช้าของอีกสองวันต่อมา
หลายปีมานี้สถานที่ไกลที่สุดที่พวกอู๋ต้าได้ไปก็คืออำเภอชิงเหอ ตอนนี้ได้มาถึงเมืองหลวง ดวงตาแทบไม่พอใช้ บังคับรถม้าไปพลางสอดส่ายสายตามองไปโดยรอบพลาง มองได้ครู่หนึ่ง อู๋ต้าก็ขมวดคิ้วถาม “คุณชายรองขอรับ ว่ากันว่าเมืองหลวงมีเงินทองเกลื่อนพื้นมิใช่หรือขอรับ อยู่ที่ไหนเล่า”
เมิ่งฉีหลุดหัวเราะ “คำว่าเงินทองเกลื่อนพื้นเป็นคำเปรียบเปรย เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง มีเศรษฐีมีเงินมาก สำหรับพวกพ่อค้าแล้ว สามารถหาเงินทำกำไรได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นคนถึงพูดกันว่าเมืองหลวงนั้นมีเงินทองเกลื่อนพื้น”
อู๋ต้าเข้าใจพลัน พูดว่า “ที่แท้นี่เป็นคำพูดหลอกคน เอาไว้ข้ากลับไป จะต้องบอกกับคนในครอบครัวใหม่”
เมิ่งฉีหัวเราะส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนจดหมายฉบับแรกให้ทางบ้าน ได้ลงที่อยู่เรือนไว้ คนทั้งหมดจึงสอบถามมาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงหาเรือนเจอ
คนเฝ้าหน้าประตู เห็นขบวนรถม้าเข้ามา บรรทุกสิ่งของเหมือนเมื่อก่อน รีบเข้าไปต้อนรับ ถามความ “พวกท่านมาส่งสินค้าหรือขอรับ”
อู๋ต้าบังคับรถม้าตรงเข้ามา ได้ยินคำถามคนเฝ้าประตู ก็ถามกลับ “ใช่สิ พวกเรามาจากตำบลชิงซี รบกวนเจ้าไปบอกนายของพวกเจ้า บอกว่าคุณชายรองเข้ามาส่งสินค้าด้วยตัวเอง”
คนเฝ้าประตูได้ฟัง รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
หลายวันก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวได้เดินดูจนทั่วฝั่งเหนือแล้ว สองสามวันนี้จึงอยู่แต่ในบ้าน นั่งวิเคราะห์ทำเลที่ดีที่สุด ที่เหมาะแก่การเปิดโรงงาน ได้ยินรายงานจากคนเฝ้าประตู โยนพู่กันในมือทิ้งทันที วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากในเรือน
ชิงหลวนและจูหลีไม่เคยเห็นนางลุกลนเช่นนี้มาก่อน นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น ต่างตามนางออกมาติดๆ
เมิ่งฉีลงมายืนรออยู่ข้างรถม้าแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งพ้นประตูออกมาก็เห็นเขาทันที วิ่งเข้าหาด้วยความดีใจ “พี่รอง!”
เมิ่งฉีส่งยิ้มให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งมาหยุดตรงหน้าเขา
เมิ่งฉีอยากกอดนาง แต่คิดว่าไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนมาใช้มือขยี้หัวนาง พูดอย่างเอ็นดู “โตป่านนี้แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กไม่รักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นแหย่เย้า “ก็ข้าได้ยินว่าพี่รองมา ถึงได้ดีใจเช่นนี้อย่างไรเล่า”
เมิ่งฉีเห็นนางสดใสร่าเริงดี ไม่เหมือนคนที่ประสบปัญหา ให้โล่งใจลง “หลังจากได้รับจดหมายจากเจ้า ข้าปรึกษากับท่านพ่อท่านแม่ ตัดสินใจเข้ามาช่วยทำโรงงานแป้งมันฝรั่ง”
“เช่นนั้น ช่วงเวลานี้ท่านจะยังไม่กลับไป” เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจถาม
เมิ่งฉีพยักหน้า
พวกอู๋ต้าเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจมาก ทยอยกันเข้ามาทักทาย “นายหญิง พวกเราก็มาแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้พวกเขา รับคำแล้วพูดว่า “คิดอยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องมา ข้าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เดี๋ยวขนสินค้าเสร็จ พวกเจ้าพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน แล้วข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปเดินเล่นในเมืองหลวง” แล้วพูดแหย่เย้า “เช่นนี้พอกลับไป พวกเจ้าจะได้มีเรื่องไปคุยโม้ได้เต็มคราบเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความคิดพวกอู๋ต้าอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาพวกเขาได้แต่หัวเราะแหะๆ มือลูบหัวแก้เก้อ
จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับคนเฝ้าประตู “เจ้าพาพวกเขาไปลานเรือน ช่วยกันขนถ่ายสินค้าลงมา”
คนเฝ้าประตูรับคำ ส่งสายตาให้พวกอู๋ต้าบังคับรถม้าตามเขามาหลังเรือน หลังจากขนถ่ายสินค้าลงเสร็จ
เมิ่งฉีก็ตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสาวใช้ไปชงชา ยกยิ้มถามเขา “ครั้งก่อนพี่ใหญ่เขียนจดหมายมาบอกว่า ท่านแม่เห็นพี่สะใภ้รองคลอดหลานอีกคนแล้ว ให้ผิดหวังยิ่งนัก รบเร้าพี่สะใภ้ใหญ่ทุกวัน ทำเอาพี่สะใภ้ใหญ่เข้าหน้าท่านแม่ไม่ติด ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
คิดถึงภาพซุนเชี่ยนที่แม้จะอยู่ในโรงงาน พอได้ยินเสียงเมิ่งชื่อก็ตกใจรีบหนีไปหลบ เมิ่งฉีก็หลุดขำ “ตอนนี้เหมือนว่าจะหนักหนายิ่งกว่าเดิม ทำเอาพี่สะใภ้ใหญ่อยากจะย้ายไปอยู่แต่ในโรงงานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกภาพนั้นออก หัวเราะร่วนไม่หยุด พูดอย่างเห็นใจ “พี่สะใภ้ผู้น่าสงสาร”
เมิ่งฉีพูดต่อ “พี่สะใภ้รองก็พูดเช่นนี้ ยังดีใจที่ตัวเองเพิ่งจะคลอดบุตร ไม่เช่นนั้นถูกท่านแม่คอยรบเร้าเช่นนั้น นางคงได้กลับไปหลบที่บ้านแม่ระยะหนึ่งเป็นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวร่องอหาย
สองพี่น้องพูดไปหัวเราะไป เสียงหัวเราะดังออกมาจากในห้องไม่ขาดสาย
ชิงหลวนและจูหลีไม่เคยได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเช่นนี้มาก่อน อดหันหน้าสบตากันไม่ได้
ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมาหนึ่งเดือนกว่านี้ เมิ่งเชี่ยนโยวต้องประสบพบเจอเรื่องมากมาย ตอนนี้ได้ยินเมิ่งฉีเล่าเรื่องในบ้านให้ฟัง ให้รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละซีกโลก รู้สึกแปลกใหม่ไม่คุ้นเคย
ราวกับเมิ่งฉีจะรู้ความคิดนาง บอกเล่าเรื่องภายในบ้านทั้งน้อยใหญ่ให้นางฟังทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังอย่างละโมบ ใบหน้าคะนึงหา
เมิ่งฉีเห็นท่าทีของนาง หยุดพูดถามขึ้น “น้องสาว เกิดเรื่องกับพวกเจ้าที่เมืองหลวงใช่หรือไม่”